“ทุกคนรีบดูเร็ว พี่เฉิงเยี่ย พี่หงอี้ พวกท่านดูที่กำไลสื่อิญญาเร็วเข้า! หอเหนือฟ้าประกาศข่าวใหม่ เซียวอี้หรานออกจากการเก็บตัวบำเพ็ญแล้ว!”
จู่ๆ จั๋วหานเหล่ยก็ะโออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
นางคือบุตรสาวของท่านอาสาม ลูกพี่ลูกน้องของจั๋วอวิ๋นเซียน อายุยี่สิบแปดปี ตอนนี้กำลังบำเพ็ญอยู่ที่สำนักศึกษาเซียน ตอนนี้นางจุดเพลิงิญญาได้แล้วและกำลังจะปลุกพร์กลายเป็ผู้บำเพ็ญตนอย่างแท้จริง ในยามปกติความชอบอย่างเดียวของนางก็คือการติดตามข่าวสารต่างๆ ในกำไลสื่อิญญา โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับบุตรแห่ง์รุ่นเยาว์ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือเป็พวกชอบเพ้อฝัน
ส่วนจั๋วเฉิงเยี่ยกับจั๋วหงอี้คือบุตรของอารองของจั๋วอวิ๋นเซียน ทั้งสองคนอายุมากกว่าจั๋วอวิ๋นเซียนหลายปี พวกเขาจบการศึกษาจากสำนักศึกษาเซียนแล้วและมีวรยุทธ์อยู่ระดับผสานจิต แต่พร์ของพวกเขาถึงขีดจำกัดจนมิอาจบรรลุระดับสูงได้ ดังนั้นพวกเขาคนหนึ่งช่วยงานอยู่ที่ร้านโอสถตระกูลจั๋ว อีกคนช่วยงานอยู่ที่ร้านอาวุธตระกูลจั๋ว ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจอย่างจั๋วอวี้หวั่น แต่ก็สามารถรับผิดชอบงานด้วยตัวเองได้
ส่วนเซียวอี้หรานที่จั๋วหานเหล่ยพูดถึง จั๋วอวิ๋นเซียนก็เคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง เขาก็คือบุคคลในตำนานของทวีปไท่เซวียน
ว่ากันว่าคนผู้นี้เกิดในราชวงศ์ต้าิ สมัยยังเยาว์วัยเขาเป็อัจฉริยะ ทว่าเมื่อเข้าสำนักเซียนแล้วกลับเป็คนธรรมดา ต้องแบกรับคำดูถูกต่างๆ นานา แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ กลับกันเขาพยายามมากขึ้น หลังผ่านไปสามปีเขาก็โดดเด่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังพุ่งทะยานอย่างฉุดไม่อยู่จนกลายเป็สิบบุตรแห่ง์ของทวีปไท่เซวียน มีผลงานโดดเด่น ชื่อเสียงระบือไกล จนมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่เห็นเขาเป็แบบอย่าง
คนส่วนใหญ่ล้วนชื่นชอบเื่ราวฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ เมื่อเห็นท่าทางงมงายของจั๋วหานเหล่ยก็เห็นได้ชัดว่านางถึงขั้นกราบไหว้บูชาไปแล้ว
หากว่ากันตามตรง จั๋วอวิ๋นเซียนก็นับถือเซียวอี้หรานเช่นกัน แต่ก็อิจฉาอีกฝ่ายมากกว่า...ไม่ว่าเซียวอี้หรานจะพบเจอความล้มเหลวเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังมีความหวัง แต่จั๋วอวิ๋นเซียนกลับมองไม่เห็นความหวังแม้แต่น้อย
“มิผิดมิผิด! หอเหนือฟ้าเชื่อถือได้แน่นอน เซียวอี้หรานออกจากการเก็บตัวแล้วจริงๆ! ครั้งนี้ยุทธภพคงเริ่มคึกคักขึ้นมาแล้ว!”
