เมื่อเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์เริ่มเป็รูปเป็ร่างขึ้นมาแล้ว หลัวเลี่ยก็ได้ค้นพบความรู้ใหม่ในเื่ความสมดุลอันสมบูรณ์แบบของหยินและหยาง
เดิมทีหลัวเลี่ยก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมอยู่แล้ว ซึ่งเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมจะมีเนื้อหาที่เน้นไปทางพลังของหยางและมีการกล่าวถึงพลังในทางหยินเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่ด้านหลังของหลัวเลี่ยอันเป็ตัวแทนของพลังหยินเริ่มถูกพลังหยางจากดวงอาทิตย์ของไก้อู๋ซวงกดดันแล้ว และในขณะที่ดวงจันทร์ถูกบดบังด้วยความร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ หลัวเลี่ยก็เริ่มดูดซับพลังจากดวงจันทร์เช่นกัน
เมื่อหลัวเลี่ยได้ดูดซับพลังจากดวงจันทร์ เขาก็เริ่มตีความเื่สมดุลของหยินหยางใหม่
และวิธีที่จะทำให้หลัวเลี่ยเข้าใจเนื้อความได้ง่ายที่สุดก็คือการเริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง
เมื่อเปรียบเทียบการฝึกฝนของเคล็ดวิชาั์กับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมแล้ว การฝึกฝนในครั้งนี้ต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเป็การเกิดใหม่อย่างแท้จริง การฝึกฝนในครั้งนี้ทำให้หลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาคือสมบัติวิเศษที่แข็งแกร่งมาก
และไก้อู๋ซวงก็ใช้เคล็ดวิชานิพพานเป็ตายในการเกิดใหม่เพื่อช่วยในเื่การเพิ่มพลังและกระตุ้นพลังหยางเช่นกัน
หลัวเลี่ยรีบดูดซับพลังจากดวงจันทร์เพื่อเพิ่มพลังของตนเอง
ภาพที่มองจากภายนอกในตอนนี้คือไก้อู๋ซวงที่ดูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหลัวเลี่ยก็ดูอ่อนแอลงเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่ในความเป็จริงไม่มีผู้ใดที่รู้ว่าหลัวเลี่ยกำลังลอบดูดซับพลังของไก้อู๋ซวงอยู่
คนอื่นที่มองอยู่รู้สึกแตกต่างออกไปจากหลัวเลี่ย
หลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงกำลังแสดงพลังอันน่าอัศจรรย์ของหยินและหยาง
มันคือการปะทะกันระหว่างพลังของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
เปลวเพลิงที่ร้อนแรงเทียบกับแสงจันทร์ที่นุ่มนวล
การเผชิญหน้าระหว่างพลังทั้งสองล้วนสะท้อนถึงความลึกลับในวิชายุทธ์
“ความมหัศจรรย์ของหยินและหยางอยู่ที่การเปลี่ยนแปลง ดั่งเมื่อเปลวเพลิงเผาไหม้ก็จะไร้รูปร่าง นี่เป็พื้นฐานของความลึกลับในพลังทั้งสองชนิด”
“ที่แท้ก็ง่ายดายเช่นนี้เองหรือ ข้าเข้าใจแล้ว”
เหลยเจิ้นจื่อมองไปยังพลังแห่งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของไก้อู๋ซวงและหลัวเลี่ย เขานึกอะไรบางอย่างได้แล้ว จากนั้นเขาจึงนั่งลงขัดสมาธิและเข้าฌาน
“หยินและหยางกำเนิดมาด้วยกันและข่มการมีอยู่ของอีกฝ่าย ทั้งการกำเนิดและการข่มกัน แท้จริงแล้วคือการอยู่ร่วมกัน”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้ว”
เย่เิหลงซึ่งเป็เทพีจันทรากล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ พร้อมๆ กับนั่งขัดสมาธิเพื่อเข้าฌานเช่นกัน
ผู้ที่มองแล้วเข้าใจก็เริ่มทำเช่นเหลยเจิ้นจื่อและเย่เิหลงเช่นกัน
และมีผู้คนอีกนับไม่ถ้วนที่เฝ้ามองและสังเกตการณ์ เมื่อพวกเขาพบว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ กายเริ่มเข้าใจความคิดนี้แล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งขัดสมาธิลงไปเพื่อทำความเข้าใจเช่นกัน
เมื่อปรมาจารย์ในระดับวังชะตาหรือแม้กระทั่งระดับทลายยุทธ์ได้แสดงท่าทางว่ากำลังเข้าฌานเรียนรู้เื่นี้เช่นกัน ทั่วทั้งจัตุรัสเหยียนหลงก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
