ในตอนแรกที่ได้ยินว่ามีเผ่าประหลาดบุกรุกเข้ามาในเหวลึกแห่งนี้ ฉินอวี่ก็มีความกังวลอย่างมาก เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่ามีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเต๋าคนหนึ่งยอมบุกรุกเข้ามายังเหวลึก
ในตอนนั้น เขาคิดไว้ว่าไม่น่าจะเป็คนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว สำนักยุทธ์ว่านจ้งไม่น่าจะเข้ามายังเขตของเหวลึกได้ง่ายๆ... แต่ในตอนนั้น ในใจของฉินอวี่ก็ยังแอบมีความหวัง ว่าอยากให้โชคดีที่เป็ผู้แข็งแกร่งของเผ่าหยาจื้อที่บุกเข้ามายังเหวลึก
แต่ในตอนนี้ เมื่อรู้ว่าคนที่บุกรุกมายังเหวลึกเป็คนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ฉินอวี่ก็ตกตะลึงอย่างมาก... และหลัวชิงเยว่ก็เคยพูดไว้ ว่าเผ่าประหลาดนั่น เพิ่งจะรวบรวมแก่นเต๋าได้... หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งคือเพิ่งจะเข้าสู้ระดับเขตแดนเต๋า!
“ไม่น่าจะเป็เขา เป็ไปไม่ได้! เขายังไม่กลับมาสำนัก” ฉินอวี่รู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ คัดค้านอย่างต่อเนื่อง แต่หากตัดสินจากเบาะแสที่ได้รับ เขาก็สรุปได้ว่า คนที่เข้ามาในเหวลึก และเปิดฉากสังหารไปเป็จำนวนมาก มีโอกาสที่จะเป็อาจารย์ของตนเอง... หวังถิง!
“ไม่น่าจะใช่เขา ตนเองจะเป็ศิษย์ของเขา แต่ด้วยความเป็ศิษย์อาจารย์แต่ในนาม ไม่ได้เป็ศิษย์อาจารย์กันจริงๆ ย่อมไม่อาจเป็ไปได้ที่เขาจะยอมเสี่ยงชีวิตเข้ามาในเหวลึกที่สุดจะอันตรายเพื่อช่วยชีวิตลูกศิษย์ที่ตนเองเพิ่งรับไว้ไม่นาน...” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง และนึกถึงคนแก้มแดงเหมือนดื่มสุราตลอดเวลาคนนั้น จนรู้สึกสับสนอย่างมากอยู่ในใจ
แต่เมื่อยิ่งคิดทบทวนเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเป็ไปได้ว่าจะเป็อาจารย์ สิ่งนี้ทำให้ฉินอวี่รู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก เขาอยู่ที่นี่โดยลำพัง และกำลังสวมรอยเป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้เขาอยู่ในแดนต้าโหมวเทียนได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แต่หากอาจารย์เข้ามาที่นี่ ก็จะกระทบกับแผนการของเขาแน่นอน ที่สำคัญ มันจะเป็การเปิดเผยตัวตนของเขาอีกด้วย!
เดิมทีแล้ว ฉินอวี่ตั้งใจจะแย่งชิงตำแหน่งสามสิบหกขุนพล์ และหลังจากได้รับวิชาลับทั้งเก้าแห่งจูเทียนจากผู้เฒ่าร้องไห้ ก็จะมุ่งหน้าไปยังสนามรบปรโลก และจะเดินทางจากสนามรบปรโลกกลับไปเผ่าหยาจื้อด้วยสถานะศิษย์ของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ถึงตอนนั้น เมื่อมีสัญญาไท่กู่อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลใจว่าเผ่าหยาจื้อจะทำอะไรตนเอง
แต่ในตอนนี้ หากอาจารย์ได้เข้ามายังที่แห่งนี้จริงๆ ฉินอวี่จะออกไปคนเดียวได้อย่างไร?
“บ้าเอ๊ย! หวังว่าจะไม่ใช่ท่านนะ ผู้าุโ!” ฉินอวี่บ่นอยู่ในใจ ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ฉินอวี่ก็คงต้องยืนยันมันด้วยตัวเอง จากนั้น เขาจึงแสร้งทำเป็สงบนิ่ง และมองหลัวชิงเยว่ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดไปอย่างสงสัย “สำนักยุทธ์ว่านจ้งหรือ? ด้านนอกของแดนต้าโหมวเทียนมีเพียงเผ่าหยาจื้อมิใช่หรือ? หรือตอนนี้ยังมีคนของสำนักยุทธ์ว่านจ้ง?”
