“พี่หลัว พี่เฟิงต้องเดินขึ้นเขาไปอีกไกลหรือไม่ถึงจะพบจุดสำหรับหาพืชิญญา” เดินขึ้นเขามาสองเค่อแล้วทว่าแม้แต่พืชิญญาสักตนยังไม่พบ
นางเหนื่อยหอบได้แต่หายใจออกมาเสียงดัง อ้าปากพังพาบ ยกมือขึ้นเช็ดหน้าผาก
ทั้งสองคนมองมายังคนไม่เคยขึ้นเขา ทั้งที่เหนื่อยมากแต่กลับไม่บ่นออกมาสักคำเอาแต่ถามเป็ระยะว่าถึงจุดเก็บพืชิญญาหรือยัง
ความกระตือรือร้นเช่นนี้ทำคนใจอ่อนได้ไม่ยาก
“อีกไม่ไกล” หลัวหรูตอบ
“พี่หลัวข้าเชื่อพี่” เยว่ฉีสูดหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง ตั้งหน้าตั้งตาเดินตามหลังคนทั้งสองไปเรื่อย ๆ ผ่านมาอีกครึ่งเค่อในที่สุดทางลาดชัน ต้นไม้รกชัฏ และพุ่มไม้เขียวขจี ก็เปลี่ยนเป็ทางราบเรียบ พื้นทุกส่วนเสมอกัน ถึงจะยังมีต้นไม้สูงใหญ่ ต้นหญ้า พุ่มไม้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ลาดชันจนเข่าสั่นเหมือนเมื่อสักครู่
“พี่หลัวถึงแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ เ้ารู้จักพืชิญญาหรือไม่” หลัวหรูถามกลับ เด็กสาวผู้นี้ยังมิเคยขึ้นเขานางจึงไม่ทราบแน่ชัดว่ารู้จักพืชิญญามากน้อยแค่ไหน หากไม่รู้นางจะได้บอกกล่าวได้ถูกต้อง
“พี่หลัววางใจเมื่อคืนข้าได้ศึกษาชนิดพืชิญญามาบ้างแล้ว พอมีความรู้อยู่บ้าง”
“เ้ามีหนังสือ!?” ความประหลาดใจในดวงตาของคนทั้งสอง ทำเยว่ฉีสับสน
คงมิใช่ว่าหนังสือเป็สิ่งสูงส่งใช่ไหม? เพราะในความทรงจำของร่างเดิมไม่มีเื่นี้อยู่เลย เยว่ฉีจึงไม่ทราบมาก่อน ปฏิกิริยาตอบกลับของทั้งคู่ทำให้เยว่ฉีกังวลใจ ก้าวถอยหลังสองสามก้าวมองครอบครัวเฟิงอย่างเป็กังวล
เห็นท่าทางระแวดระวังของเด็กสาว ทั้งสองคนจึงพรูลมหายใจออกมา
หลัวหรูเป็คนแรกที่ก้าวเดินขึ้นมาพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน
“เยว่ฉี หนังสือไม่ได้เป็สิ่งสูงส่งหายาก ผู้คนทั่วไปสามารถได้ ทว่ามีหนังสืออยู่ประเภทหนึ่งที่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะซื้อได้”
“...” เยว่ฉีกลืนน้ำลายลงคอ มองหลัวหรูเขม็ง นางเกร็งจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
“หนังสือซึ่งบันทึกข้อมูลของพืชิญญาล้วนมีค่า ทั้งยังพบเจอได้ยาก การที่เ้าบอกว่ามีหนังสือประเภทนี้อยู่ในมือนั้นเป็เื่อันตรายมาก ต่อไปอย่าได้บอกกล่าวเื่นี้กับผู้ใด”
เยว่ฉีฟังน้ำเสียงจริงจังของนางก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับพัลวัน ปากก็เอ่ยคำว่า เข้าใจแล้ว ซ้ำ ๆ หลายครั้ง
“ยังดีที่บริเวณนี้ไม่มีผู้ใด ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดเื่ไม่ดีต่อเ้าและครอบครัวของเ้า” เยว่ฉีหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ก็แค่หนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้าุโิโยนส่ง ๆ มาให้นาง กับมีค่ามากถึงขั้นจะเอาชีวิตกันเลย โลกนี้ชั่งอยู่ยากเสียจริง คราวหลังนางต้องระวังให้มากกว่านี้เสียแล้ว และต้องถามสิ่งที่ควรพึงระวังกับหานลั่วอี้เอาไว้ด้วย
ความรู้เกี่ยวกับโลกนี้ของนางยังน้อยเกินไป เกิดทำอะไรไม่ระวังขึ้นมามีหวัง....