แม้แต่ปรมาจารย์ที่มีพลังวรยุทธ์อยู่ในระดับกายทองคำเช่นข่งไท่โต้วก็ยังตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้
“พวกเขาแสดงให้เห็นถึงสิ่งสำคัญของหยินหยางโดยไม่ได้ตั้งใจจากการปะทะกัน”
“บางที คนพวกนั้นที่เรียนรู้เื่นี้จากพวกเขาอาจจะต้องเรียกพวกเขาว่าอาจารย์แล้วล่ะ”
ข่งไท่โต้วก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
นักเวทหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับพลังวรยุทธ์และไม่ได้สนใจในพลังวรยุทธ์มากนักเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ใเช่นกัน แม้พวกเขาจะเรียนรู้เื่นี้ไม่ได้ แต่พวกเขาต่างก็หยิบพู่กันเวทออกมาและเริ่มวาดพู่กันเพื่อร่ายเวทบรรยายเหตุการณ์นี้เอาไว้
ไม่น่าเชื่อว่าการต่อสู้ระหว่างหญิงสาวและชายหนุ่มจะเป็การแสดงวิถีแห่งหยินหยางจนทำให้ผู้คนมากมายได้เรียนรู้และเข้าใจวิถีของวิชายุทธ์
สถานการณ์นี้ทำให้ศิษย์ของสำนักอูอวิ๋นเซียนประหลาดใจเช่นกัน
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจวิถีแห่งหยินหยางจนไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้ฝึกฝนตามได้ พวกเขาจึงนั่งลงขัดสมาธิเพื่อเข้าฌานฝึกฝนเช่นกัน
และหนึ่งในผู้ที่รีบฝึกฝนนั้นก็มีสมาชิกของกลุ่มเต่าสุพรรณด้วย
“คุณชายเกา” หัวหน้ากลุ่มเต่าสุพรรณมองไปยังเกาอวิ๋นเหลิ่งด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง “ท่านคิดว่า?”
เกาอวิ๋นเหลิ่งก็ถูกเื่วิถีแห่งหยินหยางดึงดูดจนอยากจะรีบไปเข้าฌานฝึกฝนเื่ที่ได้รับรู้มาเช่นกัน แต่เขาก็ทำเป็ใจแข็งกัดฟันอดทนและพยายามพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า “ในเมื่อหลัวเลี่ยกับไก้อู๋ซวงได้แสดงบทเรียนที่ล้ำค่าออกมาแล้ว เช่นนั้นพวกเขาก็เปรียบดั่งอาจารย์ของพวกเ้าเช่นกัน ดังนั้นให้ยกเลิกแผนการทั้งหมดที่จะใช้จัดการหลัวเลี่ยเสีย ตอนนี้สิ่งที่พวกเ้าต้องทำคือปกป้องการปะทะกันของพวกเขาและป้องกันอย่าให้ใครที่ไหนสอดมือเข้ามายุ่งเื่นี้ได้ ให้เื่ทุกอย่างจบลงเท่านี้เถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวหน้ากลุ่มเต่าสุพรรณก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ขอบคุณคุณชายเกาที่เข้าใจ”
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่บทเรียนที่พวกเขาได้ชี้แนะออกมานี้ถือได้ว่าเป็สิ่งที่วิเศษมาก
เมื่อเป็เช่นนี้ หากพวกเขายังดึงดันจะสังหารหลัวเลี่ยก็อาจจะเป็การสร้างปมในใจให้กับปรมาจารย์บางคนที่กำลังจะบรรลุระดับกายทองคำจากเหตุการณ์นี้ก็เป็ได้ นี่อาจเรียกได้ว่าเป็โชคชะตาหรือความอัศจรรย์ที่เกิดในดินแดนเหยียนหลง แต่บางคนก็พูดว่าเื่นี้เป็โชคชะตาอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์
“ข้าไม่ได้เข้าใจ ข้าก็ยังเป็ข้า” เกาอวิ๋นเหลิ่งตอบกลับ
ใจของหัวหน้ากลุ่มเต่าสุพรรณกระตุกเมื่อรู้ว่าเกาอวิ๋นเหลิ่งยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับหลัวเลี่ยจึงควบคุมท่าทางของตัวเองเอาไว้
การฝึกฝนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สามวันผ่านไปในพริบตา
สิ่งที่ควรเข้าใจก็ได้ถูกเข้าใจแล้ว และเวลาที่ควรจะมาถึงก็ได้มาถึงแล้ว
เหลยเจิ้นจื่อและคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นยืนทีละคน พวกเขาทั้งหมดล้วนได้รับผลประโยชน์มากมายจากเื่นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปที่หลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงค่อนข้างแปลก
แกร๊ก!
มีเสียงแตกร้าวดังขึ้น
เปลือกของไข่ัร้าวออกโดยเริ่มกระจายจากรูสองรูอันมาจากลวดลายักำลังเล่นกับมุกที่อยู่้าและด้านล่างของไข่ออกมาในสี่ทิศอย่างรวดเร็ว
บูม!
