แต่รอยยิ้มของนางมิใช่สำหรับเขา นางมิเคยยิ้มให้เขาสักคราเดียว
หลังจากจิบชาร้อนไปหนึ่งอึก เขาคีบถ้วยชาด้วยมือข้างเดียว แปดปีก่อนเขาไม่คิดจะช่วยชีวิตเด็กหญิงผู้นี้ เพียงแค่รู้สึกว่าโทสะที่ปะทุขึ้นมานั้น้าระบายออก ยามนั้นเขาอายุสิบห้า แต่ในฐานะที่ตนเองเป็ประมุขพรรคเพลิงอัคนี ตำแหน่งนี้มิได้สืบทอดทางสายเืเท่านั้น แต่ความสามารถต้องมาก่อน เรียกว่าเขาถูกวางหมากมาเพื่อสืบทอดตำแหน่งนี้ั้แ่อยู่ในครรภ์มารดา ฝึกดื่มเหล้าพิษพอๆ กับน้ำนมมารดา และเพื่อให้ตัวเองยังมีชีวิตอยู่เขาต้องแข็งแกร่งเหนือผู้อื่น
ประมุขพรรคเพลิงอัคนีที่ผ่านมาเจ็ดรุ่น มีเขาเป็ผู้ครองตำแหน่งรุ่นที่แปด แต่ละรุ่นล้วนสืบสายเืจากประมุขพรรคคนเก่า แม้กฏของพรรคเพลิงอัคนีจะยินยอมให้ผู้อื่นเป็ประมุขพรรคได้ เพียงแต่ต้องล้มประมุขพรรคคนเก่าให้ได้ ทว่าการที่ประมุขพรรคเพลิงอัคนียังเป็คนในตระกูลเหิงไม่เพียงความแข็งแกร่งแต่เพราะโค่นล้มประมุขคนก่อนเช่นกัน
ใช่! เขาเองก็โค่นล้มบิดาตนเองั้แ่อายุเพียงสิบสามเท่านั้น
เหิงหยางเซิงยกน้ำชาที่เหลือขึ้นดื่มจนหมด เมื่อถ้วยชาในมือว่างเปล่า ยังไม่ทันวางลงบนโต๊ะ มือเรียวเล็กยื่นไปรอรับก่อนแล้ว นางยังคงก้มหน้าไม่สบตากับดวงตาสีนิลคู่นั้น หมุนตัวเดินนำถ้วยชาไปวางที่เดิมแล้วกลับมาทำหน้าที่ของตน ชงชา ฝนหมึก เก็บหนังสือเข้าชั้น บางครั้งจดบันทึกตามคำสั่งของนายท่าน
ม้วนหนังสือด้านซ้ายมือคือรายงานที่อ่านแล้ว ม้วนทางขวาคือรอให้คลี่ออกอ่าน เป็ประมุขพรรคมารมิได้หมายความว่าวันๆ แค่ถือกระบี่ฆ่าคน แต่เดิมนางไม่เคยรู้เื่เหล่านี้ พ่อบ้านจูโหย่งเจาไม่เคยสอน นางเรียนรู้ที่ละเล็กละน้อยจากการอยู่รับใช้ใกล้ชิดจอมมารเหิงหยางเซิง ก่อนฟ้าสางประมุขจะฝึกยุทธเดินลมปราณอยู่ที่หอฝึกตน เป็สถานที่ที่เข้าไปได้เฉพาะประมุขพรรคเท่านั้น ผู้อื่นเรียกเขา ‘ท่านจอมมาร’ นางเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ จริงๆ นางไม่รู้หรอกว่าทำไมนางเรียกเขาไม่เหมือนผู้อื่น แต่นางเห็นหัวคิ้วที่ขมวดด้วยความไม่พอใจยามเมื่อนางเรียกเขาว่าท่านจอมมาร นางจึงเอ่ยเสียงแ่เรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ เห็นเขาคลายสีหน้าลงนางจึงลอบถอนหายใจบางเบาและเรียกเขาเช่นนั้นเสมอมา
นางเป็หญิงรับใช้ข้างกายจอมมารประมุขพรรคเพลิงอัคนีที่มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี คฤหาสน์ใหญ่โตอลังการเช่นนี้บ่งบอกได้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ที่ได้มา นางเคยได้ยินพ่อบ้านจูโหย่งเจาพูดอยู่บ่อยๆ ว่า คฤหาสน์อัคนีแห่งนี้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าวังหลวงเลยทีเดียว แต่ด้วยนางเป็เพียงเด็กหญิงที่เติบโตในหมู่บ้านชนบท ครอบครัวของนางมีที่นาเล็กน้อยสำหรับเพาะปลูก เลี้ยงวัวนมและมีเป็ดไก่ไว้เก็บไข่กินเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว โลกขอนางเปลี่ยนไปทันทีในคืนนั้น...
หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองถูกมองอยู่ นางหยิบม้วนหนังสือที่อ่านแล้วใส่ถุงผ้าไหมเรียบร้อยและนำไปวางที่ชั้นตามป้ายชื่อที่ติดไว้ เื่เหล่านี้มีพ่อบ้านจูโหย่งเจาสอนนางอีกนั้นแหละ แม้ท่านจอมมารมีบ่าวรับใช้นับร้อยชีวิต แต่มีไม่กี่คนที่ได้ใกล้ชิดเช่นนี้
หญิงงามนางบำเรอที่มีมากนัก ล้วนอยู่ในเรือนด้านหลัง พ่อบ้านจูโหย่งเจาเรียกว่า เรือนบุปผารัญจวน ที่นั่นมีเรือนหลังเล็กแยกย่อยไปให้แต่ละนางอยู่เป็สัดส่วนพร้อมสาวใช้ติดตามตัวอีกสองคน เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้และเงินทองนั้น พ่อบ้านจูโหย่งเจาทำบัญชีเบิกจ่ายไว้อย่างละเอียด ละเอียดแม้กระทั้งว่าหญิงงามนางใดชอบผ้าสีไหน เครื่องประดับชนิดใด ตลอดจนอาหารการกิน ทำให้นางพลอยจดจำไปด้วย การจัดส่งเครื่องใช้ไปให้หญิงเ่าั้ นางเองย่อมเป็ผู้ช่วยพ่อบ้านจัดการด้วย อู่ชิงและอู่ยินมักพูดหยอกล้อนางบ่อยๆ ว่านอกจากนางจะเป็หญิงรับใช้ข้างกายท่านจอมมารแล้ว ยังเป็ผู้ช่วยพ่อบ้าน จูโหย่งเจาอีกด้วย แน่นอนว่าหากวันใดที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาใช้งานนานเกินไป พ่อครัวเจี่ยนจะถือตะหลิวเข้ามาด้วยท่าทีหงุดหงิด ใช้ตะหลิวชี้หน้าพ่อบ้านจูโหย่งเจาแล้วลากตัวนางกลับไปช่วยงานใครัว ทั้งสองอายุไล่เลี่ยกันอ่อนแก่กว่ากันคงแค่ไม่กี่ปี แต่ทะเลาะกันราวเด็กน้อย บางครั้งพ่อบ้านจูโหย่งเจายื้อแขนซ้ายของนาง และพ่อครัวเจี่ยนยื้อแขนขวาของนาง ทำให้นางได้แต่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก บ่าวรับใช้มีเป็ร้อย แต่ทุกคน้าใช้แรงงานของนางเป็ที่สุด
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเรียกใช้นางได้ แม้ปีนี้จอมมารเหิงหยางเซิงปีนี้จะอายุยี่สิบสามแล้ว แต่ยังไม่แต่งภรรยาเอกและไม่มีอนุ จะว่าไปนางคือสตรีนางเดียวที่ใกล้ชิดจอมมารผู้นี้มากที่สุด ใกล้ชิดเสียจนห้องนอนของนางคือห้องเล็กๆ ติดกับห้องนอนของจอมมารผู้นี้ เพียงเพื่อให้สะดวกแก่การเรียกใช้งาน นางจึงได้พักห้องเล็กเท่าห้องเก็บของข้างห้องของท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
ครึ่งปีก่อนหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกส่งตัวมาเป็เครื่องบรรณาการแด่ท่านจอมมาร นางเป็ที่โปรดปรานของเหิงหยางเซิงมาก คาดเดาจากการเรียกเข้าไปปรนนิบัติหลายคืนติดต่อกันนานนับเดือน แต่กระนั้นยังไม่มีสิทธิ์ได้ออกมาเดินเล่นนอกเรือนบุปผารัญจวน แต่ไม่รู้สตรีนางนั้นเอาความกล้ามาจากที่ใด เดินออกมานอกบริเวณที่กำหนดไว้ เชิดใบหน้างดงามขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาหยามเหยียด
คนที่อาศัยอยู่ในพรรคเพลิงอัคนีนี้มีหลากหลาย แต่ก่อนซินหรานเองเคยหวาดกลัวคนพวกนี้ บางคนใบหน้าอัปลักษณ์ บางคนมีรอยแผลเป็น่ากลัว บางคนมีแขนเพียงข้างเดียว บางคนมีหกนิ้ว บางคนตัวสูงใหญ่ราวกับก้อนหินั์ ทว่าเมื่อนางอยู่ไปได้เดือนเศษๆ เริ่มเข้าใจได้ดีว่า ภายใต้ความอัปลักษณ์และน่ากลัวนี้ มีจิตใจงดงามซ่อนอยู่ คนเหล่านี้รู้ว่านางผ่านเื่ใดมา จึงคอยดูแลนางเสมอ อย่างที่รู้กันว่านางเป็เด็กหญิงคนเดียวที่ไม่ต้องถูกส่งไปฝึกวรยุทธเพื่อเป็นักฆ่า เรียกว่าเป็ ‘คนปกติ’ เพียงคนเดียวที่มีอยู่ในนี้ก็ว่าได้ แต่ละคนจึงทำเหมือนประคอง ‘คนปกติ’ อย่างนางไว้ในอุ้งมือ เมื่อทุกคนดีกับนาง นางจึงดีกับพวกเขา อาหารที่ฝึกทำนอกจากพี่อู่เฉียงและสหายร่วมสาบานแล้ว ก็เหลือมาแบ่งปันพวกเขาเช่นกัน