“ว่ากันว่าเซียวอี้หรานเก็บตัวมาครึ่งปีก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานประลองสุริยันที่จัดขึ้นทุกสี่ปี ไม่รู้ว่าฝีมือของเขาตอนนี้จะไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
“น่าจะบรรลุระดับกำเนิดปราณแล้ว! ก่อนเขาจะเก็บตัวก็เป็ยอดฝีมือระดับรวมพลังขั้นสูงสุดแล้ว...”
“สมกับที่เป็สัตว์ประหลาดจริงๆ! เซียวอี้หรานอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ครั้งนี้เขามีโอกาสติดสามอันดับแรกของงานประลองสุริยัน ความสำเร็จในอนาคตต้องไร้ขีดจำกัดแน่”
“เสียดายที่เซียวอี้หรานเป็คนของราชวงศ์ต้าิ”
เมื่อได้ยินคำสรรเสริญของทุกคน จั๋วอวี้หวั่นจึงทนไม่ไหวเอ่ยขัดว่า “เหตุใดต้องไปสนใจคนอื่นด้วย ที่จริงแล้วบุตรแห่ง์ของราชวงศ์ต้าถังเราก็ฝีมือไม่เลว สำนักเซียนจงซูมีถังเซ้าเฟิงกับจั่วหรูเซวียน สำนักเซียนเซวียนอวี้มีเหมยไจ้อัน สำนักเซียนเซิงหลงมีหลงจ้านเฟย...น่าเสียดายที่ซ่งเทียนเตาหายสาบสูญ มิเช่นนั้นในสิบบุตรแห่ง์ต้องมีเขาอยู่ในนั้นด้วยแน่นอน”
“พี่หญิงใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง”
จั๋วหานเหล่ยหยุดพูดไม่กล้าโต้เถียง จั๋วเฉิงเยี่ยกับจั๋วหงอี้ก็ก้มหน้า
ผู้าุโมีภาพลักษณ์ของผู้าุโ รุ่นเยาว์ก็มีวิธีการพูดคุยของรุ่นเยาว์ พวกจั๋วไท่หยวนจึงไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่หัวเราะพลางส่ายศีรษะเท่านั้น
……
จั๋วอวิ๋นเซียนทานอาหารคนเดียวเงียบๆ แม้จะฟังคนอื่นพูดคุยกันบ้างเป็บางครั้งแต่ไม่ได้สนใจนัก ไม่ว่าใครจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา ตอนนี้ในสมองของเขาล้วนเต็มไปด้วยการจัดเรียงอักขระและคำนวณแผนผังค่ายกล แม้แต่อาหารรสเลิศบนโต๊ะก็ดูเหมือนจืดชืดไร้รสชาติทันที
หลังจากทานอาหารแล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนบอกลาพี่สาวแล้วจึงจากไป
จั๋วอวี้หวั่นรู้จักนิสัยของน้องชายดีจึงไม่ได้กล่าวอะไร
……
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิด แสงจันทร์เย็นเฉียบ
ขณะที่จั๋วอวิ๋นเซียนเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้า เขารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวนี้มาจากที่ใด เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรอยู่ที่นี่ นอกจากความรักจากครอบครัวแล้ว เขาแทบััความอบอุ่นในโลกนี้ไม่ได้เลย...อีกทั้งั้แ่เขาจำความได้ เขาก็มิอาจข่มตานอนหลับได้
ใช่แล้ว จั๋วอวิ๋นเซียนไม่เหมือนคนธรรมดา เขาไม่เคยนอนหลับมาก่อน ถึงแม้จะหลับตา แต่ในสมองของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาพตื่นตัว บางทีอาจจะเป็เพราะิญญาไม่สมบูรณ์ เขารู้สึกว่าตัวเองป่วยเป็โรคที่แปลกประหลาดมากชนิดหนึ่ง ราวกับ ‘โรคิญญาหลุด’
จั๋วอวิ๋นเซียนอ่านตำราโบราณและตำราแพทย์มากมาย เคยลองมาหลายวิธี ทั้งทานยาโอสถ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย พอผ่านไปนานวันเข้าก็เริ่มคุ้นเคย...นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้นิสัยของจั๋วอวิ๋นเซียนเ็า
……
เมื่อกลับมาถึงเรือน จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้เข้าไปในมิติมายาสุญญตาทันที กลับทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดแล้วนั่งขัดสมาธิบนเตียง เขาเริ่มระลึกถึงกงล้อแห่งธรรมและรวบรวมตราประทับ
สิ่งใดเรียกว่า ‘กงล้อแห่งธรรม’ ?
