เหยาเชียนเชียนถูกอาเหยียนน้อยปลุกให้ตื่น ยามที่นางลืมตาขึ้นก็เห็นเขาถือน่องไก่อยู่ข้างกายนางราวกับกำลังมอบของล้ำค่าให้ เมื่อเห็นว่านางตื่นแล้วเขาก็เข้าไปประคองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านแม่ขี้เซา”
เหยาเชียนเชียนขยี้ศีรษะเล็กของเขา “ใช่ แม่ผิดเอง แม่จะลุกเดี๋ยวนี้ ทานสำรับเช้าพร้อมอาเหยียน”
หัวหน้าสาวใช้าุโเข้ามาคนหนึ่ง นางชี้สั่งให้คนช่วยปรนนิบัติอาบน้ำให้เหยาเชียนเชียน พร้อมกับกล่าวว่า “วันนี้หวังเฟยต้องเสวยเยอะหน่อยนะเพคะ เมื่อเสวยสำรับเช้าเรียบร้อยแล้วพระองค์ต้องเสด็จเข้าวัง อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง [1] ทรงรับสั่งเชิญพระองค์และท่านอ๋องเข้าวังพร้อมกันเพคะ”
อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง?
เหยาเชียนเชียนสำลักน้ำเกลือในปากและรับผ้ามาเช็ดหน้า
คนไม่รู้จักกัน จะให้พูดคุยอะไรกันเล่า?
“มามา [2] คุ้นเคยอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงผู้นี้หรือไม่ เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
หัวหน้าสาวใช้าุโไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ย นางจะให้หวังเฟยเรียกนางว่ามามาได้อย่างไร ทว่าแววยินดีบนหน้าไม่อาจเก็บซ่อนได้ นางคิดว่าหวังเฟยถูกเรียกเข้าวังกะทันหันอาจกลัวไม่น้อย จึงเล่าให้ฟังเบาๆ ว่า
“อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงเป็นายที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในยามนี้ พระองค์คือมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสาม พระองค์ทรงรู้ใช่หรือไม่เพคะ แต่น่าเสียดาย องค์ชายสามผู้นี้ร่างกายอ่อนแอั้แ่เยาว์วัย หม่อมฉันขอกล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคายสักประโยค มิเช่นนั้นตำแหน่งที่ยังว่างอยู่นี้ เกรงว่าจะถูกกำหนดไว้นานแล้วเพคะ”
ตำแหน่งฉู่จวิน?
เหยาเชียนเชียนหัวเราะเล็กน้อย ร่างกายขององค์ชายสามที่เดินก้าวหนึ่งไอสามครั้งนั้น ฮ่องเต้คงไม่กล้ามอบบัลลังก์ให้เขาจริงๆ ราวกับว่าเพียงถูกลมพัดเขาก็สามารถล้มลงได้ หากข่าวยั่วยุแว่วเข้าไปถึงวังหลวง เกรงว่าเขาคงไม่อาจทนไหว
หากเป็เช่นนั้น อวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงผู้นี้ก็ชะตากรรมไม่เอื้ออำนวยเช่นกัน การเป็ที่โปรดปรานซึ่งยากจะได้รับกลับไม่สามารถส่งนางไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าได้
ก่อนหน้านี้เหยาเชียนเชียนเคยได้ยินมาว่าพระมารดาของชิงผิงอ๋องคือฮองเฮา ทว่าน่าเสียดายที่ฮองเฮาทรงด่วนจากไปเสียก่อน ดูเหมือนว่าเมื่อให้กำเนิดเขาแล้วก็สิ้นพระชนม์ทันที มิเช่นนั้นหากมีแรงสนับสนุนจากเสด็จแม่ผู้เป็ฮองเฮา ชิงผิงอ๋องก็จะกลายเป็ตัวเลือกฉู่จวินที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
จริงด้วย!
