บทที่ 2 เธอใสบริสุทธิ์ดั่ง...ดอกบัวขาว
เสียงประตูดังปังเมื่อครู่ไม่ได้เพียงแค่ปลุกสัญชาตญาณดิบของหลินซูเม่ยให้ตื่นขึ้น แต่มันยังปลุกอสรพิษอีกตัวหนึ่งที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังนี้ให้เลื้อยออกมาจากรังของมันด้วย
ไม่ถึงสิบนาทีหลังจากที่จางเหว่ยจากไปพร้อมกับความเดือดดาล ประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดออกอีกครั้งโดยไม่มีการเคาะเตือน กลิ่นน้ำหอมราคาถูกกลิ่นดอกมะลิที่เธอแสนจะเกลียดชังลอยนำมาก่อน พร้อมกับร่างระหงในชุดเดรสสีขาวสะอาดตาของหลินซูซาน
น้องสาวต่างมารดาของเธอ... ดอกบัวขาวผู้เป็ที่รักของทุกคน
"พี่ซูเม่ย..." น้ำเสียงของซูซานหวานหยดย้อย แต่แฝงไปด้วยการตำหนิอย่างแเี "เมื่อกี้นี้พี่จางเหว่ยเดินหน้าตาบูดบึ้งออกไปจากบ้านเรา พี่ไปพูดอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่าคะ?"
หลินซูเม่ยละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หันไปมองน้องสาวของเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉยจนน่าขนลุก ในชาติก่อนแค่เห็นใบหน้าที่ดูไร้เดียงสาและแววตาที่เหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลานี้ เธอก็ใจอ่อนยอมทำทุกอย่างให้ แต่ในชาตินี้... เธอมองเห็นทะลุเปลือกนอกอันสวยงามเข้าไปถึงหัวใจที่ดำมืดราวกับถ่าน
"แล้วเธอคิดว่าฉันพูดอะไรล่ะ?" หลินซูเม่ยถามกลับเสียงเรียบ ไม่ได้ลุกขึ้นต้อนรับหรือแสดงท่าทีเป็มิตรแต่อย่างใด
หลินซูซานชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของพี่สาว ปกติแล้วซูเม่ยจะรีบอธิบายแก้ตัวกับเธอเสมอ เธอกระพริบตาปริบๆทำให้ั์ตาฉ่ำวาวขึ้นมาทันที ราวกับมีหยาดน้ำใสๆ กลิ่นอายของความน่าสงสารแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอ
"ซูซานไม่ทราบหรอกค่ะ แต่พี่จางเหว่ยดูเสียใจมากเลย เขาเป็คนดีและรักพี่มากนะคะ มีอะไรก็น่าจะค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน" เธอเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทำงานของซูเม่ย กวาดตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว "ซูซานแค่เป็ห่วง กลัวว่าพี่จะตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป"
"เป็ห่วง?" หลินซูเม่ยแค่นเสียงในลำคอ "หรือเป็ห่วงว่า ว่าที่พี่เขยของเธอจะไม่ได้เงินทุนไปตั้งตัวกันแน่?"
คำพูดที่ตรงไปตรงมาและเสียดแทงนั้นทำให้ใบหน้าหวานของหลินซูซานซีดเผือดไปชั่วขณะ เธอรีบปรับสีหน้ากลับมาเป็เศร้าสร้อยดังเดิม "พี่ซูเม่ย... ทำไมพูดกับซูซานแบบนี้ล่ะคะ ซูซานทำอะไรให้พี่ไม่พอใจเหรอ ถ้าใช่ ซูซานขอโทษนะ"
นี่แหละ... อาวุธประจำตัวของเธอ การแสดงบทบาทเหยื่อผู้ถูกกระทำได้อย่างแเีจนทุกคนต้องเชื่อ
"เธอไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก" หลินซูเม่ยตอบ ขณะที่นิ้วเรียวของเธอยังคงเคาะเบาๆ บนโต๊ะเป็จังหวะ "แต่ฉันแค่สงสัยน่ะ ว่าทำไมทุกครั้งที่จางเหว่ย้าอะไร เขาไม่เคยไปขอกับเธอ ทั้งๆ ที่เธอก็เป็น้องสาวที่เขารักและเอ็นดูนักหนา ทำไมต้องข้ามหัวเธอมาที่ฉันตลอดเลยล่ะ?"