“ไม่รู้หรอก!” หลัวชิงเยว่ตอบอย่างเรียบเฉย ดูเหมือนว่าจะพูดโดยไม่คิดอะไร
“อยากจะออกไปจากแดนต้าโหมวเทียน เพื่อลองดูโลกภายนอกบ้าง นึกไม่ถึงว่าคนขั้นเขตแดนเต๋าระดับต้นของสำนักยุทธ์ว่านจ้งคนนั้นจะสังหารโหวเหย่ได้ และสามารถหนีจากการล้อมปราบของอสูรธรณีอารักขาไปได้ แสดงว่าต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก แต่เป็เพราะพวกข้าที่ถูกกักขังไว้ในแดนต้าโหมวเทียนมานานนับไม่ถ้วน จึงไม่เคยรู้ว่ายังมีผู้ที่เหนือกว่า” ฉินอวี่ถอนหายใจ แต่กลับจ้องมองไปทางหลัวชิงเยว่ และแอบกังวลอยู่ในใจ
หลัวชิงเยว่และหวังิต่างมีสายตาที่ดูหม่นหมองไป การออกจากแดนต้าโหมวเทียนเป็ความปรารถนาของเหล่าบรรพชนมานับไม่ถ้วน และตอนนี้... ทำไมพวกเขาจะไม่มีความคิดที่จะออกไปจากการกักขังเหล่านี้ เพื่อออกไปชื่นชมโลกภายนอกล่ะ?
“ชิงเยว่หวัง คนของเผ่าประหลาดนั่นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” ฉินอวี่ถามต่อ
หลัวชิงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย และเหลือบมองฉินอวี่ ก่อนจะพูดขึ้น “ดูเหมือนเ้าจะสนใจเื่คนของเผ่าประหลาดนั่นนะ?”
“ชีวิตนี้จะสามารถออกไปจากแดนต้าโหมวเทียนได้หรือไม่ ก็ไม่อาจรู้ได้ หากสามารถรับฟังเื่ของดินแดนภายนอกจากคนเผ่าประหลาดได้ มันก็พอจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาที่มีต่อโลกภายนอกได้” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย เมื่อเห็นว่าหลัวชิงเยว่ไม่ตอบอะไร ฉินอวี่จึงแอบกังวลในใจ และพูดขึ้นอีก “เพียงแต่... อาจารย์ข้า... ผู้เฒ่าร้องไห้เคยกล่าวว่า โอกาสที่จะออกไปจากการกักขังของที่แห่งนี้จะขึ้นอยู่กับคนนอกคนหนึ่ง และไม่แน่ใจว่าจะใช่เผ่าประหลาดนี้หรือไม่”
“อะไรนะ?” หลัวชิงเยว่ใ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และหันไปมองฉินอวี่อย่างรวดเร็ว “ผู้เฒ่าร้องไห้พูดไว้ว่าอย่างไร? ทำไมเ้าไม่บอกแต่แรก?”
“คนผู้นั้นตายแล้วหรือ? หากตายไปแล้ว ต่อให้เ้าจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ” ฉินอวี่แสร้งทำเป็หมดหนทาง
“ยังมีชีวิตรอด สรุปว่าผู้เฒ่าร้องไห้บอกว่าอะไรกันแน่?” หลัวชิงเยว่สูดลมหายใจและกลั้นไว้ ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น แต่แผลเป็บนใบหน้าด้านซ้ายกลับดูน่ากลัวอย่างชัดเจน
ไม่เพียงหลัวชิงเยว่เท่านั้น แม้แต่หวังิก็อดจะตัวสั่นไม่ได้ ใบหน้ามีทั้งความใและความตื่นเต้น จ้องตรงไปทางฉินอวี่
“เ้าก็รู้ว่าผู้เฒ่าร้องไห้เดี๋ยวก็เสียสติ เดี๋ยวก็ดี คำพูดของเขา สิบประโยคที่พูดมาเชื่อได้แค่ประโยคเดียวเอง” ฉินอวี่พูดช้าๆ แต่กลับรู้สึกยินดีอยู่ภายใน ถึงแม้จะมีอาการปางตายแต่ก็ยังดีกว่าสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้าุโนั่นบุกเข้ามาที่นี่เพราะตนเองจริงๆ ละก็... ฉินอวี่ครุ่นคิดมากมายภายในใจ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“สรุปว่าพูดอะไรกันแน่?” หวังิพูดประโยคนี้ขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะพลังมหาศาลที่ปรามเขาไว้ เขาคงจะะโออกมาแล้ว