เหยาเชียนเชียนตระหนักได้ทันที ในคราแรกองค์ชายสามร่วมมือกับตระกูลเหยาหมายจะสังหารอาเหยียน นั่นอาจเป็การจัดการชิงผิงอ๋อง แต่หากสังหารลูกชายของเขาแล้วจะเป็อย่างไรเล่า?
ชิงผิงอ๋องยังเยาว์และมีพละกำลัง ถึงจะเคยบอกว่าเขาไม่อาจมีบุตรได้ตามที่้า แต่หากไม่มีอาเหยียน ก็มีความเป็ไปได้อย่างสูงว่าเขาสามารถมีอีกสักแปดคนสิบคน อยากมีเท่าไรก็มีเท่านั้น
หรือเป็เพราะอาเหยียนสำคัญต่อชิงผิงอ๋องมาก หากอาเหยียนเป็อะไรไป ชิงผิงอ๋องจะต้องไม่มีโอกาสยืนหยัดต่อไปอย่างแน่นอน?
องค์ชายสามและชิงผิงอ๋อง ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันอย่างเห็นได้ชัด นางรู้ดีว่าคนที่เ้าของร่างเดิมหลงรักคือองค์ชายสาม แต่ชิงผิงอ๋องก็ยังแย่งชิงมา
ทั้งสองคนชิงดีชิงเด่นกันเพื่อตำแหน่งฉู่จวินทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ หากไม่ระวังยืนผิดฝ่าย และอีกฝ่ายได้ขึ้นครองราชย์ในอนาคต ต่อให้นางหนีไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวก็สามารถถูกจับไปสำเร็จโทษปะาได้
เหตุใดคนที่ตายต้องเป็นาง เหยาเชียนเชียนกุมบริเวณหน้าอกด้วยความรู้สึกอึดอัด
“หวังเฟยอย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ” สาวใช้าุโคิดว่านางตื่นเต้น จึงปลอบประโลมนางอย่างต่อเนื่อง “ท่านอ๋องเสด็จไปพร้อมกับหวังเฟย หากมีระเบียบที่ไม่เข้าใจ ท่านอ๋องจะทรงช่วยหวังเฟยแน่นอนเพคะ”
อวี๋เฟยเป็มารดาขององค์ชายสาม นางได้พบชิงผิงอ๋องจะอารมณ์ดีได้อย่างไร วันนี้มีเจตนาเชื้อเชิญเป็พิเศษ เกรงว่าจะเป็งานเลี้ยงรับรองหงเหมิน [3] กระมัง
ยิ่งไปกว่านั้น ให้นางพึ่งพาตัวเองเสียยังดีกว่าคาดหวังกับชิงผิงอ๋อง เหยาเชียนเชียนแตะที่ลำคอโดยไม่รู้ตัว คนผู้นั้นคงคำนวณแรงที่ต้องใช้มาอย่างแม่นยำ ในตอนเช้าตรู่รอยฟกช้ำก็ยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย
“ท่านแม่รีบกลับมานะขอรับ”
หลังจากรับประทานสำรับเช้าเรียบร้อยแล้ว อาเหยียนน้อยโบกมือให้นางอย่างน่ารัก เหยาเชียนเชียนร้องครวญในใจ นางก็อยากกลับมาเร็วๆ เช่นกัน ต้องไปร่วมงานเลี้ยงรับรองหงเหมินพร้อมกับกลุ่มคนอันตรายที่อยากฆ่านางอยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกว่าไม่มีทางรอดเลยสักทาง
รถม้าเคลื่อนไปยังวังหลวงอย่างช้าๆ ภายในรถม้าเหยาเชียนเชียนนั่งเป็มุมทแยงกับเป่ยเหลียนโม่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนผู้นี้อาการกำเริบขึ้นมากะทันหัน
