ในส่วนลึกของวังเฟิงเหลย มีลานกว้างที่ห่างไกลผู้คนอยู่แห่งหนึ่ง
ลานแห่งนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ตรงกลางมีต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านอยู่สองต้น บดบังลานแห่งนี้ไปแล้วหนึ่งในสามส่วน
บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งในลานกว้างแห่งนี้เต็มไปด้วยใบไม้ แต่ไม่มีใครเก็บกวาดทำให้ดูสกปรกรกร้าง
ผู้มากความสามารถคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นี่ ได้รับการเคารพเลื่อมใสจากราชวงศ์แห่งแคว้นเฟิงเหลย
ในขณะนั้นเอง มีแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวขึ้นตรงทางเข้าออกลานกว้าง และในมือของเขายังอุ้มเด็กสองคนเอาไว้ด้วย
เด็กสองคนนี้มีอายุราวหกขวบ คนหนึ่งเป็ผู้ชายและอีกคนหนึ่งเป็ผู้หญิง พวกเขาต่างตื่นกลัว มือเท้าถูกมัดไว้ อยากบอกกล่าวสิ่งใดก็ทำไม่ได้เพราะโดนปิดปาก
“ผู้าุโ ข้ามาแล้ว”
คนผู้นี้คือจักรพรรดิแห่งแคว้นเฟิงเหลย คนอื่นอาจเห็นเขาทรงพลังยิ่งใหญ่ เป็จักรพรรดิที่โดดเด่น
แต่ตอนนี้เขากำลังมองลานกว้างเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม ท่าทางนอบน้อมอย่างมาก
ลานกว้างที่เงียบสงบพลันมีพายุโหมกระหน่ำขึ้นมา พายุพัดโหมไปทั่วทั้งลานกว้างและพุ่งตรงออกไปเพื่อเปิดประตูลาน ทำให้เสื้อผ้าของจักรพรรดิสะบัดพลิ้วอย่างรุนแรง
เด็กสองคนนั้นโดนพายุหอบไปแล้วทั้งที่ยังตื่นกลัว
เนื่องจากพวกเขาโดนปิดปากไว้มิอาจบอกกล่าวสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงแสดงความสิ้นหวังออกมาทางดวงตา ทั้งหวาดกลัวและไร้ความช่วยเหลือ
โพละ! โพละ!
หมอกโลหิตสองกลุ่มกระเซ็นออกมาตรงหน้าเด็กสองคนนั้น จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมกับพลังชีวิตที่เลือนหายไปด้วย
ต่อมาพายุก็จางหาย ลานกว้างแห่งนั้นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“ผู้าุโ ข้าเข้าไปนั่งสักหน่อยได้หรือไม่”
จักรพรรดิมองประตูที่ปิดสนิทเบื้องหน้า พลางกล่าวด้วยท่าทีที่ยังคงนอบน้อม
ประตูลานกว้างที่ไม่เคลื่อนไหวพลันมีเสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น ประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นบรรยากาศภายในลานกว้าง
จักรพรรดิเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปด้านใน
เมื่อเข้ามาภายในลานกว้างแล้ว เขาเดินไปยืนใต้ต้นไม้อย่างว่าง่าย ไม่กล้าทำอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย
“ว่ามา”
จากนั้นเสียงแหบพร่าของชายชราคนหนึ่งพลันดังออกมาจากภายในเรือน
“เขาทำลายผนึกออกมาแล้ว”
จักรพรรดิกล่าวกับเรือนหลังนั้น
“หืม?”
