เดิมทีนางคิดว่าจะไปซื้อโกดังที่ชานเมือง แต่ตอนที่เจียงหงหนิงนำภาพวาดกลับมาให้ดูที่บ้าน นางก็เกิดความคิดใหม่
“สถานศึกษาพวกเ้าสอนวาดภาพด้วยหรือ?” หลินหวั่นชิวแปลกใจเล็กน้อย
เจียงหงหนิงพยักหน้า “ขอรับ ท่านอาจารย์บอกว่าจะเอาแต่ท่องตำราไม่ได้ การเขียนอักษร วาดภาพ การเล่นหมากล้อมและศิลปะสำคัญเท่ากัน อนาคตผู้มีการศึกษาจะแลกเปลี่ยนแค่วิชาความรู้ในระบบไม่ได้ หากโชคดีสอบผ่าน เช่นนั้นต้องถูกเชิญไปร่วมงานกับกวีภาพวาดเป็แน่…แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองขายหน้า สู้แบ่งเวลาและความพยายามไปกับศาสตร์แขนงอื่นด้วยจะดีกว่า ขณะเดียวกันต้องศึกษาและพักผ่อนให้สมดุลกัน พวกข้าไม่เพียงศึกษาศิลปะ แต่ยังต้องฝึกมวยวันละครึ่งชั่วยาม ท่านอาจารย์บอกว่าถ้าอยากให้การเรียนก้าวหน้าต้องมีร่างกายและจิตใจแข็งแรง มิเช่นนั้นหากไม่แข็งแรงคงเอาตัวรอด่วันสอบไม่ไหว ที่สถานศึกษายังมีกฎอีกข้อ ยามหว่านเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง นักเรียนทุกคนต้องลงไปทำงาน ได้ยินว่าเพื่อให้พวกเราเข้าใจความยากลำบากว่ากว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ด สอบเคอจวี่เป็วิถีทางเพื่อก้าวไปเป็ขุนนาง หากไม่เอาการเอางาน เกาะผู้อื่นกิน…วันหน้าคงเป็ขุนนางฉ้อฉล ทำชาติบ้านเมืองล่มจม…”
ไม่แปลกเลยที่สถานศึกษาชิงซงจะมีชื่อเสียงที่ดี ที่แท้สถานศึกษาแห่งนี้ก็อบรมศีลธรรม คุณธรรม สติปัญญาและร่างกายครอบคลุมทุกด้าน หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่ส่งหงหนิงไปเรียนที่นี่
“หงหนิงของพวกเราวาดสวยนัก คงเพิ่งเริ่มเรียนใช่หรือไม่?” หลินหวั่นชิวมองภาพวาดอีกครั้งพร้อมเอ่ยชม
เจียงหงหนิงวาดภาพน้ำเต้าด้วยหมึก วาดได้สมจริงมาก
“จริงหรือขอรับ?” เจียงหงหนิงตาเป็ประกาย ใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อเพราะถูกหลินหวั่นชิวชม