เป่ยเหลียนโม่แม้หลับตาอยู่ก็ยังััได้ว่านางกำลังจ้องมองเขาอย่างตรงไปตรงมาถึงระดับที่เรียกได้ว่าโง่เขลาเช่นนี้ นางไม่เจียมตนแล้วจริงๆ หรือว่าจงใจแสร้งทำเป็โง่เขลาเพื่อให้เขาคลายความระวังตัวลง
เมื่อคืนนางก็น่าจะได้ยินแล้ว บ่าวสับปลับที่ทรยศนางมีจุดจบเช่นนั้น เหตุใดนางถึงดูไม่ดีใจเลย
“หวังเฟยอยู่ไกลเปิ่นหวังถึงเพียงนี้ จะได้ยินสิ่งที่เปิ่นหวังพูดได้อย่างไร” เป่ยเหลียนโม่ตบที่นั่งข้างกายเบาๆ “มานั่งตรงนี้สิ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง” เหยาเชียนเชียนไม่ขยับเขยื้อน “หูหม่อมฉันรับเสียงได้ดีมาก เชิญท่านอ๋องตรัสมาเถิดเพคะ”
เมื่อวานยังหมายจะบีบคอนางให้ตาย มาวันนี้กลับพูดจานุ่มนวลไม่กี่คำแล้วจะให้นางลืมเื่ในอดีต เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“สิ่งที่เปิ่นหวังจะพูดกับหวังเฟยเป็ถ้อยคำกระซิบ”
เป่ยเหลียนโม่ยกมุมปากขึ้น เหยาเชียนเชียนยังไม่ทันเห็นการกระทำของเขาได้ชัดก็ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขนเสียแล้ว
รถม้าคลอนเล็กน้อย เป่ยเหลียนโม่กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางเอ่ยเตือนอย่างเป็ห่วงว่า “หวังเฟยอย่าดิ้นจะดีกว่า มิเช่นนั้นคนข้างนอกอาจเข้าใจผิดได้”
เหยาเชียนเชียนทั้งอายทั้งโมโห คนผู้นี้อาการกำเริบขึ้นไม่สนเวลาและโอกาสจริงๆ นางสลัดไม่หลุด จึงต้องยอมปล่อยให้เขากอดต่อไป
“ท่านอ๋องอยากตรัสอะไรหรือเพคะ?”
หลังจากพิธีอภิเษกสมรสในคืนนั้น เป่ยเหลียนโม่ก็แทบไม่ได้เห็นนางปั้นหน้าเ็าใส่เขาเลย ทุกครั้งถ้าไม่ยิ้มตาหยีโน้มเข้ามา ก็จะทำเื่ไร้สาระน่าขบขัน แต่กลับเป็เื่ที่ทำให้เขาลืมไม่ลง
“เปิ่นหวังได้ให้สัญญาต่อเสด็จพ่อว่าจะรักและปกป้องหวังเฟยอย่างดี และชีวิตนี้จะไม่ทำผิดต่อเ้า วันนี้เมื่ออยู่หน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ หวังเฟยต้องทูลตอบอย่างระมัดระวัง หากเสด็จพ่อเข้าพระทัยว่าเราสองสามีภรรยาไม่กลมเกลียวกัน เช่นนั้นจะไม่ดี”
ฮ่า!
เหยาเชียนเชียนดวงตาสว่างวาบ ที่แท้ก็กลัวว่านางจะฟ้องนี่เอง เขากล่าวด้วยมโนธรรมที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เขาเคยทำดีกับนางบ้างหรือไม่ ใน่สองสามวันแรก นางต้องแย่งชิงแม้กระทั่งอาหาร
หึหึ ความหวาดหวั่นและความกลัดกลุ้มในคืนวานพลันสลายหายไป เหยาเชียนเชียนมองไปทางเขาอย่างได้ใจเล็กน้อย ที่แท้เขาก็มีคนที่เกรงกลัวอยู่เหมือนกัน
ก็ถูก อุตส่าห์อ้อนวอนสู่ขอนางมาได้ ถ้าฮ่องเต้ทรงทราบว่ายามนี้ไม่ได้เป็อย่างที่เขาได้ให้สัญญาไว้เหมือนในคราแรก เช่นนั้นภาพลักษณ์ของบุรุษผู้ลุ่มหลงในรักต้องลดลงมากเป็แน่!
