รุ่งเช้าของวันใหม่
หมอกขาวลอยละล่องอยู่เหนือหุบเขา หยาดน้ำค้างเกาะพราวบนยอดหญ้าและตามสุมทุมพุ่มไม้
หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาตัดสินใจจากไปโดยไม่บอกกู่อวี่เสวียน พวกเขาเดินไปตามเส้นทางบนหุบเขา ด้วยร่างกายที่ยังไม่หายดี การเดินทางในครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย
แต่กระนั้นทั้งสองก็ไม่คิดจะถอดใจ และเดินทางอย่างต่อเนื่อง
มือใหญ่ซึ่งพาดอยู่บนไหล่เล็ก บีบลงมาเบาๆ เป็ระยะ ขณะเดียวกัน ใบหน้าอันหล่อเหลาก็แสดงท่าทียียวนชวนให้โมโห
หนีเจียเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ ก่อนเอ่ยเสียงแข็ง “โจวชิงหวา หากยังทำสีหน้ากะล่อนเช่นนี้อีก ข้าจะโยนเ้าลงเขาไปเสีย!”
โจวชิงหวาบีบไหล่มนเบาๆ อีกครั้ง แล้วพูดเสียงอ่อย “ไม่เอาน่า นี่คิดจะลงมือกับพี่ชิงหวาของเ้าจริงๆ หรือ?”
หญิงสาวกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “โอ้... อย่างน้อยเ้าก็ยังรู้ฐานะของตัวเอง”
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย พลางยิ้มเจื่อนๆ “เหตุใดจะไม่รู้ ข้าไม่มีทางลืมหรอก ว่าพวกเราเป็พี่น้องร่วมน้ำนม แต่ถึงอย่างนั้นก็หาได้มีความสัมพันธ์ทางสายเื พูดตรงๆ ที่ข้ายอมเสี่ยงชีวิตช่วยเ้า ใจจริงแล้ว ก็แค่อยากชิงตัวเ้ามา เ้าจะเสียใจหรือไม่ หากต้องแต่งงานกับข้า”
ดวงตาที่จ้องมองมา มีประกายแห่งความคาดหวัง
แต่หนีเจียเอ๋อร์เบือนหน้า หลบเลี่ยงที่จะตอบ “ที่เ้าช่วยข้าไว้นับเป็บุญคุณ แต่ก็ไม่ควรใช้ความดีความชอบในครั้งนี้ มาบีบบังคับขอข้าแต่งงาน”
โจวชิงหวาสะอึกเล็กน้อย แม้ในใจจะเ็ป แต่ก็ต้องแสร้งทำทีว่าไม่เป็ไร แล้วออกเดินทางต่อ
ดวงตะวันลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เริ่มส่งผลให้การเดินทางของพวกเขาช้าลง
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มต้องฝืนสังขารเดินทาง หนีเจียเอ๋อร์ก็ทนมิได้ พยายามเข้าไปประคองร่างอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินทางต่อ
ทว่า แค่เดินขึ้นเนินเขาเตี้ยๆ นางก็หมดแรงเสียแล้ว พอโจวชิงหวาเห็นดังนั้น จึงชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ “พักตรงนี้สักหน่อยเถอะ”
เมื่อมาถึง หญิงสาวก็ค่อยๆ พยุงตัวเขาไปนั่งตรงรากไม้อย่างระมัดระวัง ก่อนดึงกระบอกน้ำออกมา แล้วบรรจงป้อนช้าๆ
ต่อมา ก็ตรวจสอบาแของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ
แววตาที่มองมา ทำให้โจวชิงหวารับรู้ได้ทันที ว่าหนีเจียเอ๋อร์กำลังจะกล่าวสิ่งใด
ชายหนุ่มจึงหลับตาลง เพื่อซ่อนความรู้สึก คล้ายไม่อยากจะยอมรับความจริง
และตอนนั้นเอง หนีเจียเอ๋อร์ก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กลับกันเถอะ ด้วยสภาพร่างกายของเ้าในยามนี้ หากพวกเรายังฝืนเดินทางต่อ อาการต้องแย่ลงเป็แน่”
แต่โจวชิงหวายังอยากจะต่อสู้กับโชคชะตา เขาจึงลืมตาขึ้น “ขอแค่เดินทางข้ามเขาลูกนั้นไป ก็สามารถเช่ารถม้าได้แล้ว เดินทางต่ออีกสี่ห้าวันก็จะถึงแคว้นผิง ข้ามีจวนกับที่ดินอยู่ที่นั่น เ้ามาอยู่กับข้าได้ เป็ความคิดที่ดีใช่หรือไม่?”
