หลังจากเหลียงซื่อเดินจากไป พ่อเฒ่าอันก็ออกมายืนมองอยู่ที่หน้าประตูเอง เขากำกล้องยาสูบไว้ในมือ เคาะกับกรอบประตูอย่างเหม่อลอย ทั้งที่ในกล้องยานั้นไม่มีใบยาสูบอยู่เลยแม้แต่น้อย
“เอ้อร์ยา เ้าลองไปดูที่ทางเข้าหมู่บ้านทีสิว่าอาเ้ามาถึงหรือยัง” แม้ยืนรออยู่หน้าประตูแล้ว เขาก็ยังคงร้อนใจอยู่ดี จึงใช้ให้เอ้อร์ยาออกไปดูอีก
“เ้าค่ะ” เอ้อร์ยาตอบรับแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปทันที แต่ต่งซื่อกลับร้องห้ามไว้ “ฝนตกอยู่นะ เดี๋ยวเ้าออกไปจะเปียกเอา”
พ่อเฒ่าอันได้ยินคำพูดของลูกสะใภ้ ก็รู้สึกว่าความคิดเมื่อครู่ของตนไม่เหมาะสมนัก จึงเอ่ย “เอาเถอะ เช่นนั้นเ้าก็เข้าไปในบ้านเถอะ ข้ายืนดูอยู่ตรงนี้ก็พอ”
เขารอคอยการกลับมาของบุตรสาวอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อยังไม่เห็นหน้านาง ก็อดกังวลสารพัดไม่ได้ กลัวว่าคนหยาบกระด้างอย่างจางเจิ้นอันจะปฏิบัติต่อนางไม่ดี เมื่อวานพอได้ฟังจากต้ายากับเอ้อร์ยาว่าอันซิ่วเอ๋อร์ถึงกับต้องไปขุดดิน ก็ยิ่งทำให้สองสามีภรรยาเป็กังวลจนแทบอยู่ไม่สุข
ก่อนหน้านี้ นางถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมอยู่ในห้องหับส่วนตัว พวกเขาไม่เคยยอมให้นางทำงานหนักเลยสักนิด แม้แต่งานบ้านก็เพิ่งจะให้เหลียงซื่อสอนบ้างเล็กน้อยเมื่อเห็นว่านางโตเป็สาวใกล้จะออกเรือนแล้ว วันธรรมดานางอยู่บ้านก็อย่างมากแค่ช่วยหยิบจับเล็กๆ น้อยๆ หรือช่วยทำอาหารเท่านั้น
แต่บัดนี้แต่งงานไปเป็สะใภ้บ้านอื่น นอกจากจะต้องดูแลงานบ้านให้สามีแล้ว ยังต้องไปขุดดินอีก พอคิดถึงเื่นี้เขาก็ปวดใจ เมื่อคืนสองสามีภรรยาผลัดกันต่อว่าจางเจิ้นอันเสียๆ หายๆ ไปหลายคำ
แต่พอต่อว่าจบแล้วอย่างไรเล่า? สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการโทษตัวเอง โทษที่สามีภรรยาคู่นี้ไร้ความสามารถ เก็บเงินไม่ได้ จนต้องขายลูกสาวเพื่อแลกกับเงินตรา
ที่ประตูรั้วเล็กๆ แห่งนั้น พ่อเฒ่าอันกลับยืนนิ่งอยู่ไม่ได้เสียแล้ว ทำได้เพียงไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินวนไปเวียนมาอยู่ตรงธรณีประตู
“ท่านพ่อ!” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นพ่อเฒ่าอันแต่ไกล รีบโบกมือให้เขา พ่อเฒ่าอันพอเห็นบุตรสาวกลับมา ดวงตาที่เคยขุ่นมัวก็พลันเป็ประกาย รีบก้าวเข้าไปหา “กลับมาแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
“ท่านพ่อ ฝนตกอยู่นะเ้าคะ เหตุใดท่านไม่สวมหมวกกันฝนเล่า?” อันซิ่วเอ๋อร์พลางถอดหมวกบนศีรษะตนสวมให้บิดา เดินไปก็เอ่ยไปว่า “ข้างนอกหนาวจะตาย ท่านไม่อยู่ผิงไฟในบ้าน ออกมารับข้าทำไมกัน?”