แค่คิดก็ขนลุกแล้ว !!!
มิน่าเล่าผู้าุโท่านนั้นถึงได้บอกนางว่าห้ามมิให้ใครรู้เื่มิติ ขนาดหนังสือเล่มเดียวยังอันตรายถึงเพียงนี้ หากมีใครรู้เื่มิติ...
เยว่ฉีส่ายหัวสลัดความคิดน่ากลัวทิ้ง เอ่ยขอบคุณคนทั้งสอง พร้อมเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
“พี่หลัวในเมื่อหนังสือเกี่ยวกับพืชิญญานั่นมีค่า แล้วเหตุใดท่านถึงรู้จักชนิดของพืชิญญาได้”
“พืชิญญาธรรมดาทุกคนล้วนรู้จัก เรียกได้ว่าเป็ความรู้ซึ่งตกทอดกันมาั้แ่บรรพบุรุษ แต่หนังสือที่รวบรวมชนิดพืชิญญาเอาไว้นั้นแตกต่าง เพราะจะบันทึกพืชิญญาชนิดต่าง ๆ ั้แ่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง รวมไปถึงพืชิญญาหายากซึ่งคนทั่วไปไม่รู้...”
จากนั้นหลัวหรูก็อธิบายถึงความสำคัญของพืชิญญาให้นางฟัง พืชิญญาแบ่งออกเป็สิบสามระดับ คือพืชิญญาระดับหนึ่งถึงระดับเก้า สูงกว่าระดับเก้าขึ้นไปเรียกระดับเทวะ ระดับเซียน ระดับเทพ และสุดท้ายคือพืชิญญาระดับตำนาน ยิ่งพบเจอพืชิญญาระดับสูงมาเท่าใด ค่าตอบแทนจะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
ประชาชนคนธรรมดาส่วนมากจะรู้จักเพียงพืชิญญาระดับต่ำ มีเพียงส่วนน้อยถึงจะรู้จักพืชิญญาระดับสูง ส่วนตระกูลมีฐานะน้อยตระกูลนักที่จะไม่รู้จักชนิดของพืชิญญา
พืชิญญามีความสำคัญมากต่อการหลอมโอสถ โอสถเหล่านี้เกิดขึ้นจากนักหลอมโอสถซึ่งมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ฝึกปราณ
โอสถที่นักหลอมโอสถหลอมขึ้นมามักจะมีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างกันไปตามระดับและชนิดของพืชิญญาหลักที่ใช้ในการหลอม ตัวอย่างเช่น โอสถฟื้นฟูลมปราณ โอสถรักษา โอสถคืนชีวิต ซึ่งช่วยให้ผู้ฝึกปราณต่อชีวิตตนเองต่อไปได้ยามตกอยู่ในวิกฤตยากจะแก้ไข นอกจากที่กล่าวมาโอสถยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย
พูดมาถึงตรงนี้ เยว่ฉีพลันเข้าใจความสำคัญของพืชิญญามากขึ้น พอนึกไปว่าในมิติมีสวนพืชิญญามากมายขนาดนั้นเยว่ฉีก็อดจะกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
หากเอาออกมาขายไม่รู้ว่าจะได้เงินมากน้อยเท่าใด
“ขอบคุณพี่หลัวที่บอกกล่าว ต่อไปข้าจะระวังให้มาก”
“ดีแล้ว เช่นนั้นก็แยกย้ายกันหาเถิด อย่าไปไกลนักละ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” แล้วทั้งสามคนก็แยกย้ายกันค้นหาพืชิญญา แต่ละคนยืนอยู่ไม่ห่างไกลกันมาพอให้เรียกชื่อแล้วสามารถได้ยิน
