เด็กหนุ่มทุกคนฟังอย่างตั้งใจ พวกเขาไม่ใช่มือใหม่ ต่างก็เป็เด็กที่มีความรู้ลึกซึ้งด้านการวาดภาพทั้งนั้น มีความละเอียดอ่อนต่อการลงสีมากเช่นกัน
การจับคู่สีในหน้าแรก หลินหวั่นชิวสาธิตให้พวกเขาดูสองครั้ง อธิบายสองรอบ เด็กพวกนี้ก็เริ่มทำเป็แล้ว
“ดีมาก พวกเ้าฝึกให้ชำนาญจะยิ่งเก่ง วันนี้พอเท่านี้ก่อน วันพรุ่งข้าจะสอนการจับคู่สีของหน้าที่สองและสาม พวกเ้าสามารถนำหนังสือภาพที่ระบายเสร็จกลับไปศึกษายามว่างได้ หากเข้าใจเนื้อหาภายในเล่มจะยิ่งง่าย ข้าเองก็ต้องรีบใช้สินค้า หากผู้ใดสามารถมอบหนังสือภาพที่ได้มาตรฐานและสามารถนำไปขายได้เป็คนแรก คนผู้นั้นจะได้รางวัลเป็ชุดผ้าฝ้ายสามชุด คนที่สองได้สองชุด คนที่สามได้หนึ่งชุด”
หลินหวั่นชิวเห็นว่าเด็กเหล่านี้หนาวจนน่าสงสารจึงอยากช่วย
แต่จะให้เปล่าๆ ไม่ได้ ต้องมีเงื่อนไข
มิเช่นนั้นหากให้จนชินแล้วหยุดให้ขึ้นมา…นางจะโดนมองเป็ศัตรูทันที
ลมหายใจบรรดาเด็กหนุ่มถี่รัวขึ้นมาเมื่อได้ยินว่ามีรางวัล
“ระหว่างที่ยังเรียนจะไม่มีเงินให้ ต้องให้พวกเ้าส่งหนังสือภาพก่อนจึงจะได้เงิน หนังสือภาพที่ให้ไปต้องเก็บรักษาให้ดี หากทำเสียหายต้องจ่ายค่าชดเชย หนังสือพวกนี้มีมูลค่าเล่มละสิบตำลึง…”
ก่อนแยกย้ายกลับบ้าน หลินหวั่นชิวอธิบายกฎให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด
“หากระบายสีได้ไม่เก่งก็ไม่เป็ไร ข้ารับซื้อภาพสีหมึกเช่นกัน ถ้าวาดได้ดีจะนำมาขายให้ข้าก็ได้ ข้าจะให้ราคาสูงกว่าที่ร้านหนังสือรับซื้อเล็กน้อย แต่แน่นอนว่าหากพวกเ้ารู้จักผู้อื่นที่วาดหนังสือภาพเป็หรือภาพขนาดใหญ่ได้ ขอเพียงคุณภาพดีก็แนะนำให้ข้าได้หมด ข้าจะรับซื้อ เขียนลายมือสวยก็รับซื้อเช่นกัน จะเป็คัมภีร์สวดมนต์ก็ย่อมได้…”
ของพวกนี้ขายในเสียนอวี๋ได้ นางเองก็จะมีรายรับ ขณะเดียวกันยังได้ช่วยเด็กครอบครัวยากจนที่้าเงิน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวโดยแท้
“ขอบคุณพี่สะใภ้ขอรับ!” เด็กๆ รีบโค้งคำนับให้หลินหวั่นชิว พวกเขาซ่อนหนังสือภาพในอกเสื้ออย่างทะนุถนอมแล้วบอกลา
หลินหวั่นชิวให้เจียงไฉพาเด็กทุกคนไปส่ง พวกเขาเหมือนเจียงหงหนิง บ้านอยู่ไม่ไกลนัก
สิ่งที่ทำให้หลินหวั่นชิวแปลกใจคือ สามวันต่อมา มีเด็กสองคนระบายสีเสร็จแล้ว แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้างแต่ส่งผลกระทบไม่มาก หลินหวั่นชิวชี้จุดบกพร่องให้พวกเขาดู ให้หนังสือภาพเปล่าพวกเขาอีกเล่ม หลังจากสองคนนี้ลองระบายอีกครั้งก็พัฒนาขึ้นมาก ผ่านมาตรฐานสำหรับนำไปขาย
หลินหวั่นชิวปลื้มใจ ประกาศว่าจะให้รางวัลทั้งคู่คนละสามชุด ถามขนาดตัวจากพวกเขา
ไต้หงเฟยบอกขนาดสองแบบให้หลินหวั่นชิว “ข้าเอาชุดผ้าฝ้ายนวมแค่ชุดเดียวขอรับ ที่เหลือสองชุดอยากให้ท่านแม่ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่ขอรับเถ้าแก่หลิน?”