“จริงอยู่แล้ว ยกภาพนี้ให้พี่สะใภ้เถิด วันพรุ่งพี่สะใภ้จะเอาไปติดกระดาษแข็งแล้วแขวนในห้องโถงบ้านพวกเรา วันหน้าหงหนิงมีภาพสวยๆ อีก พี่สะใภ้จะเอามาแขวนที่บ้านให้หมด”
หลินหวั่นชิวยิ้มตาหยี ั้แ่หงหนิงไปสถานศึกษา คุณสมบัติของเขาเปลี่ยนไป นิสัยก็น่ารักขึ้นมาก
ที่สำคัญคือตัวขาวและมีน้ำมีนวลขึ้น บีบแก้มแล้วเต็มไม้เต็มมือ
“ขอรับ” หงหนิงออกแรงพยักหน้า
หลินหวั่นชิวถามเขา “สถานศึกษาเ้ามีรุ่นพี่ที่วาดภาพเก่งแต่ไม่ค่อยมีเงินหรือไม่ เ้าช่วยไปสอบถามให้พี่สะใภ้หน่อยเถิด หากมีก็ลองถามพวกเขาดูว่าอยากรับงานระบายสีภาพวาดหรือไม่ ระบายสีหนึ่งเล่มให้ค่าแรงห้าร้อยอีแปะ ถ้าทำเก่งแล้วรวดเร็วกว่าคัดตำราเยอะ เพราะกว่าตำราจะเสร็จสักเล่มต้องใช้เวลาสองสามวัน ไม่เหมือนระบายสีที่วันเดียวทำได้หลายเล่ม เชี่ยวชาญแล้วทำสิบเล่มภายในหนึ่งชั่วยามก็ยังได้”
หนังสือภาพของนางใช้สีเรียบง่าย นางเลือกใช้สีจากดินสอสีและสีเทียน เพราะภาพที่นางวาดเป็แนวภาพประกอบและออกไปทางการ์ตูน
เช่นนี้แล้วจะได้ลดขั้นตอนที่ต้องผึ่งให้แห้งของน้ำหมึกสีน้ำเช่นกัน
เรียบง่าย สะดวก รวดเร็ว
ที่สำคัญคือ เมื่อหาคนมาระบายสี นางจะได้ไม่ต้องกังวลว่าผู้อื่นจะสงสัยในที่มาของสินค้า เอาของจริงของปลอมมาใส่รวมกัน ผู้ใดที่ไหนเล่าจะแยกออก?
“ได้ วันพรุ่งข้าจะไปถามให้ขอรับ” เจียงหงหนิงรับปากทันที เขากระตือรือร้นกับเื่ของพี่สะใภ้และของที่บ้านอยู่แล้ว
“พี่สะใภ้ ข้าเองก็ช่วยระบายสีได้เช่นกัน ไม่คิดค่าแรงด้วย!” เขาพูดต่อ
หลินหวั่นชิวยีหัวเขาด้วยรอยยิ้ม “เ้าจะแบ่งเวลามาระบายสีก็ได้ แต่ต้องทำงานแลกค่าแรงเหมือนคนอื่นๆ นี่เป็เงินที่เ้าหามาเอง เก็บไว้ใช้ได้ตามใจ”
“แต่ว่าพี่สะใภ้…” เขาแค่อยากช่วยงาน ไม่อยากได้ค่าแรง
“ไม่มีแต่ เ้าลองคิดดูเถิด ถ้าเ้ามีเงิน ไม่แน่ว่าอาจจ่ายค่าเรียนปีหน้าเองได้ เท่านี้ก็ถือว่าช่วยพี่สะใภ้ประหยัดแล้ว”
“พี่สะใภ้ เงินค่าแรงมาจากท่าน จะช่วยท่านประหยัดได้อย่างไร?”
หลินหวั่นชิว “…”
เหมือนว่าเด็กคนนี้จะเริ่มหลอกยากเสียแล้ว
“ไม่เหมือนกัน เงินที่พี่สะใภ้จ่ายค่าเรียนมาจากต้าเกอของเ้า แต่เงินที่เ้าจ่ายค่าเรียนมาจากน้ำพักน้ำแรงของเ้าเอง ความหมายไม่เหมือนกัน เข้าใจหรือไม่? เอาเถิด ถือว่าตกลงตามนี้ แต่พวกเราต้องตกลงกันก่อนนะว่าเ้าห้ามเสียการเรียนเพื่อหาเงิน เพราะหากเสียการเรียน พี่สะใภ้จะไม่ให้เ้าช่วยงานอีก”
หลินหวั่นชิวนำมาดของผู้ปกครองออกมา เจียงหงหนิงไม่พูดมากอีก
“เชื่อฟัง ไปทำการบ้านที่อาจารย์สั่งก่อน ไว้กินข้าวเย็นแล้วพี่สะใภ้จะเอาหนังสือภาพกับหนังสือภาพที่มีแค่โครงร่างมาให้ วันพรุ่งเ้าเอาไปสถานศึกษา”
ไล่หนุ่มน้อยน่ารักกลับห้องไปได้ หลินหวั่นชิวกลับเข้าห้องตัวเองเช่นกัน
นางไม่อยากวาดภาพแล้วเช่นกัน หยิบหนังสือภาพเล่มหนึ่งออกมาโยนเข้าห้องหัตถการเสียนอวี๋ เลือกแบบไม่มีสีและแนววาดด้วยมือ… เพียงสองวินาทีก็เสร็จเรียบร้อย
นางหยิบออกมาดู พอใจกับผลงานมาก
จากนั้นหลินหวั่นชิวเลือกทำซ้ำแบบไม่มีสีและแนววาดด้วยมือออกมาอีกร้อยเล่ม
สินค้ากึ่งสำเร็จเตรียมเสร็จเรียบร้อย นางเข้าเสียนอวี๋ไปซื้อดินสอสีกับสีเทียน วางแผนว่าจะจัดห้องข้างฝั่งตะวันตกเป็ห้องศิลปะโดยเฉพาะ เช่นนั้นต้องซื้อโต๊ะยาวเพิ่มอีกตัวและเก้าอี้อีกจำนวนหนึ่ง
เนื่องจากยุคนี้ยังไม่มีดินสอสีและสีเทียน นางจึงไม่อนุญาตให้ผู้ใดนำของสองอย่างนี้กลับไป ต้องมาระบายสีที่นี่เท่านั้น
หลินหวั่นชิวคิดเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ อยู่ในห้อง เพื่อป้องกันไม่ให้มีกระไรตกหล่น นางเขียนรายละเอียดเป็ข้อๆ ออกมา สร้างกฎและข้อบังคับขึ้นมา วางแผนว่าเดี๋ยวให้หงหนิงช่วยเขียนเป็อักษรตัวใหญ่ๆ และติดในห้องศิลปะ
ตอนนี้ลายมือหงหนิงประณีตเรียบร้อยมาก ขณะเดียวกันก็เป็วิธีส่งเสริมเด็กแบบหนึ่ง กระไรที่เขามีส่วนร่วมได้ก็ให้มีส่วนร่วม หากเขารู้สึกว่าลายมือตัวเองใช้ไม่ได้ก็จะตั้งใจฝึกมากขึ้นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินหวั่นชิวตามเจียงหงหย่วนกลับหมู่บ้านเค่าซานอีกครั้ง รอบนี้เจียงไฉเป็คนขับ พ่อแม่ลูกสามคนนั่งอยู่นอกรถ
เดิมทีหลินหวั่นชิวจะให้พี่สะใภ้ฝูหรงกับเจียงเป่าเข้ามานั่งด้านในด้วยกันเพราะอากาศหนาว แต่เจียงหงหย่วนไม่ยินยอม นางจึงได้แต่ปล่อยไป ถูกชายฉกรรจ์กอดคลำตลอดทาง
นางรู้อยู่แล้วเชียวว่าเ้าหมอนี่ไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้ามาด้วยเพราะมีจุดประสงค์!
โชคดีที่ถึงที่หมายทันเวลา ชายฉกรรจ์ลงจากรถอย่างเชื่องช้า
พวกหลิวซื่อกับป้าสองจ้าวต่างอยู่กันครบหมด หลินหวั่นชิวช่วยแนะนำผู้มาใหม่ให้พวกนางรู้จัก
หลิวซื่อถอนหายในใจ มีบ่าวใช้แล้ว…
ป้าสองจ้าวยิ้มกว้าง เข้ามาพูดคุยกับพี่สะใภ้ฝูหรงทันที พาทั้งครอบครัวไปดูรอบๆ อย่างมีน้ำใจ