หลังจากได้ยินคำของจักรพรรดิ เสียงจากภายในเรือนจึงกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
จากนั้นพายุได้โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง หัวที่เกิดขึ้นจากพลังพุ่งออกมาจากในเรือน มาอยู่ตรงหน้าจักรพรรดิในพริบตาและสบตาจักรพรรดิอยู่
หัวที่เกิดจากพลังนี้มีผมสีขาวยุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำดูกระหายเื หน้าซีดขาวคล้ายโดนถลกหนังออกไปชั้นหนึ่ง ทำให้จักรพรรดิที่โดนสบตาหัวใจเต้นรัว
“ใครเป็คนทำลาย”
เสียงแหบพร่าดังออกมาจากปากของหัวนั้น
“ข้าไม่รู้ ไม่เจอร่องรอยพลังใดๆ จากพลังที่ทำลายออกมาเลย ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็ดั่งหวัง” จักรพรรดิพยายามข่มจิตใจให้สงบนิ่งพลางกล่าว
“หาเจอแล้วให้พามาที่นี่”
เสียงแหบพร่านั้นดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นหัวที่เกิดจากพลังจึงพุ่งกลับเข้าไปภายในเรือนอย่างรวดเร็ว ประตูเรือนปิดสนิทในพริบตาคล้ายกับไม่เคยถูกเปิดมาก่อน
“ขอรับ”
จักรพรรดิก้มหน้าเล็กน้อยพลางกล่าว
“ข้า... ข้ายังมีอีกเื่”
“ผู้าุโยอมรับในตัวข้าอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ากำลังจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้น หากไม่มีผู้าุโคอยช่วยเหลือ ข้าเกรงว่าจะรับมือได้ยาก”
“ไปจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อย แล้วข้าจะทำให้พลังยุทธ์ของเ้าถึงขั้นเกียรติยศ”
“ขอรับๆ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
จักรพรรดิกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
แม้อีกฝ่ายจะมีการกระทำแปลกๆ แต่คำของอีกฝ่ายยังเชื่อถือได้ ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ออกมาแล้ว พลังยุทธ์ของเขาจะเลื่อนไปถึงขั้นเกียรติยศได้เมื่อไรขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
จากนั้นจักรพรรดิจึงค่อยๆ ล่าถอยออกมาจากลานกว้าง ทว่าลึกเข้าไปในแววตาของเขากลับส่งประกายบางอย่างที่สังเกตเห็นได้ยากออกมา
ในแคว้นเฟิงเหลยแห่งนี้ ยังไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้อย่างแท้จริง
ตราบใดที่เขายังควบคุมคนอื่นได้ ใครคิดควบคุมเขาจะต้องตายอย่างไร้ร่องรอย
ก่อนที่จะออกจากมิติใต้หนองน้ำ เสิ่นเสวียนได้ทำลายร่องรอยของตนเองไปแล้ว แม้มีคนมาตรวจสอบก็ไม่เจอสิ่งใด
เมื่อออกจากที่นี่แล้ว เสิ่นเสวียนก็มุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตกของเมืองชางฉงในทันที
ตอนนี้มีเสิ่นสืออีปกป้องอยู่ข้างกายแล้ว พลังป้องกันตัวของเสิ่นเสวียนจึงแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แม้การทะลวงคลายผนึกของผังเมืองซานเหอจะทำให้จิติญญาของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่เสิ่นสืออียังอยู่ ทำให้พลังไม่ได้ลดลงเลย
ตอนนี้เขาแยกตัวออกมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว เขาอยากเห็นว่าเสิ่นเสี่ยวเม่ยและคนอื่นๆ เป็อย่างไรบ้าง
ทว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้าเมืองไปนั้น กลับเจอคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง
เดิมทีคนที่คุ้นเคยคนนี้ไม่ได้มีแรงดึงดูดต่อเขามากนัก
ทว่าไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของอีกฝ่ายกลับดึงดูดความสนใจของเขา
สามคนนั้นกำลังดื่มสุราอยู่ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของเมืองชางฉง
สองคนมีพลังยุทธ์ขั้นราชันระดับสูงสุด และคนหนึ่งมีพลังยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับกลาง
คนที่มีพลังยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับกลางคือคนที่เสิ่นเสวียนรู้จัก เขาก็คือชายชราที่มากับคุณชายรองแห่งตระกูลเฝิง ที่ได้เจอกันในโรงเตี๊ยมของตระกูลเฝิงก่อนหน้านี้ เขามีชื่อว่าอู๋ิ
บนร่างของพวกเขาสามคนมีไอพลังของพวกเริ่นเสี้ยวเทียนคละเคล้าอยู่ โดยเฉพาะคนที่ชื่ออู๋ิผู้นั้นที่มีไอพลังของพวกเริ่นเสี้ยวเทียนรุนแรงที่สุด