หลินซูซานอ้ำอึ้งไปทันที คำถามนี้จี้ใจดำเธออย่างจัง เพราะเธอไม่มีเงินเก็บเป็ชิ้นเป็อัน เงินทุกหยวนที่ได้จากพ่อจะถูกใช้ไปกับเสื้อผ้า เครื่องสำอางและของฟุ่มเฟือยเพื่อรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้อ่อนหวานของเธอเอาไว้
"ก็... ก็พี่เป็แฟนเขานี่คะ อีกอย่าง... ซูซานไม่มีเงินเก็บเยอะเท่าพี่นี่นา" เธอตอบเสียงอ่อย
"อ้อเหรอ?" หลินซูเม่ยลากเสียงยาว "ไม่มีเงินเก็บ... แต่กลับมีปัญญาซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่ที่วางอยู่บนโซฟาข้างนอกนั่นได้สินะ ช่างเป็น้องสาวที่น่าชื่นชมจริงๆ"
ดวงตาของหลินซูซานเบิกกว้างด้วยความใ เธอไม่คิดว่าพี่สาวที่ไม่เคยสนใจเื่พวกนี้จะสังเกตเห็น ความร้อนผ่าวแล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้า แต่เธอก็ยังคงคุมสถานการณ์ไว้ได้
"กระเป๋าใบนั้น... คุณพ่อซื้อให้เป็ของขวัญวันเกิดล่วงหน้าค่ะ" เธอบีบน้ำตาออกมาหยดหนึ่งจนได้ "พี่ก็รู้ว่าซูซานไม่เคยรบกวนขออะไรคุณพ่อเลยนะ"
"ใช่สิเธอไม่เคยขอ เธอแค่ทำตัวน่าสงสารจนพ่อกับป้าหวังต้องประเคนทุกอย่างให้เองต่างหาก" หลินซูเม่ยพูดสวนขึ้นมาทันที ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้เล่นละครต่อ "เลิกเสแสร้งได้แล้วซูซาน ฉันเบื่อที่จะต้องมานั่งดูละครน้ำเน่าฉากเดิมๆ ของเธอเต็มทีแล้ว"
ครั้งนี้ หลินซูซานถึงกับหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด หน้ากากนางฟ้าของเธอเริ่มปรากฏรอยร้าว เธอไม่เคยถูกซูเม่ยต้อนจนมุมแบบนี้มาก่อน
"พี่ซูเม่ย... พี่เป็อะไรไป ทำไมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้"
"ฉันก็เป็ฉันคนเดิมนี่แหละ" หลินซูเม่ยลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จ้องมองน้องสาวด้วยสายตาที่เ็าจนน่ากลัว "อาจจะแค่... ฉลาดขึ้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง"
ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปกว่านี้ เสียงะโจากข้างนอกก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
"ซูเม่ย! ซูซาน! ออกมากินข้าวได้แล้ว!"