“แต่อาเหยียนก็รู้ เด็กดีไม่โกหกหรอกเพคะ” เหยาเชียนเชียนกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิควรทูลตามความเป็จริงหรือเพคะ?”
เป่ยเหลียนโม่เลิกคิ้วเล็กน้อย นางกำลังขู่เขาอยู่หรือ เกรงว่าสมองนางคงจะมีปัญหาเสียแล้ว
“หากหวังเฟยบอกว่าจะทูลตามความเป็จริง เช่นนั้นก็อย่าได้พลาดเื่น่าตื่นเต้นในคืนอภิเษกสมรสไปเชียว เสด็จพ่อทรงโปรดความครึกครื้น หากหวังเฟยกล่าวไม่ดี เปิ่นหวังจะพูดเองก็ย่อมได้”
เหยาเชียนเชียนกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง นางลืมเื่นี้ไปเสียสนิท
“เสด็จพ่อทรงทราบมานานแล้วว่าหวังเฟยสวยทั้งภายนอกและภายใน ทั้งถ่อมตนและอ่อนโยน แต่เดิมเปิ่นหวังก็คิดเช่นนั้น” เป่ยเหลียนโม่แย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “หวังเฟยสร้างความประหลาดใจให้แก่เปิ่นหวังยิ่งนัก แต่ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงโปรดเื่น่าประหลาดใจนี้หรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนเม้มปากปั้นหน้ายิ้มพลางส่ายหน้าอย่างจริงจัง
“เสด็จพ่อทรงมีอานุภาพเป็ที่น่าหวั่นเกรงแปดทิศ พระองค์น่าจะทรงโปรดสะใภ้ที่วางตัวอยู่ในระเบียบ เื่นี้ไม่ยกมาพูดจะดีกว่า เพียงแค่ทำให้เสด็จพ่อรู้ว่าเปิ่นหวังและหวังเฟยสองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันก็พอแล้ว”
เป่ยเหลียนโม่ยิ้มบาง เขาลูบมือเหยาเชียนเชียนอย่างไม่ใส่ใจ นางคิดว่าจะจับจุดอ่อนบางอย่างของเขาได้จริงหรือ แม้แต่ชีวิตก็ยังอยู่ในกำมือของเขา เช่นนี้ยังกล้าเพ้อฝันถึงสิ่งอื่นอีกได้อย่างไร
เหยาเชียนเชียนได้ใจไม่ถึงสามวินาที นางนั่งบนขาของเขารู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งร่าง แต่การที่อยู่ในท่านี้ทำให้นางไม่กล้าขยับตัวมั่วซั่ว ถ้าไม่ระวังจนไปยั่วยุเขาเข้า ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หญิงสาวเกร็งตัวอยู่เช่นนั้นจนรถม้าหยุดลง นางกำนัลซึ่งรออยู่ข้างหน้าเลิกผ้าม่านขึ้น เป่ยเหลียนโม่ผลักนางออก และเมื่อเขาเดินลงจากรถม้าไปแล้วก็ยื่นมือมาประคองนางอย่างรักใคร่
ยังจะมาตีสองหน้าอีก เหยาเชียนเชียนกัดฟันแค่นยิ้ม และเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเขาอย่างสนิทสนม
วังหลวงอันสง่างามและโอ่อ่าน่าเกรงขามนี้ทำให้เหยาเชียนเชียนรู้สึกวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย ที่นี่ไม่ใช่สถานที่จัดแสดง ภายในมีฮ่องเต้พระองค์จริงที่สามารถคร่าชีวิตคนได้ประทับอยู่
นางดึงแขนเสื้อของเป่ยเหลียนโม่โดยไม่รู้ตัว ยามนี้พวกเขาคือตั๊กแตนสองตัวที่ถูกมัดบนเชือกเดียวกัน [4] ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยปละละเลยนางโดยไม่สนใจได้