เยว่ฉีอาศัยความทรงจำที่ได้จากการอ่านหนังสือเมื่อคืนมองหาไปเรื่อย ๆ พืชิญญาไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายหรือมีอยู่เกลื่อนกลาด เพราะฉะนั้นหลังผ่านมาสองเค่อแล้วเยว่ฉีจึงยังหาไม่พบแม้สักต้น
ทว่าในระหว่างที่นางกำลังจะเดินไปยังทิศทางอื่น พลันได้ยินเสียงผู้าุโดังขึ้นในความคิด
‘ตรงไปด้านหน้าครึ่งเค่อฝั่งขวามือ’
“ผู้าุโตรงนั้นมีอันใดหรือ” นางคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังลอดออกมา ก่อนจะได้ยินเสียงผู้าุโเอ่ย
‘เดินไปตามที่ข้าบอกเ้าจะพบสิ่งที่้า’ ดวงตางดงามเป็ประกาย จากคำพูดของผู้าุโสามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็พืชิญญาิญญาอย่างแน่นอน
เยว่ฉีเดินไปตามทางที่ผู้าุโบอกก่อนจะพบก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง กวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะเดินวนรอบก้อนหินก็ไม่พบพืชิญญาแม้สักต้น หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน
คล้ายผู้าุโอ่านความคิดนางออก จึงเปรยขึ้นมาว่า
‘วางมือลงบนก้อนหิน ข้าจะใช้เ้าเป็ตัวกลางในการเปิดม่านพลัง’
เยว่ฉีทำตามอย่างว่าง่ายไม่นานก็เห็นว่าก้อนหินซึ่งดูไม่มีอะไรเกิดช่องว่างขนาดเท่าคนขึ้นตรงหน้า
พลังพิเศษสุดยอดจริง ๆ
“ผู้าุโิท่านรู้ได้เช่นไรว่าตรงหน้ามีการร่ายคาถาอำพรางเอาไว้” แม้เยว่ฉีจะมีความรู้เกี่ยวกับโลกนี้น้อยมาก ทว่าเื่เกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา กำลังภายในก็พอจะรู้บ้างทั้งจากความรู้ของร่างนี้และความรู้ที่ได้จากการอ่านหนังสือนิยายมาเยอะพอสมควร
นอกจากความประหลาดใจแล้วที่เหลือมีเพียงความตื่นเต้นเท่านั้น
ส่วนคนถูกถามทำเพียงส่งเสียง “ฮึ” ขึ้นจมูก คล้ายจะบอกว่า ข้าเป็ใครหากเื่แค่นี้ยังไม่รู้อย่าได้เรียกข้าว่าผู้าุโิ
เมื่อผู้าุโไม่ตอบเยว่ฉีก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในช่องว่างตรงหน้า ก่อนทางเข้าจะหายไปหลังจากผ่านไปไม่ถึงเฟิน (1 นาที)
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำเยว่ฉีเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
“นะ...นี่มัน”
ตรงหน้าเยว่ฉีคือสวนพืชิญญาขนาดหนึ่งหมู่ พืชิญญาทุกต้นต่างยืนต้นตระหง่านสมบูรณ์ท่ามกลางแปลงพืชิญญาที่มองดูแล้วราวกับว่าถูกดูแลมาอย่างดี พืชิญญาบางต้นเป็ประกายระยิบระดับดั่งดวงอาทิตย์ ในขณะที่บางต้นเปล่งประกายราวกับแสงจันทรายามค่ำคืน