เสียงของหวังลี่ แม่เลี้ยงของเธอเอง
หลินซูซานได้ยินดังนั้นก็รีบเปลี่ยนโหมดทันที เธอเช็ดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ลวกๆ แล้วหันมาพูดกับซูเม่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "เดี๋ยวซูซานจะลองคุยกับพี่จางเหว่ยให้นะคะ พี่อย่าโกรธเขาเลยนะ" พูดจบเธอก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทิ้งท้ายด้วยภาพแผ่นหลังที่บอบบางน่าสงสาร
หลินซูเม่ยส่ายหัวอย่างสมเพช ละครบทนี้... เธอจะไม่ยอมเป็ผู้ชมอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเธอเดินออกมาที่โต๊ะอาหาร บรรยากาศก็มาคุอย่างเห็นได้ชัด หลินเจิ้นหัวพ่อของเธอนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนหวังลี่แม่เลี้ยงของเธอกำลังคีบเนื้อปลาส่วนที่ดีที่สุดใส่ชามให้ลูกสาวสุดที่รักของหล่อน โดยไม่แม้แต่จะชายตามองมาทางเธอ
หลินซูเม่ยเดินไปนั่งลงที่ประจำของเธออย่างเงียบเชียบ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว มีเพียงเสียงกระทบกันของตะเกียบและชามเท่านั้น
ผู้ที่ทำลายความเงียบนี้คือหวังลี่ นางวางตะเกียบลงเสียงดังพอให้ทุกคนได้ยิน ก่อนจะหันไปทางสามีด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก "คุณเจิ้นหัวคะ นี่คุณไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อเป็การสั่งสอนกับลูกสาวของคุณเลยเหรอคะ
"ฉันใช้เงินของฉันเอง จะทำอะไรมันก็เป็สิทธิ์ของฉัน" หลินซูเม่ยตอบเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาดที่คนในบ้านไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอคีบผัดผักเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ราวกับว่าคนที่กำลังถูกรุมตำหนิไม่ใช่เธอ
"สิทธิ์ของเธองั้นเหรอ!" หวังลี่ตบโต๊ะเสียงดังปัง! "เงินที่เธอได้มาก็เพราะอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ไม่ใช่รึไง! ถ้าไม่มีฉันกับพ่อเธอคอยส่งเสียให้เรียน เธอจะมีปัญญาหาเงินได้หรือไง! ตอนนี้น้องเดือดร้อน พี่สาวอย่างเธอกลับใจดำไม่ยอมช่วยเหลือ ยังมีหน้ามาพูดเื่สิทธิ์อีกเหรอ!?"
"คุณแม่พูดถูก" ซูซานเสริมทัพทันที น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม "พี่ซูเม่ย... ซูซานไม่ได้อยากได้เงินของพี่เลยนะคะ ซูซานแค่อยากให้พี่ช่วยพี่จางเหว่ย เขาเป็คนดีมีความสามารถจริงๆ นะคะ ถ้าเขาตั้งตัวได้ อนาคตของพี่ก็จะสุขสบายไปด้วยไม่ใช่เหรอคะ ทำไมพี่ถึงมองไม่เห็นความหวังดีของเขาและของพวกเราเลย"
ความหวังดี... ช่างเป็คำที่เสียดแทงเหลือเกิน ความหวังดีที่หมายถึงการเสียสละของเธอเพื่อความสุขสบายของพวกแกน่ะหรือ?
หลินซูเม่ยค่อยๆ วางตะเกียบลง เสียงกริ๊กเบาๆ มันดังสะท้อนในความเงียบ เธอเงยหน้าขึ้น สบตาทุกคนบนโต๊ะทีละคน... หวังลี่ที่หน้าตาเอาเื่ หลินซูซานที่ร้องไห้จนน่าสมเพช และสุดท้าย...สายตาของเธอหยุดลงที่หลินเจิ้นหัว ผู้เป็พ่อที่นั่งเงียบมาตลอด
"พ่อคะ"เธอเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบแต่ทรงพลังอย่างประหลาด "พ่อก็คิดแบบนั้นเหรอคะ พ่อคิดว่าลูกสาวคนนี้มีหน้าที่ต้องสละทุกอย่างเพื่อความฝันของคนอื่นเหรอคะ?"
หลินเจิ้นหัวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกดึงเข้ามาเป็ศูนย์กลางของความขัดแย้ง เขาหลบสายตาของลูกสาวคนโต แล้วพูดเสียงอ้อมแอ้มว่า "ซูเม่ย... จางเหว่ยก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล และซูซานน้องเขาก็หวังดีกับแกจริงๆ นั่นแหละ เงินแค่สองหมื่น ถ้าช่วยแล้วทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มันก็..."
"มันก็คุ้มค่า... ที่จะให้ลูกสาวคนโตเสียสละ ใช่ไหมคะ?" หลินซูเม่ยพูดต่อประโยคให้จบด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน "เหมือนกับตอนนั้น... ที่พ่อบอกให้หนูสละสิทธิ์ทุนเรียนต่อต่างประเทศให้ซูซาน เพราะน้องร่างกายอ่อนแอ เหมือนกับตอนที่พ่อเอาเงินเก็บของหนูไปจ่ายค่าเสื้อผ้าให้น้อง ทั้งที่บอกว่าจะยืมไปหมุนก่อน เหมือนทุกๆ ครั้งที่พ่อบอกให้หนูเสียสละเพื่อคำว่าครอบครัวที่ไม่เคยมีหนูอยู่ในนั้นจริงๆ เลย"
ทุกคำพูดของเธอราวกับค้อนที่ทุบลงบนโต๊ะอาหาร ทุบทำลายภาพลักษณ์ครอบครัวอันแสนสุขที่พวกเขาสร้างขึ้นมาอย่างจอมปลอม หวังลี่อ้าปากค้าง ส่วนซูซานถึงกับหยุดร้องไห้ด้วยความใ
หลินเจิ้นหัวหน้าซีดเผือด "แก... แกพูดเื่อะไร! เื่มันผ่านไปตั้งนานแล้วจะรื้อฟื้นขึ้นมาทำไม!?"
"เพราะมันไม่เคยผ่านไปสำหรับหนูค่ะ!" หลินซูเม่ยตวาดกลับเป็ครั้งแรก เสียงของเธอสั่นเครือด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นมานานข้ามภพข้ามชาติ "มันฝังอยู่ในใจหนูมาตลอด! หนูพยายามแล้ว พยายามทำตัวเป็พี่สาวที่ดี เป็ลูกสาวที่ดี แต่ผลตอบแทนที่ได้คืออะไรคะ? คือการถูกมองข้าม ถูกเอาเปรียบ และถูกคาดหวังให้เป็ฝ่ายให้เสมอ! วันนี้หนูขอบอกให้ชัดๆ ตรงนี้เลยนะคะ..."
เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แววตาที่เคยสั่นไหวกลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง "เงินสองหมื่นหยวนนั่น... หนูเอาไปลงทุนหมดแล้ว และต่อจากนี้ไป เงินทุกหยวนที่หนูหามาได้ จะไม่มีใครหน้าไหนมีสิทธิ์มาแตะต้องอีก! ส่วนอนาคตของจางเหวย... เขาอยากจะรุ่งหรือจะร่วง ก็เป็เื่ของเขา ไม่เกี่ยวกับหนู!"
"แก!!!" หวังลี่ชี้หน้าเธอ ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ "นังลูกไม่รักดี! เลี้ยงเสียข้าวสุก! แกกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้!"
"แล้วป้ากล้าดียังไงมายุ่งเื่ของหนูล่ะคะ!" ซูเม่ยสวนกลับทันควัน "ป้าเป็แค่แม่เลี้ยง ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหนู อย่าได้คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์มาสั่งสอนหนู!"
เพียะ!
ฝ่ามือของหลินเจิ้นหัวฟาดลงบนใบหน้าของหลินซูเม่ยอย่างแรงจนหน้าหัน ความเจ็บแสบแล่นปราดไปทั่วแก้มซีกซ้าย ทิ้งรอยนิ้วมือแดงเถือกเอาไว้ ทุกอย่างบนโต๊ะเงียบกริบลงทันที มีเพียงเสียงหอบหายใจอย่างแรงของหลินเจิ้นหัว
หวังลี่และซูซานมีสีหน้าสะใจอย่างปิดไม่มิด
หลินซูเม่ยค่อยๆ หันหน้ากลับมา ดวงตาของเธอแดงก่ำ แต่มันไม่ใช่เพราะความเสียใจ... มันคือแววตาของคนที่แตกสลายโดยสมบูรณ์ เธอไม่ได้ร้องไห้แม้แต่นิดเดียว แต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ
"ขอบคุณค่ะ...พ่อ" เธอลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองหน้าพ่อของเธอเป็ครั้งสุดท้าย "ขอบคุณที่ตบหนูในวันนี้... มันทำให้หนูตาสว่างและตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะเลย"
พูดจบเธอก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้คนทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโกรธ ทั้งสะใจ และทั้ง... หวั่นใจอย่างประหลาดกับท่าทีของเธอ
ปัง!
เสียงประตูปิดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่การปิดประตูห้องนอน...
มันคือเสียงของการปิดฉากชีวิตเก่า และเปิดประตูสู่าครั้งใหม่ ที่จะไม่มีคำว่าครอบครัวมาเป็โซ่ตรวนของเธออีกต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้