เป่ยเหลียนโม่สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ ของนาง เขาคิดอยากสะบัดนางออก ทว่าเมื่อเหลือบมองแววตาที่แสร้งทำเป็ไม่สะทกสะท้านของนางมือก็ชะงักเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ
อวี๋เฟยประทับอยู่ในตำหนักของตนเรียบร้อยแล้ว เมื่อทั้งสองคนเข้ามาก็เห็นสตรีผู้มีใบหน้างดงามนางหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ข้างบน และพยักหน้าให้พวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยง” เป่ยเหลียนโม่ค้อมกายแสดงความเคารพ เหยาเชียนเชียนจึงปฏิบัติตามและกล่าวทักทายเสียงเบา นางได้เรียนกับมามาบ้างแล้วยามอยู่ที่จวน
“รีบลุกขึ้นเถิด” อวี๋เฟยโบกมือเล็กน้อย “วันก่อนเปิ่นกงเพิ่งได้รับชาดีมา ทันให้พวกเ้าได้ลองชิมพอดี”
เป่ยเหลียนโม่จิบเข้าไปอึกหนึ่งและพยักหน้าเล็กน้อย “รสชาติฝาดเล็กน้อยเมื่ออยู่ในปาก ทว่ารสชาติที่คงค้างอยู่ในลำคอหวานล้ำไม่รู้จบ เป็ชาดีโดยแท้พ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋เฟยแย้มยิ้มพร้อมกล่าวว่า ‘ใช่’ ก่อนจะผินใบหน้าไปทางเหยาเชียนเชียน “เชียนเชียนคิดเห็นอย่างไรเล่า?”
เหยาเชียนเชียนอมชาอึกหนึ่งไว้ในปาก จะว่าอย่างไรดี รสชาติค่อนข้างฝาด ทว่าเมื่อขยับริมฝีปากก็ได้ลิ้มรสหวานเล็กน้อย นางชิมชาไม่เป็ด้วยซ้ำ อ๊ากกก!
“ชา...ชานี้ มัน...กลิ่นหอมเตะจมูก น้ำก็มีรสดี เย็นสดชื่นและหวานล้ำ รสชาติมีเอกลักษณ์ ชวนให้มิอาจลืมเลือนเพคะ”
ราวกับบรรยากาศหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เหยาเชียนเชียนลอบถอนหายใจ นางเม้มริมฝีปากพลางปั้นหน้ายิ้มสดใส ดวงตาสุกสกาวและรอยยิ้มหวานหยด นั่นทำให้อวี๋เฟยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็ว
“ที่แท้...ที่แท้เชียนเชียนก็ชื่นชอบชานี้ถึงเพียงนี้ เด็กๆ เตรียมส่งให้ชิงผิงอ๋องหนึ่งชุด ข้ากำลังคิดไม่ออกว่าจะมอบสิ่งใดให้พวกเ้าอยู่พอดี ช่างบังเอิญจริงๆ”
ผลคือกล่าวขอบคุณสำหรับใบชา เหยาเชียนเชียนลอบมองเป่ยเหลียนโม่และสบเข้ากับแววตาซับซ้อนของเขาพอดี นางใเสียจนต้องหลบสายตา ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด
“เปิ่นกงไม่ได้ไปเข้าร่วมในวันพิธีอภิเษกสมรสของพวกเ้า เหตุเพราะอาการปวดหัวกำเริบ ทำให้เสด็จพ่อของพวกเ้าไม่อาจเสด็จไปด้วยพระองค์เองได้ วันนี้เปิ่นกงจึงได้เชิญพวกเ้ามาเพื่อกล่าวขอโทษ”
“สุขภาพของอวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงสำคัญมากกว่านัก หากต้องฝืนพระวรกายมาเพื่อแสดงความยินดี นั่นเป็ความผิดของเปิ่นหวังพ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋เฟยแย้มยิ้ม เบือนสายตาไปทางเหยาเชียนเชียน “เปิ่นกงไม่คิดเลยว่าชิงผิงอ๋องจะหลงรักเชียนเชียน กระทั่งร้องขอราชโองการจากฝ่าาอย่างกะทันหันถึงได้ทราบ ที่แท้ท่านอ๋องก็เป็คนลุ่มหลงในรักนี่เอง”