ถูกกักขังไว้ที่นี่เป็เวลานับไม่ถ้วน แต่ละคนจึงมีความคิดที่จะหนีออกไป ตราบใดที่ยังมีความหวัง แม้จะน้อยนิดก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ อย่าได้ดูถูกพลังอันยิ่งใหญ่ที่รวมกันของต้าโหมวเทียน หากมีความหวังเกิดขึ้นเมื่อใด พวกคนจะรวมตัวกันเหมือนเกลียวเชือก ที่พุ่งตรงออกไปจากสิ่งกักขังเหล่านี้
“ในตอนแรกข้าก็เคยถามผู้เฒ่าร้องไห้ ว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร เขาก็เคยบอกไว้ว่า ขึ้นอยู่จากกาลเวลาของ์ การออกจากที่แห่งนี้มีวิธีใกล้แค่เอื้อม แต่ต้องอาศัยคนผู้หนึ่ง และโอกาส!” ใบหน้าของฉินอวี่ดูเหมือนกำลังใช้ความคิด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
เอาเป็ว่ารักษาชีวิตของผู้าุโคนนั้นให้ได้ก่อนค่อยมาว่ากัน ดังนั้นจึงพูดไปว่า “กาลเวลาของ์” เพราะฉินอวี่้าให้หลัวชิงเยว่ หรือบางทีอาจรวมถึงคนที่อยู่เื้ัได้เกิดความมั่นใจมากขึ้น เป็เพราะ วิชาลับทั้งเก้าแห่งจูเทียนมีวิชาลับชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่ากาลเวลา ที่ฉินอวี่ต้องนำสิ่งนี้ขึ้นมาพูด ประการแรกก็เพื่อแสดงความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างตัวเขาและผู้เฒ่าร้องไห้ ประการที่สองคือ การทำให้ประโยคเหล่านี้ดูน่าเชื่อถือ
ท้ายที่สุด หากตนเองไม่ใช่ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ ก็จะไม่มีทางรู้จักวิชาลับแห่งจูเทียน และต้องไม่รู้จักแขนงวิชาลับที่เรียกว่า “กาลเวลา”
“คนคนหนึ่งหรือ? โอกาสหรือ? นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? หรือคนคนนั้นคือเผ่าประหลาดนั่น? ผู้เฒ่าร้องไห้ได้บอกหรือไม่ว่าเป็คนของเผ่าประหลาด?” หลัวชิงเยว่พูดอย่างเป็กังวล
“ข้าเคยถามในภายหลังแล้วนะ ว่าคนที่ช่วยให้มีโอกาสคือใคร ผู้เฒ่าร้องไห้ก็พูดแต่เพียงว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็คนนอกของเผ่าหยาจื้อ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็ใคร!” ฉินอวี่กล่าว ความเป็ความตายของเผ่าหยาจื้อไม่ใช่สิ่งที่เขากังวล ส่วนปู่ของเสี่ยหยวน ก็เข้ามาที่นี่นานหลายปีแล้ว คิดว่าคงจะตายไปนานแล้ว
“แล้วทำไมเ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้!” หลัวชิงเยว่ทั้งตื่นเต้นทั้งโกรธ ตื่นเต้นที่เริ่มมีความหวังเล็กน้อยที่จะออกไปจากที่นี่ แต่ก็โกรธที่ฉินอวี่ไม่บอกให้เร็วกว่านี้ หากเผ่าประหลาดนั่นคือโอกาส และเกิดตายไปก่อน เช่นนั้นไม่เท่ากับจะอดออกไปจากที่นี่ตลอดกาล?
“ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือ? ผู้เฒ่าร้องไห้ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย จะไปเชื่อมากได้อย่างไร? พวกเราถูกขังมาจนไม่อาจนับปีได้ แค่คนจากเผ่าประหลาดคนเดียว จะกลายเป็โอกาสของพวกเราน่ะหรือ? หรือพวกเ้าเชื่อคำพูดของผู้เฒ่าร้องไห้?” ฉินอวี่แกล้งถามอย่างประหลาดใจ
“เ้าจะไปรู้อะไร!” หลัวชิงเยว่แทบจะตะคอกออกมา หลังจากเสียงดังไปแล้วนางก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลนำส่งของเมืองเทียนโหมวชั้นใน ส่วนหวังิเองก็รีบมุ่งหน้าตามไปยังประตูเมืองในทันที
เมื่อมองไปยังคนทั้งสองที่รีบออกไป ฉินอวี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าจะเป็ผู้าุโคนนั้นใช่หรือไม่ แต่อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาตายได้
แต่ฉินอวี่ก็ยังไม่ยอมแพ้ แม้จะเป็ผู้าุโคนนั้นจริง ก็ยังต้องหาวิธีช่วยเขา จนทำให้เขารู้สึกปวดหัวจริงๆ
“ผู้าุโ หวังว่าจะไม่ใช่ท่านหรอกนะ ไม่เช่นนั้นข้าก็อยากจะถามท่านนัก ว่าใครกำลังช่วยใครกันแน่?” ฉินอวี่พึมพำ แต่ในใจกลับเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่เกือบสิบห้านาที
เมืองเทียนโหมวชั้นใน
“ท่านพ่อ มีเื่ใหญ่แล้ว” หลัวชิงเยว่รีบมุ่งหน้าเข้าไปในจวนแห่งหนึ่งของเมืองเทียนโหมวชั้นใน และพูดอย่างตื่นตะลึง
“เื่อะไรกันจึงได้เร่งรีบเช่นนี้” ชายวัยกลางคนที่สง่างามปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของหลัวชิงเยว่ และพูดอย่างเคร่งขรึม
“ท่านต้องรีบไปยังคุกโหมวเทียนในเขตกู่โหมว คนของเผ่าประหลาดนั่นจะตายไม่ได้เด็ดขาด! นั่นเป็โอกาสที่จะได้ออกไปจากที่นี่!” หลัวชิงเยว่พูดอย่างร้อนใจ
“ใครบอกเ้า?” ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างรวดเร็ว และพูดขึ้นเบาๆ รอคอยมานานนับปีไม่ได้ ท้ายที่สุดก็มีโอกาสรอดไปจากที่นี่ ชายวัยกลางคนพยายามสงบอารมณ์เอาไว้ แม้เขาจะตื่นเต้นมากก็ตาม
“ผู้เฒ่าร้องไห้!”
“มานี่กันเร็วเข้า! รีบมุ่งหน้าไปยังคุกโหมวเทียน! รักษาชีวิตของเผ่าประหลาดนั่นให้ดี!” ชายหนุ่มวัยกลางคนพูดอย่างจริงจัง แต่ยังไม่ทันมีผู้ใดตอบกลับ ชายวัยกลางคนก็คว้าตัวหลัวชิงเยว่ และพูดขึ้นว่า “ไปกันเถอะ ตามข้าไปพบทวดของเ้ากัน!”
ครึ่งวันต่อมา!
ในเขตเฉียนหลง ล้อมรอบไปด้วยหมูู่เาน้อยใหญ่ พลังแก่นเต๋าเต็มเปี่ยมอย่างเข้มข้นไปทั่วบริเวณ ที่แห่งนี้ เป็ที่ตั้งของตระกูลหวังเทพา
ในส่วนที่ลึกที่สุดของตระกูลหวัง มีสุสานร้างอยู่แห่งหนึ่ง ในวันนี้ มีเงาร่างของคนสองคนปรากฏขึ้นที่สุสานร้าง หนึ่งในนั้นคือคนที่ชื่อหวังิ
หวังิกวาดสายตาไปโดยรอบด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงเหลือบมองผู้าุโที่ง่อนแง่นด้านข้างเขา จากนั้นจึงมองไปยังหลุมฝังศพที่อยู่ด้านข้างด้วยอาการสั่นสะท้านราวกับถูกฟ้าผ่าติดต่อกัน
“ตรวจสอบสุสานของหวังจ่งเต้า!”
คำพูดเพียงเจ็ดคำเหมือนสายอสุนีคำรามเจ็ดสายที่ผ่าตรงเข้าสู่หัวใจของหวังิ ทำลายความเงียบสงบในใจ
หวังจ่งเต้า!
บรรพชนของตระกูลหวัง ผู้เป็หนึ่งในเต้าจวินทั้งสี่ภายใต้การนำของต้าโหมว ร่ำลือกันว่า เต้าจวินแห่งตระกูลหวังได้สิ้นชีวิตหลังจากาที่สะท้านฟ้า แต่สิ่งที่ทำให้หวังิใคือ ปู่ทวดพาตนเองมาที่นี่เพื่ออะไร?
หวังิมองไปยังป้ายหลุมศพอย่างหวาดกลัว และมีความคิดนับพันนับหมื่นที่ปรากฏเข้ามา
“เล่าเื่ราวทั้งหมดให้ข้าฟัง อย่าให้ขาดไปแม้แต่ประโยคเดียว!”