“พ่อไม่ได้ออกมารับเ้า แค่เมื่อครู่ออกมาดู แล้วบังเอิญเจอเ้าพอดี” พ่อเฒ่าอันกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางถอดหมวกบนศีรษะตนกลับไปสวมให้อันซิ่วเอ๋อร์ “เื่อื่นอย่าเพิ่งพูดเลย รีบเข้าบ้านเถอะ วันนี้แม่เ้าทำไก่ตุ๋นน้ำแดงของโปรดเ้า กับน้ำแกงนกพิราบตุ๋นด้วยนะ”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่แเื่ที่ไหน เหตุใดต้องสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้ด้วยเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางชวนจางเจิ้นอันเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
จากลานบ้านถึงห้องโถงเป็ระยะทางสั้นๆ เพียงนิดเดียว ทั้งสามคนก็มาถึงชายคาห้องโถงอย่างรวดเร็ว อันซิ่วเอ๋อร์กับจางเจิ้นอันถอดหมวกออกแขวนไว้ที่ประตู แล้วจึงเข้าบ้านไปนั่งลง
นี่เป็ครั้งแรกที่ลูกเขยมาเยือน พ่อเฒ่าอันจึงเชื้อเชิญให้จางเจิ้นอันนั่งลงข้างๆ ตน ต่งซื่อช่วยยกน้ำชาเข้ามา พอเงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับจางเจิ้นอัน เขาพยักหน้าให้เป็เชิงขอบคุณ นางก็ยิ้มตอบ รินชาให้จนเต็ม แล้ววางกาน้ำชาลงก่อนจะนั่งลงที่ด้านหนึ่งของโต๊ะ
“ท่านพ่อ เหตุใดยังไม่เห็นท่านแม่เล่าเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม ทำลายความเงียบในห้อง
“แม่เ้ากำลังทำอาหารให้พวกเ้าอยู่น่ะสิ” พ่อเฒ่าอันตอบ “ข้าบอกให้นางไปทำตั้งนานแล้ว นางไม่ยอมไป ดันมายืนรอพวกเ้าอยู่ที่หน้าประตู บอกแล้วว่าพวกเ้ายังมาไม่ถึงเร็วขนาดนั้นหรอก นางก็ไม่เชื่อ”
“ก็เพราะท่านใช้ให้ข้ามาทำอาหารน่ะสิ ถ้าเมื่อครู่ข้ายืนรออีกสักหน่อย ก็คงได้เจอลูกสาวแล้ว” เหลียงซื่อถือจานถั่วลิสงคั่วเดินเข้ามา นางรู้สึกว่าตนเองเสียรู้พ่อเฒ่าอันแล้ว เขาต้องตั้งใจใช้ให้นางมานี่เพื่อจะได้ไปรับอันซิ่วเอ๋อร์เองเป็แน่ มิเช่นนั้นคนที่ได้เจอลูกสาวก่อนก็ต้องเป็นาง
อีกอย่างวันนี้ต่งซื่อก็อยู่บ้าน ไม่ถึงตาที่นางต้องทำอาหารเสียหน่อย
ต่งซื่อเห็นนางเดินมาก็เม้มปากยิ้ม ลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว ส่วนเหลียงซื่อนั่งลงแทนที่ต่งซื่อ เลื่อนจานถั่วไปทางจางเจิ้นอันกับอันซิ่วเอ๋อร์ “กินถั่วรองท้องไปก่อนนะ ประเดี๋ยวอาหารก็ทำเสร็จแล้ว”
“เ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มหวานหยิบถั่วลิสงขึ้นมาเม็ดหนึ่ง “ถั่วที่ท่านแม่คั่วหอมกรอบที่สุดเลยเ้าค่ะ”
“ชอบเ้าก็กินเยอะๆ” เหลียงซื่อมองบุตรสาว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นางแกะถั่วสองเม็ด วางเมล็ดถั่วลงบนมือของอันซิ่วเอ๋อร์
พอดึงมือนางมาดู เห็นตุ่มน้ำใสพองใหญ่สองตุ่มบนมือ นางก็อดร้อนใจไม่ได้ “มือเ้าไปโดนอะไรมา?”