สัจธรรมแห่งวิถีคือ ‘ธรรม’ พลังโคจรฟ้าดินคือ ‘กงล้อ’ มีเพียงคนที่รู้แจ้งวิถีฟ้าดิน ถึงจะมีชีวิตนิรันดร์ นี่ก็คือเส้นทางการบำเพ็ญเพียงหนึ่งเดียวในยุคเซียนโบราณ
ครั้งหนึ่งเคยมีปราชญ์ระลึกถึงกงล้อแห่งธรรม เปรียบเปรยฟ้าดินเป็เพลาอันหนึ่งกระจายดวงดาวจนเต็มท้องฟ้า เมื่อเพลาเคลื่อนไหว ดวงดาวก็จะเคลื่อนไหวตามด้วย สิ่งนี้เรียกว่าวิถีโคจรดารา
ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่จัดเรียงหมู่ดาวเ่าั้ สามารถสร้างรูปลักษณ์ต่างๆ ออกมาจากความว่างเปล่าได้ บ้างอาจเป็ิญญา สัตว์ อาวุธ หรือสิ่งของ...ท้ายที่สุดควบรวมกลายเป็ ‘ตราประทับจิต’ ของตัวเอง สิ่งนี้ก็คือ ‘ตราประทับกงล้อแห่งธรรม’
มีเพียงโคจรกงล้อแห่งธรรมควบรวมกับตราประทับ จึงจะสามารถจุดเพลิงิญญา ปลุกพร์ หลอมจิตรวมิญญา ก้าวสู่ประตูแห่งวิถีเซียน
เพียงแต่ถึงแม้ประตูการบำเพ็ญจะเหมือนกัน แต่ตราประทับที่ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนควบรวมขึ้นมาส่วนมากล้วนมีรูปลักษณ์ที่ต่างกัน
ผู้ที่มีพร์สูง ตราประทับสูงตระหง่านแข็งแกร่งราวกับูเา
ผู้มีพร์ธรรมดา ตราประทับธรรมดาความสำเร็จจึงมีจำกัด
ดังคำกล่าวว่าคนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ คนรุ่นหลังถึงมีร่มเงา...สำนักเซียนกับตระกูลเซียนมากมายสะสมพลังมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ศึกษาและทดลองอย่างต่อเนื่อง ตราประทับที่ควบรวมขึ้นมาจึงยิ่งแข็งแกร่ง
อย่างเช่นตระกูลจั๋ววิถีเซียน บรรพบุรุษรุ่นแรกควบรวมตราประทับกระเรียนขาวระดับกลาง แต่ด้วยการพัฒนาของตระกูลจั๋วรุ่นแล้วรุ่นเล่าจนถึงผู้นำตระกูลจั๋วคนปัจจุบัน จั๋วฟู่ไห่ควบรวมตราประทับกระเรียนเมฆาระดับสูงออกมาได้แล้ว
ยิ่งตราประทับแข็งแกร่ง ก็ยิ่งปลุกพร์ระดับสูง รากฐานของผู้บำเพ็ญเซียนในอนาคตก็ยิ่งลึกล้ำ ด้วยเหตุนี้จั๋วฟู่ไห่จึงถูกผู้คนตระกูลจั๋วคาดหวังว่าจะเป็คนที่สามารถก้าวข้ามบรรพบุรุษได้
……
เมื่อจิตใจสงบนิ่งลง จั๋วอวิ๋นเซียนเหมือนอยู่ในความว่างเปล่า
ความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง ธารดาราสว่างไสว กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ในตำนานโบราณเล่าขานว่า ก่อนยุคโบราณกาล ดวงดาวทุกดวงล้วนเป็โลกใบหนึ่ง
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่รู้ว่าในดวงดาวเหล่านี้มีสิ่งมีชีวิตหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่เขาเห็นภาพนี้ จิตใจพลันสั่นสะท้าน...ที่แท้เขาก็เป็เพียงคนเล็กจ้อย ต่ำต้อยจนไม่มีค่าให้พูดถึง