เป่ยเหลียนโม่ยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอะไร เป็การยอมรับคำกล่าวนั้นไปในตัว เหยาเชียนเชียนจึงทำท่าทีเหนียมอายอย่างให้ความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วในใจนางกำลังยกนิ้วโป้งให้คนข้างตัวอยู่
เขาช่างหน้าหนาดุจกำแพงจริงๆ สามารถยอมรับเื่ที่ไม่มีอยู่จริงได้ทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“จริงสิ ระยะนี้เฉิงเอ๋อร์ร่างกายไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้าได้เสวยอาหารบำรุง [5] ของเชียนเชียนถึงจะอาการดีขึ้น เหล่าบ่าวไพร่ช่างไม่รู้ความ หลายปีมานี้ไม่ได้ศึกษาอันใดเลยแม้แต่นิดเดียว”
อวี๋เฟยมองมายังเหยาเชียนเชียนอย่างสลดใจ “เปิ่นกงรู้ว่ายามนี้เชียนเชียนเป็ชายาของชิงผิงอ๋องแล้ว แต่ถึงอย่างไรเฉิงเอ๋อร์ก็เป็ลูกชายเพียงคนเดียวของเปิ่นกง เห็นเขาต้องทนทุกข์เปิ่นกงไม่อาจทนได้จริงๆ ไม่ทราบว่าเชียนเชียนสามารถเขียนอาหารบำรุงทั้งหมดให้ได้หรือไม่ เพื่อที่วันหน้าจะได้ไม่ต้องรบกวนเ้าอีก”
เหยาเชียนเชียนราวกับถูกฟ้าผ่า อาหารบำรุงอะไรกัน นางไม่รู้เื่!
เชิงอรรถ
[1] เหนียงเหนี่ยง หมายถึง คำสรรพนามที่ใช้เรียกฮองเฮาหรือสนมเอก
[2] มามา หมายถึง คำสรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้าุโที่เคยแต่งงานมาแล้ว โดยทางพระราชวังจะคัดเลือกแม่ม่ายที่ไม่มีลูก อายุประมาณ 40-60 ปี เข้ามาเป็นางกำนัลรับใช้เชื้อพระวงศ์ที่มีตำแหน่งสูงอย่าง ฮองไทเฮา ฮองเฮา พระชายา หรือเป็แม่นมให้กับพระโอรสและพระธิดา
[3] งานเลี้ยงรับรองหงเหมิน หมายถึง เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดใน 206 ปีก่อนคริสตกาล เป็ส่วนหนึ่งของาฉู่-ฮั่น (206-202 ปีก่อนคริสตกาล) อันเป็าภายหลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน เป็การแย่งชิงความเป็ใหญ่ระหว่างเซี่ยงอวี่ หรือฌ้อปาอ๋อง แห่งรัฐฉู่ กับหลิวปัง แห่งรัฐฮั่น โดยสถานที่เกิดเหตุในปัจจุบันคือหมู่บ้านหงเหมินเปา ในอำเภอหลินตง เมืองซีอาน มณฑลส่านซี ซึ่งสำนวนนี้เป็การอุปมาว่า ใช้งานเลี้ยงมาเป็เครื่องมือในการทำร้ายคน
[4] ตั๊กแตนสองตัวถูกมัดบนเชือกเดียวกัน หมายถึง สำนวนเปรียบเทียบสองคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ไม่มีใครหนีความรับผิดชอบพ้น หรือเป็การลงเรือลำเดียวกัน
[5] อาหารบำรุง เป็อาหารพิเศษที่ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์แผนจีน เนื่องจากมีการใช้เครื่องยาจีนในการประกอบอาหารที่ไม่ต่างจากการจัดเทียบยา เพื่อการรักษาโรคโดยตรง ดังนั้นจึงไม่ควรเชื่อคำบอกเล่าหรือเสาะหามาปรุงกินเอง ซึ่งอาจกลายเป็ผลร้ายได้