อันซิ่วเอ๋อร์ดึงมือกลับไปพลางอธิบาย “พวกเราอยากจะถางดินแปลงเล็กๆ ไว้ปลูกผักน่ะเ้าค่ะ พอดีสามีออกไปหาปลา ข้าอยู่บ้านว่างๆ เลยแอบไปขุดดินเล่นสองสามที ผลก็คือมือพองเลย พอกลับมาเขาก็ดุข้าใหญ่เลย บอกว่าเื่พวกนี้รอเขากลับมาทำก็ได้ ข้าบอกว่าข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้น เขาก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมให้ข้าทำเลยเ้าค่ะ”
เมื่อเหลียงซื่อได้ฟังอันซิ่วเอ๋อร์พูดเช่นนี้ ความคิดที่จะตำหนิจางเจิ้นอันในตอนแรกก็มลายหายไปสิ้น เหลือเพียงแต่เอ่ยกับบุตรสาว “เ้าเด็กคนนี้นะ หากอยากจะถางดินปลูกผักจริงๆ ไว้รอ่ไหนที่ไม่ยุ่ง พ่อกับพี่รองของเ้าจะไปช่วยเอง”
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะ งานที่บ้านท่านพ่อกับพี่รองก็ทำกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว จะมาช่วยพวกเราได้อย่างไร พวกเราสองคนค่อยๆ ทำไป ไม่นานก็เสร็จแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางเอียงคอหันไปมองจางเจิ้นอัน เอ่ยเสียงอ้อน “ท่านพี่ ท่านว่าจริงหรือไม่เ้าคะ?”
จางเจิ้นอันรู้ว่าอันซิ่วเอ๋อร์ไม่้าให้บิดามารดาต้องเป็ห่วง จึงแสร้งทำท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ แต่ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างจริงๆ จึงพยักหน้าอย่างขัดเขินเล็กน้อย “อืม”
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มให้เขาอีกครั้ง แล้วยื่นถั่วลิสงในมือตนใส่มือเขา “ดูสิเ้าคะ ท่านแม่ดีต่อท่านแค่ไหน อุตส่าห์แกะถั่วให้ท่านโดยเฉพาะเลยนะ”
จางเจิ้นอันมองเมล็ดถั่วบนฝ่ามือ สีเหลืองอ่อน แต่ละเม็ดกลมมนน่ากิน เขายื่นนิ้วหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่งใส่ปาก มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มจางๆ “ฝีมือท่านแม่ยายยอดเยี่ยมจริงๆ”
ั้แ่จางเจิ้นอันเข้ามาในบ้าน เขาแทบไม่ได้พูดอะไรเลย เอาแต่นั่งตัวตรง ดูน่าเกรงขามอย่างประหลาด พอได้ยินเขาเอ่ยปากชมตนเองเช่นนี้ เหลียงซื่อก็ยิ้มออกทันที “ชอบก็กินเยอะๆ หน่อยนะ เดี๋ยวให้พวกเ้าติดมือกลับไปกินที่บ้านด้วย”
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านแม่” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างสดใส ลักยิ้มสองข้างบุ๋มลึกลงไปอีก นางเลื่อนตะกร้าบนโต๊ะไปทางเหลียงซื่อ “พอรู้ว่าวันนี้ข้าจะกลับมาเยี่ยมบ้าน สามีก็รีบออกไปขายปลาแต่เช้าเลยเ้าค่ะ นี่เป็ของขวัญที่เขาตั้งใจเตรียมมาให้พวกท่านโดยเฉพาะ”
“โธ่ จะดีหรือ” เหลียงซื่อได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองจางเจิ้นอันแวบหนึ่ง พลางเอ่ยว่า “ทำให้ลูกเขยสิ้นเปลืองแล้ว”