เท่าที่เขารู้มา ขณะที่คนอื่นระลึกถึงกงล้อแห่งธรรมจะเห็นดวงดาวจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับมองเห็นธารดารา ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็เช่นนี้ แต่พอลองคิดในแง่ดี ตัวเขานั้นจะไร้พร์ บางทีนี่อาจจะเป็สิ่งที่์ชดเชยให้เขา
ทว่าปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ เขาสามารถมองเห็นการโคจรของทั้งธารดารา แต่กลับมิอาจควบรวมตราประทับได้ เสมือนเด็กน้อยถือค้อนั์ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะยกค้อน
จั๋วอวิ๋นเซียนสงบอารมณ์ เขาใช้วิชาบำเพ็ญของตระกูลจั๋วลองสร้างรูปร่างกระเรียนเมฆา น่าเสียดายที่สร้างตราประทับได้ไม่ถึงครึ่งก็พังทลายลง ท้ายที่สุดก็ล้มเหลว
ิญญาของทุกคนล้วนแตกต่าง สามิญญาเจ็ดจิตคือรากฐานของิญญา จั๋วอวิ๋นเซียนมีไม่ครบสามิญญา ิญญาจึงไม่สมบูรณ์ เป็ธรรมดาที่จะมิอาจควบรวมตราประทับได้
แม้แต่คานประตูของการบำเพ็ญก็มิอาจก้าวข้าม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบำเพ็ญเซียนไล่ตามวิถีเพื่อชีวิตนิรันดร์
ล้มเหลว!
ล้มเหลวอีกครั้ง!
และยังล้มเหลวต่อไป!
……
กงล้อแห่งธรรมไม่ขยับ ตราประทับมิอาจควบรวม
ั้แ่เขาอายุหกขวบ จั๋วอวิ๋นเซียนก็เริ่มระลึกถึงกงล้อแห่งธรรมและควบรวมตราประทับ ถึงแม้ความก้าวหน้าจะเชื่องช้ามาก โดยเฉพาะหลายปีมานี้ แทบจะไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังมาก
ถึงแม้จะเป็เช่นนี้ ตลอดหกปีก็ไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งล้วนใช้พลังจิตจนถึงขีดจำกัดถึงจะยอมหยุดพักผ่อน
ความเ็ปและความอดทนเช่นนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทนไหว โดยเฉพาะสำหรับเด็กอายุสิบกว่าขวบ
ทว่าความจริงแล้ว การฝึกฝนจนถึงขีดจำกัดของจั๋วอวิ๋นเซียนก็ใช่ว่าจะไร้ข้อดี อย่างน้อยการควบคุมพลังจิตของเขาก็ละเอียดอ่อนมาก จนถึงขั้นชำนาญการแล้ว
……
เมื่อลองซ้ำไปซ้ำมาแล้วยังไร้ผล ท้ายที่สุดจั๋วอวิ๋นเซียนก็ใช้พลังจิตจนหมดจึงต้องหยุดชั่วคราว เพียงแต่สายตาของเขายังคงมั่นคง
การบำเพ็ญเซียนเป็สิ่งที่บิดามารดาและพี่สาวของเขาคาดหวัง จึงกลายเป็ความ้าเพียงหนึ่งเดียวของเขาไปแล้ว
ค่ำคืนยาวนานไร้ซึ่งวี่แววหลับใหล จั๋วอวิ๋นเซียนเปิดอุปกรณ์ิญญาเข้าไปในมิติมายาสุญญตาอีกครั้งเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลสุสานโบราณต่อไป