เถ้าแก่หลิน เจียงหงหนิงเป็คนบอกให้พวกเขาเรียกเช่นนี้ เ้าเด็กใจแคบคนนี้ไม่อยากให้ผู้อื่นเรียกหลินหวั่นชิวว่าพี่สะใภ้ตามตัวเอง
ขี้หวงเหมือนเจียงหงหย่วนไม่มีผิด
“ได้สิ เหตุใดจะไม่ได้ รางวัลของเ้าต้องแล้วแต่เ้าอยู่แล้ว”
โจวปินคือคนที่ระบายสีเสร็จพร้อมไต้หงเฟย เขาถูมือด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน เขียนขนาดตัวลงไปสามขนาด “เถ้าแก่หลิน ข้าอยากมอบชุดผ้าฝ้ายให้ท่านแม่และพี่สาวสองคนคนละชุดขอรับ”
“แล้วเ้าเล่า?” หลินหวั่นชิวถาม
โจวปินยิ้ม “ข้าร่างกายแข็งแรง ทนความเย็นได้ ใส่ชุดเก่าก็พอขอรับ อีกอย่าง ไว้พี่สาวมีชุดใหม่ ข้าก็เอาชุดเก่าจากพวกนางมาใส่ต่อได้”
หลินหวั่นชิวพยักหน้า “เช่นนั้นได้ ขอเพียงเ้ารู้ตัวเองดีที่สุดเป็พอ” มีแต่เด็กดีทั้งนั้น ทำกระไรก็คิดถึงครอบครัว
“ตอนนี้ยังมีเวลา พวกเ้าระบายสีต่อเถิด เล่มนี้ยังเป็การฝึกฝน ไม่คิดเงิน แต่ั้แ่เล่มหน้าเป็ต้นไปจะคิดเงินแล้ว” หลินหวั่นชิวพูด
นางจำเป็ต้องแสดงมาดของนักธุรกิจ ถึงจะชอบเด็กเหล่านี้มากเพียงใดแต่ก็ไม่อาจยอมให้พวกเขาเห็นที่นี่เป็โรงทานได้
ในยุคปัจจุบัน นางเคยเห็นตัวอย่างคนที่ทำการกุศลจนตัวเองก็ไม่เหลือมานักต่อนัก โลกนี้มีคนเนรคุณเต็มไปหมด นางต้องระมัดระวังและรอบคอบให้มาก
ได้ยินหลินหวั่นชิวพูดเช่นนี้ โจวปินรีบหยิบหนังสือภาพอีกเล่มมาระบายสี
หลินหวั่นชิวตรวจผลงานของเด็กคนอื่นๆ เช่นกัน บอกพวกเขาว่าไม่ต้องรีบ รีบเกินไปจะผิดพลาดได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ช่วยชี้จุดที่พวกเขาใช้สีผิด
หลังจากสอนเสร็จ หลินหวั่นชิวเห็นว่ายังมีเวลาจึงนำห่อผ้าที่ไต้หงเฟยนำมากลับไปดูที่ห้อง
ความจริงแล้วนางกลับห้องเพื่อโยนของเหล่านี้เข้าเสียนอวี๋ต่างหาก ให้เสียนอวี๋ประเมินราคา รู้ราคาประเมินแล้วจะได้จ่ายเงินให้ไต้หงเฟยถูก
ถูกต้อง สิ่งที่อยู่ในห่อผ้าคือม้วนภาพและม้วนคัมภีร์สองม้วน หนังสือภาพทิวทัศน์สามเล่ม คัมภีร์คัดด้วยมือสามเล่ม
เสียนอวี๋ประเมินราคาให้อย่างรวดเร็ว หลินหวั่นชิวแปลงเงินตามราคารับซื้อของเสียนอวี๋แล้วคูณด้วยสาม ออกมาเป็ราคาที่นางต้องจ่ายให้ไต้หงเฟย
ของที่รับซื้อจากเด็กพวกนี้ นางตั้งมาตรฐานไว้ว่าต้องได้กำไรเจ็ดส่วน
ไม่ใช่ว่านางใจร้าย แต่เพราะนางเองก็เป็ลูกค้าประจำของร้านหนังสือ รู้ราคารับซื้อโดยประมาณของของพวกนี้ นางรับซื้อแพงกว่าที่อื่นได้แค่ห้ามแพงกว่ามากเกินไป มิเช่นนั้นไปขัดช่องทางหากินของผู้อื่นเข้าคงมีปัญหา
หลังจากทราบราคาประเมิน หลินหวั่นชิวนำของพวกนี้ออกมาห่อกลับดังเดิม เห็นว่าใกล้ได้เวลาแล้วก็กลับไปที่ห้องศิลปะ จ่ายเงินค่าหนังสือภาพให้โจวปินกับไต้หงเฟยต่อหน้าทุกคน จากนั้นบอกราคารับซื้อของของที่ไต้หงเฟยนำมาให้เขาฟัง
เด็กทุกคนตะลึงงันกันหมดเมื่อฟังจบ
นี่ไม่ใช่ให้ราคาสูงกว่าร้านหนังสือแค่นิดเดียวแล้ว แต่ให้สูงกว่ามากเลยต่างหาก
“ว่าอย่างไร ราคานี้เ้าขายหรือไม่?” หลินหวั่นชิวถาม
ไต้หงเฟยพยักหน้ารัว “ขายขอรับ”
ของพวกนี้เป็ของที่เขาทำออกมาใน่หนึ่งปีที่ผ่านมา เก็บไว้มาโดยตลอด วางแผนว่าจะนำไปขายให้ร้านหนังสือก่อนปีใหม่เพราะได้ราคาดีกว่าปกติ
หลินหวั่นชิวสังเกตสีหน้าพวกเขา คิดในใจว่าถึงจะให้ราคาพวกเขาแค่สามส่วนก็ถือว่าเยอะแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงพูดว่า “ข้ารับซื้อไม่เยอะ ดังนั้นพวกเ้าต้องพิจารณาคนที่จะแนะนำให้ดี แต่ละเดือน นอกจากของของพวกเ้าเองแล้ว ข้าอนุญาตให้พวกเ้าแนะนำให้ผู้อื่นได้มากสุดแค่คนเดียว มากกว่านี้ข้ารับซื้อไม่ไหว”
ทุกคนแสดงออกว่ารับรู้แล้ว พวกเขาต้องเข้าใจอยู่แล้ว เถ้าแก่หลินเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ราคาที่ให้ก็จริงใจ…
เป็โชคดีของพวกเขาโดยแท้ที่ได้มาเจอคนแบบเถ้าแก่หลิน
ที่หลินหวั่นชิวไม่รู้ก็คือ การกระทำของนางวันนี้จะช่วยเป็แรงให้เส้นทางขุนนางของเจียงหงหนิงในอนาคต
ในท้ายที่สุด ยังช่วยเหลือตัวนางเอง
และที่นางยิ่งคิดไม่ถึงคือ ในอนาคต ไต้หงเฟยจะกลายเป็จิตรกรผู้มีชื่อเสียง ภาพวาดและอักษรของเขากลายเป็สมบัติ แม้นมีทองพันตำลึงก็ยากจะหาซื้อ…
ที่อื่นไม่มีขาย มีขายแค่ร้านหนังสือที่หลินหวั่นชิวเปิดเท่านั้น