“แต่อาการาเ็ของเ้า ต้องได้รับการรักษาเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นอาจจะติดเชื้อได้” หญิงสาวลุกขึ้น มองไปยังเมืองหลวงที่อยู่ไกลออกไป “อีกอย่าง ข้าก็ทิ้งครอบครัวมิได้”
หนีเจียเอ๋อร์ยังหามือสังหารที่ฆ่าล้างตระกูลตนไม่พบ อีกทั้งตอนนี้ ก็มีปัญหาเื่เว่ยฉีหรานเข้ามาอีก หากนางยังไม่เข้าไปจัดการ เื่ราวทุกอย่างต้องบานปลายมากกว่านี้เป็แน่
โจวชิงหวาจึงได้แต่หลับตาลงด้วยความจำยอม ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นก็แล้วแต่เ้า กลับเมืองหลวงกันเถอะ”
หลังจากบุกบั่นมานาน ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจลงจากเขา เช่ารถม้าเดินทางกลับเมืองหลวง ตรงไปยังจวนสกุลหนี
พอนายท่านหนีเห็นสภาพของคนทั้งสอง ก็อดที่จะเวทนามิได้ แรงโทสะในใจพลันมอดดับลงไปเกือบหมด แต่ไม่ว่าเว่ยอี๋เหนียงจะร้องขอความเมตตาอย่างไร เขาก็ยังยืนกรานที่จะลงโทษหนีเจียเอ๋อร์
ทางด้านสวีซื่อ ก็ทำทีเป็จะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย แต่จริงๆ แล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ ด้วยสิ่งที่นางพูด กลับยิ่งกระพือแรงโทสะของท่านเ้าบ้านให้ลุกโหมยิ่งขึ้น
ส่วนหนีจวิ้นหว่าน แรกๆ ก็ทำท่าเหมือนจะเห็นใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิง
เสียงของนายท่านหนีดังขึ้น “พวกเ้า นำตัวนางไปโบย!”
“นายท่าน ร่างกายของเสี่ยวเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรง หากโบยไป นางจะไม่ทรุดหนักหรือเ้าคะ?” เว่ยอี๋เหนียงร่ำไห้ราวกับไร้สติ พลางเดินไปกอดร่างบุตรสาวเอาไว้ “เสี่ยวเอ๋อร์ รีบขอโทษพ่อของเ้า เร็วเข้า! บอกเขาไป ว่าเ้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก”
หนีเจียเอ๋อร์กัดปากแน่น ไม่คิดจะร้องขอความเมตตา “ข้ามิได้ทำอะไรผิด!”
ได้ยินเช่นนั้น นายท่านหนีก็ยิ่งโมโหหนัก ะโสั่งบ่าวทันที “มัวทำอะไรอยู่ ลากนางออกไปโบยเสีย!”
โจวชิงหวาไม่อาจทนได้อีก จึงฝืนลุกขึ้นไปขวางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวทันที “นายท่าน ข้าเป็คนลักพาตัวเสี่ยวเอ๋อร์ไป เื่นี้นางมิได้รู้เห็นด้วย ดังนั้นข้ามีความผิด หากจะลงโทษก็ลงโทษข้าเถอะ!”
สวีซื่อและหนีจวิ้นหว่านมองอย่างเหยียดหยาม ลำพังแค่ยืนยังไม่ไหว ยังจะออกหน้ารับแทนหนีเจียเอ๋อร์อีกหรือ?