แต่สิ่งที่แตกต่างไม่เข้ากับความตระการตาตรงหน้า คือ บริเวณโดยรอบสวนพืชิญญากลับทรุดโทรมเหมือนว่าไม่ได้รับการดูแลมาเนิ่นนาน
‘อย่างที่เ้าเข้าใจ ทั้งหมดคือพืชิญญาทั้งยังเป็ระดับสูง ตอนที่ข้าััได้ยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดบนูเาลูกนี้ถึงได้มีจุดที่พลังิญญาเข้มข้นนัก พอได้พบที่ซ่อนสวนพืชิญญาข้าพลันเข้าใจขึ้นมาทันที และเ้าต้องเก็บเข้ามาปลูกในมิติ เพราะพืชิญญาเหล่านี้ยังไม่มีประโยชน์ต่อพวกเ้า’
พวกเ้าที่าุโิหมายถึง คือครอบครัวของเยว่ฉี
“ผู้าุโข้าขอสักสามสี่ต้นได้หรือไม่?” นางยัง้าพืชิญญาไปขายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว
ผู้าุโไม่ตอบตกลงในทันทีแต่เลือกที่จะถามกลับไปว่า
‘เ้าบอกข้ามาทีว่า หากชาวบ้านธรรมดานำพืชิญญาระดับสูงไปขาย ทั้งยังไม่ใช่เพียงต้นเดียวจะเกิดอันใดขึ้น’
เยว่ฉีฉงนใจก่อนเอ่ย
“แค่พืชิญญาระดับสูงไม่กี่ต้นจะเกิดเื่อันใดได้หรือ ถึงแม้ข้าจะพอเข้าใจว่าพืชิญญาระดับสูงหายาก...” พูดมาถึงตรงนี้เยว่ฉีคล้ายเข้าใจความนัยในคำถามขึ้นมาแล้ว
นางกล่าวเสียงอ่อย “ข้าเข้าใจในสิ่งที่ผู้าุโ้าบอกกล่าวแล้ว”
‘เช่นนั้นเ้าก็เก็บสมุนไพรสองต้นฝั่งขวาซึ่งอยู่รอบนอกสุด เพียงสองต้นไป สองต้นนั้นแม้จะไม่ใช่สมุนไพรระดับสูง ทว่าก็มีความสำคัญสามารถขายได้ราคาดี’
เยว่ฉียิ้มออกแล้ว รีบเดินเข้าไปเก็บพืชิญญาขึ้นมา นางได้อ่านวิธีเก็บมาแล้วจึงค่อย ๆ ใช้มือกวาดดินรอบ ๆ รากออกก่อนจากนั้นค่อย ๆ ขุดพืชิญญาออกมาทั้งต้นพยายามไม่ให้ส่วนใดของพืชิญญาเสียหาย
หลังใช้ความพยายามไปถึงสองเค่อในที่สุดก็สามารถขุดพืชิญญาออกมาได้หนึ่งต้น
รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามติดซูบซีด
เงิน เงิน ต้นไม้ต้นนี้คือเงิน
พืชิญญาที่เยว่ฉีขุดขึ้นมามีหนึ่งลำต้น และใบเพียงสองใบกับดอกตูมสีขาวสะอาดตา พืชิญญาชนิดนี้เรียกว่า ดอกแต้มสีชาดคู่ จุดสังเกตของพืชิญญาชนิดนี้คือ มีแต้มวงกลมสีแดงสองจุดอยู่ใต้กลีบดอกสีขาวสะอาด พืชิญญาชนิดนี้ไม่เคยเบ่งบานตลอดชั่วชีวิตของมัน
หลังขุดพืชิญญาขึ้นมาได้แล้วเยว่ฉีก็บรรจงวางในตะกร้าแ่เบาก่อนจะหันไปขุดอีกต้น ในตะกร้าได้มีการวางใบหญ้านุ่ม ๆ เอาไว้ก่อนแล้ว พอขุดพืชิญญาทั้งสองต้นขึ้นมาแล้ว ที่เหลือก็คืองานใหญ่
พืชิญญาขนาดหนึ่งหมู่ตรงหน้า นางต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะสามารถขุดขึ้นมาได้หมด
เพียงแค่คิดว่าต้องใช้เวลานานจนมิอาจคาดเดาได้ เยว่ฉีก็ถอนหายใจออกมาก่อนแล้ว
“ผู้าุโ ท่านพอจะมีทางช่วยข้าหรือไม่?”