“แค่เล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” จางเจิ้นอันถูกชมจนรู้สึกขัดเขิน ฟ้าดินรู้ดี หากเมื่อวานอันซิ่วเอ๋อร์ไม่เตือน เขาไม่มีทางรู้เลยว่าวันนี้เป็วันที่นางต้องกลับเยี่ยมบ้าน
“ดูสิเ้าคะท่านแม่ เขาซื้อเนื้อมา แล้วก็ซื้อน้ำตาลมาให้ท่านด้วย ยังซื้อสุรามาให้ท่านพ่ออีกไหหนึ่ง ข้าบอกแล้วว่าท่านพ่อไม่ค่อยดื่ม เขาก็ยังยืนยันจะนำมา บอกว่าฤดูใบไม้ผลินี้อากาศชื้นเย็น ท่านพ่อดื่มสักหน่อยตอนกลางคืน จะได้ขับไล่ความหนาวทำให้ร่างกายอบอุ่น”
เพียงไม่กี่ประโยคของอันซิ่วเอ๋อร์ ก็ทำให้ใบหน้าของพ่อเฒ่าอันและเหลียงซื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มจนแทบจะหุบไม่ลง พ่อเฒ่าอันเอ่ยขึ้นก่อน “ลูกเขยช่างใส่ใจจริงๆ”
เหลียงซื่อเอ่ยเสริม “ใช่แล้ว ลูกเขยถึงจะดูเหมือนคนหยาบๆ แต่ไม่คิดว่าจะละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ หากเป็เช่นนี้ตลอดไป มอบซิ่วเอ๋อร์ให้เ้า พวกเราสองคนตายายก็วางใจแล้ว”
“ใช่ไหมล่ะเ้าคะ ท่านพี่ดีต่อข้ามาก ท่านพ่อท่านแม่วางใจได้เลย” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มกล่าว “ถึงแม้สามีจะดูดุร้ายไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเขาใจดีมากนะเ้าคะ เมื่อวานยายหวงมาขอแลกปลา นางเอาไข่มาแค่สองฟองกับหน่อไม้เล็กๆ สี่หน่อ แต่สามีข้าเห็นว่าลูกสะใภ้บ้านนางเพิ่งคลอดลูก้ากินปลาบำรุงน้ำนมจริงๆ ก็เลยยอมแลกให้”
“อืมๆ ลูกเขยเป็คนจิตใจดีจริงๆ พวกเราต่างหากที่เมื่อก่อนเข้าใจผิดไปเอง” เหลียงซื่อพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากฟังคำพูดของอันซิ่วเอ๋อร์แล้ว ตอนนี้นางมองจางเจิ้นอันคราใด ก็ยิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น
จางเจิ้นอันผู้นี้ ถึงจะดูแปลกประหลาด แต่ก็รู้จักดูแลเอาใจใส่คน หน้าตาก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ เมื่อเทียบกับชาวนาธรรมดาทั่วไปแล้ว กลับดูมีสง่าราศีน่าเกรงขาม แลดูองอาจผิดธรรมดา ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงยิ่งกว้างขึ้น และลงมือแกะถั่วลิสงให้จางเจิ้นอันจริงๆ เสียด้วย
แต่เมื่อนางวางถั่วลิสงที่แกะแล้วกำมือหนึ่งลงบนฝ่ามือของจางเจิ้นอัน เขากลับตะลึงงัน รู้สึกประหลาดใจระคนยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าเหลียงซื่อกลับดึงจางเจิ้นอันกับอันซิ่วเอ๋อร์เข้ามาใกล้ๆ พลางกล่าวว่า “ยายหวงนั่นเป็คนขี้เหนียวมาแต่ไหนแต่ไร ต่อไปพวกเ้าห้ามใจดีเกินไปเด็ดขาดนะ 'บุญคุณข้าวสาร ให้โทษข้าวเปลือก' [1] มิเช่นนั้นนางจะไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณ แต่จะเคยตัวมาขอแลกปลาแบบนี้ทุกครั้ง พวกเ้าหาเลี้ยงชีพด้วยการจับปลา จะยอมเสียเปรียบทุกครั้งได้อย่างไร”