ไก้อู๋ซวงที่อยู่ในไข่ใช้มือของตัวเองตบไปที่ไข่อย่างรุนแรง จนเปลือกไข่ัะเิออกมากลายเป็เศษเล็กเศษน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนและปลิวว่อนไปทุกทิศทุกทาง
เศษเปลือกไข่เหล่านี้กลายเป็เปลวไฟปะปนกัน พวกมันลอยขึ้นไปในอากาศราวกับว่าเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่นั้นถูกจุดขึ้น เมื่อพวกมันรวมกันเป็จำนวนมากก็กลายเป็เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำราวกับว่ากำลังจะกลืนกินโลก
ไก้อู๋ซวงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางเศษเถ้าถ่าน นางดูราวกับเป็เทพีแห่งาและกลิ่นอายรอบตัวนางก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
เส้นผมสีผมสีดำสนิทปลิวไสวท่ามกลางสายลมอย่างเงียบงัน
คิ้วบางเลิกขึ้น
ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ไม่มีสิ่งใดปะปนเข้ามาอีก
เมื่อไก้อู๋ซวงกางแขนทั้งสองข้างของนางออกมา เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำรอบตัวนางก็ถูกบังคับขับเคลื่อนให้ลอยไปรอบๆ ตัวของนาง จนทำให้เปลวเพลิงดูเหมือนัสองตัว และนางก็คือไข่มุกของัสองตัวนั้น นอกจากนี้ร่างของนางยังอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของจัตุรัสอีกด้วย
ไก้อู๋ซวงลดแขนทั้งสองข้างที่กางออกลงช้าๆ แล้วจ้องมองไปยังหลัวเลี่ยด้วยดวงตาที่ลุกเป็ไฟ นางเอ่ยอย่างเ็าว่า “ครั้งแรกที่ข้าลืมตาดูโลก ข้ากลับโด่งดังจากการที่เ้าสังหารข้า และการที่ข้าถูกเ้าสังหารก็นับว่าเป็ความอัปยศที่สุดในชีวิตของข้าและข้าจะทำให้มันเป็ความอัปยศครั้งสุดท้าย หลัวเลี่ย บัดนี้ข้าได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่จากเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายแล้ว และการที่ข้ากลับมาเกิดใหม่เป็ครั้งที่สองนี้ก็เพื่อสังหารเ้าชะล้างความรู้สึกแค้นในใจเปิดทางสู่การขึ้นเป็เทพ”
“อย่างไรก็ตามการที่เ้าสังหารข้าครั้งหนึ่งแม้ว่ามันจะทำให้ข้าต้องอับอายแต่มันก็กลับช่วยให้ข้าเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของหยินหยางและรอดพ้นจากความตายมาได้อย่างง่ายดาย และเพื่อแสดงถึงความขอบคุณ ข้าไก้อู๋ซวงคนนี้จะสังหารเ้าด้วยวิธีที่รวดเร็วที่สุดเอง”
หลังจากที่ไก้อู๋ซวงพูดจบ แสงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่ด้านหลังของนางก็ะเิเป็เปลวเพลิงทันที
เดิมทีเศษเปลวเพลิงก็ปลิวว่อนปกคลุมอยู่ทั่วทั้งท้องฟ้าบริเวณที่กลุ่มเต่าสุพรรณคุ้มกันอยู่ แต่ตอนนี้ไก้อู๋ซวงได้เกิดใหม่แล้วและนางก็เป็คนที่ทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไปจากเดิมโดยเฉพาะเศษเปลวเพลิงเ่าั้ที่ยิ่งเพิ่มจำนวนขยายพื้นที่ปลุกคลุมไปมากกว่าเดิม
เปลวเพลิงลุกโชนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ะเิขึ้นสูง และลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังบริเวณโดยรอบ
เหตุการณ์ตอนนี้คือเปลวเพลิงได้ลุกลามไปทั่วท้องฟ้าอย่างแท้จริง
และด้านล่างท้องฟ้า เปลวเพลิงที่แข็งแกร่งมากก็พุ่งเข้าหาหลัวเลี่ยเช่นกัน
หลัวเลี่ยที่ยังคงดูดซับแก่นพลังของดวงจันทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าหลัวเลี่ยจะสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ได้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนและเขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่ามันจะใช้ฝึกฝนได้จริงหรือไม่
นอกจากนี้พื้นฐานของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับหยินหยางที่ไม่สมดุลพอ หลัวเลี่ยยัง้าพลังจากดวงจันทร์มาเติมเต็มให้มันมีความสมดุลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้จึงจะทำให้เขาสามารถสร้างเคล็ดวิชาเต๋านับอนันต์ออกมาได้สำเร็จและสามารถชำระล้างร่างกายให้บรรลุระดับพลังขั้นสูงได้
ดังนั้นเขาจึงยัง้าเวลาอีกสักหน่อย