เว่ยอี๋เหนียงกับหนีเจียเอ๋อร์รีบเข้าไปพยุงร่างชายหนุ่ม แต่ก็ถูกแขนแกร่งปัดออก
นายท่านหนีหรี่ตามอง พลางเอ่ยเสียงขรึม “ฮึ่ม… อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าโบยเ้า!”
โจวชิงหวาสวนกลับทันควัน “ชิงหวายินดีที่จะรับโทษ!”
ได้ยินเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์ก็รีบโพล่งขึ้นด้วยความร้อนรน “ท่านพ่อ ความผิดนี้ข้าขอรับไว้เอง ไม่ต้องให้ใครมารับผิดแทน...”
หนีจวิ้นหว่านจึงขัดขึ้นว่า “น้องหญิง คิดว่าตอนนี้ เ้าสามารถต่อรองอะไรท่านพ่อได้อีกหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายท่านหนีก็ะโด้วยความโมโห “ฮึ่ม! พวกเ้า นำตัวคนทั้งสองไปโบย!”
ข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาพาพวกเขาออกไปตามคำสั่ง แต่ทันใดนั้น หนีเจียเฮ่อก็เดินเข้ามา “ท่านพ่อ สกุลสวีไม่ถือโทษโกรธเราแล้ว ดังนั้น อย่าลงโทษน้องหญิงกับโจวชิงหวาเลยขอรับ”
ขาดคำ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ชายหนุ่มบอกเพียงว่าตนไปเจรจากับนายท่านสวีมา แต่มิได้ลงรายละเอียดไปมากกว่านั้น
เมื่อนายท่านหนีได้ยิน จึงพูดเสียงต่ำ “ฮึ่ม! เห็นแก่เจียเฮ่อ วันนี้ข้าจะละเว้นพวกเ้า”
จากนั้น ก็หันไปสั่งพ่อบ้าน “นำตัวคุณหนูรองไปขังไว้ในห้อง ให้นางสำนึกผิดกับเื่ที่ได้กระทำลงไป ส่วนโจวชิงหวา พาไปยังเรือนรับรองเพื่อรักษาอาการาเ็”
หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวา หันไปมองหนีเจียเฮ่อด้วยความซาบซึ้ง
หนีเจียเฮ่อเดินตรงมายังโจวชิงหวา “ข้าจะพาเ้าไปเอง”
เมื่อเห็นว่าพี่ชายเป็ผู้รับ่ดูแลโจวชิงหวา หนีเจียเอ๋อร์ก็โล่งใจ ยอมตามพ่อบ้านไปแต่โดยดี
ส่วนสวีซื่อและหนีจวิ้นหว่าน ก็ได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ พอนายท่านหนีเดินเข้ามาหา ย่อมต้องแสดงท่าทีว่ามิได้ติดใจอันใด “หากพวกเ้าไปเยือนจวนสกุลสวี ก็นำของกำนัลไปด้วยมากๆ เพื่อขออภัยด้วยล่ะ”
กล่าวจบ เขาก็หันไปประคองเว่ยอี๋เหนียงที่กำลังร่ำไห้ เดินออกจากห้องไป
...
อีกด้านหนึ่ง
ตอนนี้ สวีเพ่ยหรานกำลังจมอยู่กับความโศกเศร้า เอาแต่จับจ้องภาพวาดของสตรีชุดแดงที่แขวนอยู่บนผนัง จนไม่เป็อันกินอันนอน
หนีเจียเอ๋อร์...
แม้นางจะยืนอยู่ตรงหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่าไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง...
ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มของสตรีในภาพวาด แววตาประหนึ่งคนใจสลายนั้น ทำให้สวีอี๋เหนียง สวีซื่อ และหนีจวิ้นหว่านซึ่งลอบมองอยู่ด้านนอก ต่างพากันปวดใจ
เมื่อเห็นเขาเป็ถึงขนาดนี้ สวีซื่อที่รักสวีเพ่ยหรานดั่งบุตรชาย ให้รู้สึกสงสารจับใจ ความเกลียดชังที่มีต่อหนีเจียเอ๋อร์ จึงยิ่งทวีเพิ่มขึ้นเป็เท่าตัว
แล้วตอนนั้นเอง จู่ๆ แผนการบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในสมอง...