แค่ร้องไห้ยังไม่เป็ไร แต่กลับร้องจนเยวี่ยเจาหรานที่ล้มอยู่บนพื้นตื่นขึ้นมา ท่ามกลางความขมุกขมัว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของเยวี่ยเจาหรานอย่างเลือนราง “เยี่ยน... เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว...”
“อ๊ะ? ข้าอยู่! ข้าอยู่นี่!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรีบยกมือเช็ดหน้าเป็พัลวัน เมื่อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตนจนสะอาดหมดจด นางก็โถมตัวเข้าหาเยวี่ยเจาหราน พยายามใช้การร้องไห้และพลังในการเขย่าไหล่ทำให้เยวี่ยเจาหรานได้สติแจ่มแจ้งขึ้น แต่เพราะการโถมนั้นรุนแรงเกินไป จนไม่ระวังไปโดนาแที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของเยวี่ยเจาหรานเข้า
“อัก...” เยวี่ยเจาหรานส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความเ็ป ทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใจนสะดุ้งอีกครั้ง ทว่ากลับเป็เคราะห์ดี เยวี่ยเจาหรานค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา มองเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่อยู่ตรงหน้าตนในความเลือนราง ยังนึกว่าในที่สุดตนก็มาถึงอารามชีได้ก่อนโจรพเนจร
“รีบ หนี...”
เยวี่ยเจาหรานที่หายใจรวยรินเอ่ยคำพูดช้าลงมาก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพยายามดึงตัวเยวี่ยเจาหรานอย่างสุดความสามารถมาข้างกองไฟที่ตนก่อขึ้น ทั้งลงแรงป้อนน้ำให้เขาอีกเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เยวี่ยเจาหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครทำร้ายเ้าจนอยู่ในสภาพนี้กัน?”
“แค่ก... แค่กๆ ...” เยวี่ยเจาหรานที่มีสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนนักไอออกมาสองสามครั้ง แล้วจึงคว้าจับมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ เขาไม่ได้ตอบคำถาม กลับเอ่ยว่าให้รีบหนีซ้ำไปซ้ำมา เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ร้อนรนยังนึกว่าเยวี่ยเจาหรานถูกคนวางยาพิษที่รักษาไม่ได้อะไรเข้าเสียแล้ว อย่างเช่นยาที่ทำให้พูดได้แต่ ‘รีบหนีไป’ อะไรเทือกนั้น
“เ้าไม่ต้องกังวล ตอนนี้เราปลอดภัย... ไม่ต้องหนี ไม่ต้องหนีแล้ว...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสะอึกสะอื้น แตกต่างจากท่าทีเมื่อก่อนของนางโดยสิ้นเชิง นางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สับสนมึนงงจนเริ่มพูดจาสะเปะสะปะขึ้นมา
“ที่ตีนเขามีโจรพเนจรกลุ่มหนึ่ง... กำลังจะขึ้นเขาไปปล้นล้างอารามชี... ไม่ปลอดภัย ไม่… ไม่ปลอดภัย” เยวี่ยเจาหรานพยายามอธิบายอย่างติดๆ ขัดๆ พูดจนเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสีหน้าสับสนงุนงง เ้าว่านี่เป็โจรพเนจรจากไหนนะ ทั้งยังจะไปปล้นล้างทั้งอารามชี? พวกแม่ชีในตอนนี้ล้วนเป็เศรษฐีอำพรางตนหรืออย่างไรกัน?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วออกแรงดึงเยวี่ยเจาหรานเข้ามาในอ้อมแขน พร้อมกับจัดแจงเกลี่ยเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเยวี่ยเจาหรานอย่างเบามือเล็กน้อย เมื่อเห็นเยวี่ยเจาหรานเริ่มมีเรี่ยวมีแรงกลับมาบ้างแล้ว จึงถามออกไปตรงๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดเ้าถึงอยู่ในสภาพนี้ เมื่อครู่ยัง… ยังครึ่งเป็ครึ่งตายอยู่เลย... ทำข้าร้อนใจแทบแย่...”
แม้ว่าคำพูดนี้จะเอ่ยทีเล่นทีจริง เพราะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่กล้าพูดตามตรงว่าเมื่อครู่ตนนึกว่าเยวี่ยเจาหรานขี่กระเรียนไป์เสียแล้ว ความสับสนร้อนใจที่เห็นก็ออกมาจากใจโดนแท้ ทว่าหากบอกไปก็คงได้ขายหน้ายับเยินแน่!
เยวี่ยเจาหรานค่อยๆ จิบน้ำอีกสองสามคำ แล้วจึงสามารถคุยกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วดีๆ ได้ “เ้ายังจำบ่าวรับรับใช้ของจวนเยี่ยนที่ไปอารามชีตามข้ากลับบ้านพวกนั้นได้หรือไม่...”
“จำได้แน่นอน นั่นเป็เื่ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานเองไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว... ข้าเดินทางลงเขาไปกับพวกเขา แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ระหว่างนั้นจึงถามพวกเขาไปสองสามคำ ไม่นึกว่าเพียงพริบตาพวกเขาก็โผล่หางออกมา พูดจาหน้าหลังไม่ปะติดปะต่อกัน เมื่อนั้นข้าจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง นี่คงจะเป็แผนล่อเสือออกจากถ้ำที่สวี่ชิวเยวี่ยเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วเป็แน่... ไม่เช่นนั้นนางคงไม่แสร้งทำเป็เมารถ แล้วหยุดพักอยู่ที่เชิงเขานานขนาดนั้นหรอก... แค่กๆ ...”