ไอพลังเช่นนี้คนทั่วไปอาจััไม่เจอ แต่เสิ่นเสวียนรู้จักกับพวกเริ่นเสี้ยวเทียนเป็อย่างดี บวกเข้ากับพลังััของเขาที่ไม่ธรรมดา จึงััได้ในทันที
คนเหล่านี้เคยสู้กับพวกเริ่นเสี้ยวเทียนมาก่อน
เขาเคยมอบจี้หยกอันหนึ่งให้เสิ่นเสี่ยวเม่ย จี้หยกอันนั้นเชื่อมต่อเข้ากับเปลวเพลิงแห่งชีวิตของเสิ่นเสี่ยวเม่ย หากเกิดเื่อะไรกับเสิ่นเสี่ยวเม่ย จี้หยกอันนั้นจะส่งสัญญาณให้เขารับรู้ได้ แต่เขาไม่รับรู้เลยแสดงว่าพวกเริ่นเสี้ยวเทียนยังไม่เป็อะไร
แต่ในเมื่อต่อสู้กันแล้วคงปล่อยผ่านเื่นี้ไปไม่ได้
อู๋ิมีพลังยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับกลางแล้ว พวกเริ่นเสี้ยวเทียนคนใดคนหนึ่งยังเอาชนะไม่ได้เลย และบนร่างของเขายังมีไอพลังของพวกเริ่นเสี้ยวเทียนคละเคล้ารุนแรงขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาเคยทำให้พวกเริ่นเสี้ยวเทียนาเ็มาก่อน
คิดได้ดังนั้นแววตาของเสิ่นเสวียนจึงวาวโรจน์ด้วยเจตจำนงสังหารในพริบตา
เื่นี้เขาอภัยให้ไม่ได้
จากนั้นเขาจึงเดินตรงไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้นทันที
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ชายแดนทิศใต้ของเมืองชางฉง เป็สถานที่ที่ผู้คนเดินทางเข้ามาจากทางใต้ของเมือง เรียกได้ว่าคึกคักเลยทีเดียว
อู๋ิและขั้นราชันระดับสูงสุดสองคนนั้นกำลังดื่มสุราอยู่ด้านใน
ครึ่งเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมานี้ พวกเขาเคร่งเครียดมาตลอด จนภายหลังเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ตอนนี้พวกเขาทั้งสามกำลังทำภารกิจอย่างหนึ่งอยู่ นั่นคือตรวจสอบคุณชายผู้หนึ่งในเมืองชางฉง
ทว่าในขณะนั้น กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งเดินเข้ามาถึงโต๊ะของพวกเขาแล้วนั่งลง
“ใครให้เ้านั่ง ไสหัวไป”
ขั้นราชันคนหนึ่งเห็นเสิ่นเสวียนนั่งลง จึงะโไล่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในขณะเดียวกัน ไอพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาพุ่งเข้าปกคลุมร่างของเสิ่นเสวียนเอาไว้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นราชันทั่วๆ ไปโดนพลังนั้นโจมตียังต้องกระเด็นไปเลย แต่เสิ่นเสวียนกลับนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เขาััได้ถึงพลังแต่ทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
“ไม่ต้อนรับสหายเก่าเช่นนี้เลยหรือ”
เสิ่นเสวียนนั่งอยู่ตรงนั้น เริ่มหยิบตะเกียบคีบอาหารบนโต๊ะมากิน
เขาไม่ได้กินอาหารมานานแล้ว ทำให้เขารู้สึกคิดถึงอาหารเล็กน้อย บนโต๊ะนี้มีอาหารดีๆ อยู่หลายอย่าง ทั้งเนื้อวัว ขาแพะ และขาหมู ล้วนแล้วแต่หรูหราทั้งนั้น เสิ่นเสวียนคีบกินไปหลายคำโดยไม่เกรงใจพวกเขาเลย
“น้องๆ ขอสุราไหหนึ่ง”
เสิ่นเสวียนกินอาหารไปพลางส่งเสียงเรียกลูกจ้างในโรงเตี๊ยม
“ขอรับ คุณลูกค้ารอสักครู่”
ลูกจ้างได้ยินเสียงเรียกของเสิ่นเสวียน จึงยกสุรามาให้ทันที
อู๋ิมองเสิ่นเสวียนที่กำลังกินดื่ม ส่วนขั้นราชันอีกสองคนตกตะลึงไปแล้ว สามารถรับมือกับพลังโจมตีของพวกเขาได้ แสดงว่าคนผู้นี้ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมาก
คนหนุ่มอายุแค่นี้กลับมีพลังถึงขนาดนี้ เื้ัของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าจำเ้าได้แล้ว เ้าคือเด็กหนุ่มที่มากับคุณชายใหญ่ในวันนั้น”
อู๋ิมองเสิ่นเสวียนโดยไม่รังเกียจ พลางยิ้มเย็นออกมา
กล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ มีความเป็ไปได้เพียงสองอย่าง หนึ่งคือคนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งมาก มั่นใจว่าจะรอดไปได้ และสองคือคนผู้นี้เป็บ้าไปแล้ว
“คุณชาย สุราของท่าน”
ขณะนั้นลูกจ้างได้นำสุราเข้ามาวางลงตรงหน้าเสิ่นเสวียน
“เ้ามาทำอะไรที่นี่”
อู๋ิเห็นเสิ่นเสวียนไม่สนใจเขาจึงเอ่ยถามไปอีกครั้ง
เสิ่นเสวียนรินสุราด้วยท่าทางปกติแล้วดื่มเข้าไปจนหมด จากนั้นก็เรอออกมา
“กินเร็วไปหน่อย ขออภัยด้วย อ้อ! ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อเอาชีวิตเ้า”
เสิ่นเสวียนกล่าวกับสามคนนั้นอย่างไม่เกรงใจ