พลางหันไปมองจางเจิ้นอัน “ลูกเขยก็เหมือนกัน ซิ่วเอ๋อร์เป็คนหน้าบาง เ้าควรจะปฏิเสธนางไปเสีย”
“ขอรับ ข้าจำไว้แล้ว” จางเจิ้นอันพยักหน้า รับฟังหลักการวางตัวในสังคมที่เหลียงซื่อสอนสั่งด้วยใจที่เปิดกว้าง
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกน่าสนใจ เื่ราวความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ กลับแฝงไว้ด้วยหลักการอันลึกซึ้งมากมายถึงเพียงนี้
ปกติเวลาเหลียงซื่อพูดมากสักหน่อย ลูกๆ ในบ้านล้วนรำคาญนาง แม้แต่อันเถี่ยมู่ลูกชายที่ยังอยู่บ้านซึ่งตอนนี้แต่งงานมีลูกแล้ว หากนางพูดมากไปเขาก็ไม่อยากฟัง มักจะตอบอย่างไม่สบอารมณ์เสมอว่า “ท่านแม่ ข้ารู้แล้วน่า”
แต่จางเจิ้นอันแตกต่างออกไป เขาไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ว่าเหลียงซื่อจะพูดอะไรเขาก็ตั้งใจฟัง ไม่พูดแทรก เพียงแค่พยักหน้าเป็ครั้งคราว สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังนั้นราวกับกำลังฟังเื่สำคัญยิ่งยวดอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ความรู้สึกภาคภูมิใจเล็กๆ ของเหลียงซื่อได้รับการเติมเต็มอย่างใหญ่หลวง
เพียงครึ่งชั่วยาม เหลียงซื่อก็เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อจางเจิ้นอันไปโดยสิ้นเชิง บัดนี้นางมองจางเจิ้นอันในฐานะแม่ยายมองลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ รู้สึกว่าบุรุษที่สุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ก็ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากอบรมสั่งสอนหลักการใช้ชีวิตให้คนทั้งสองแล้ว เหลียงซื่อก็เอ่ยถามขึ้นอีก “จริงสิ ลูกเขย เหตุใดจึงต้องสวมผ้าปิดหน้าไว้ตลอดเวลาด้วย?”
“ท่านแม่ นั่นไม่ใช่ผ้าปิดหน้าเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบอธิบายแทนจางเจิ้นอัน “ดวงตาของสามีข้าได้รับาเ็ ทนแสงจ้าไม่ได้ จึงต้องใช้ผ้าพันตาไว้ วันนี้ข้าอยากให้พวกท่านเห็นหน้าเขาชัดๆ เลยขอให้เขาถอดออกเป็พิเศษ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตาของเขาจะแสบหรือไม่”
นางพลางหันไปถามจางเจิ้นอันด้วยความห่วงใย “ท่านพี่ ตอนนี้ท่านเจ็บตาหรือไม่เ้าคะ?”
“ไม่เจ็บ” จางเจิ้นอันส่ายหน้า
เชิงอรรถ
[1] การช่วยเหลือเล็กน้อยทำให้คนสำนึกบุญคุณ แต่การช่วยเหลือมากเกินไปจนกลายเป็ความเคยชิน เมื่อหยุดให้ความช่วยเหลืออาจกลายเป็ความแค้นเคืองได้