เมื่อได้ยินเยวี่ยเจาหรานพูดถึงสวี่ชิวเยวี่ยขึ้นมาอีก สีหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ดูไม่ดีเท่าไรนัก ในแววตาเกิดความกระอักกระอ่วนที่อยากจะหลบขึ้นมาเล็กน้อย แต่โชคดีที่เยวี่ยเจาหรานในยามนี้ไม่ได้สังเกตเห็น จึงทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววางใจลงไปได้
“สรุปว่าพวกเขาทำร้ายเ้าจนเป็สภาพเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?!”
พูดถึงตรงนี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็แทบอยากจะกลายเป็หญิงสาวที่แกว่งกำปั้น อัดเ้าเด็กรับใช้ที่ไม่รู้หายไปไหนพวกนั้นให้เรียบ กล้ามาทำร้ายผู้ห... ผู้ชายของข้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว! ข้าย่อมไม่มีทางยอมให้พวกเ้าหนีไปได้ง่ายๆ เช่นนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?!
“เปล่า... หลังจากนั้นข้าก็คิดที่จะย้อนกลับไปอารามชี ดูว่าสวี่ชิวเยวี่ยคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่... กลับมาเผชิญกับโจรพเนจรกลุ่มหนึ่งที่ขึ้นมาจากตีนเขา...”
อาจเป็เพราะพูดมากเกินไป เยวี่ยเจาหรานจึงไอขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดคิ้วอย่างกังวลใจโดยไม่รู้ตัว ในใจพอจะเข้าใจความเป็มาของเื่ราวได้คร่าวๆ ทว่าก็ยังดี ยังดีที่เยวี่ยเจาหรานเพียงาเ็เท่านั้น ทั้งโชคดีที่ตนบังเอิญดวงดีมาพบกับเขาที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเยวี่ยเจาหรานจะยังมีชีวิตอยู่จนมีคนมาพบถึงพรุ่งนี้หรือไม่…
“ในอารามชิงเฉวียนมีพระพุทธรูปชุบทองที่เศรษฐีในเมืองหลวงบริจาคมาไม่น้อย ธูปเทียนเองก็สว่างไสวอยู่ตลอด คิดดูแล้วโจรพเนจรพวกนั้นคงจะมุ่งตามสิ่งเหล่านี้ไปแน่...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ใจเย็นลงเอ่ยไม่หยุด แต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ถึงอย่างไรบัณฑิตอ่อนแอเช่นเยวี่ยเจาหราน ปกติแล้วมักจะเป็ผู้ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ทว่าแม้จะเป็บัณฑิตไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไม่นึกว่าใน่เวลาแห่งความเป็ความตายนั้น จะเลือกวิ่งขึ้นเขาไปหาตนอย่างไม่คิดชีวิต... ความรู้สึกห่วงใยเช่นนี้ ทำให้ลูกผู้หญิงเืร้อนเช่นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยังรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ใช่แล้ว ข้าเป็ห่วงเ้า... ดังนั้นจึงวิ่งสุดชีวิตไม่กล้ากลับจวน กลัวว่าคนเรื่อยเฉื่อยเช่นเ้าไม่รู้จักเตรียมการป้องกัน แล้วเป็ไปตามแผนของพวกมัน แค่กๆ แค่ก...”
เยวี่ยเจาหรานเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน แต่ยังไม่วาย ‘เอาความดีความชอบ’ เข้าตัวอีก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วซ่อนรอยยิ้มในแววตาหลบไปอย่างรวดเร็ว แล้วจึงแค่นเสียงเอ่ย “เ้าโง่ วรยุทธ์ของข้าแกร่งกล้าขนาดนั้น ไหนเลยจะต้องให้เ้าสละชีวิตมาปกป้องกัน?” แม้เป็คำพูดด้วยความโมโห แต่กลับเป็คำพูดที่เป็ความจริงเช่นกัน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลุบตาลงมองเยวี่ยเจาหรานปรือดวงตาทั้งสองอย่างสะลึมสะลือ แล้วยกมือขึ้นช่วยเขาเช็ดคราบเืข้างใบหน้าให้อย่างเบามือ
“ช่างเถอะ เ้าพักผ่อนเสีย ข้าจะคิดวิธีซ่อนเ้าเอาไว้ หรือว่า... เ้าคิดวิธีลงจากเขากลับจวนเยี่ยนไปก่อน ข้าเห็นท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว พวกชาวไร่ที่ตีนเขาจะต้องเจอเ้าแน่นอน... สวี่ชิวเยวี่ย... นางยังอยู่ในอารามชีอยู่เลย” แม้ว่าเื่ที่สวี่ชิวเยวี่ยทำจะน่าบัดสีจนไม่อาจเอามาพูดโจ่งแจ้งได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็หลานสาวแท้ๆ ของมารดาตน หากถูกคนสังหารไม่โดยไม่รู้เื่รู้ราวเช่นนี้ คงยากจะเลี่ยงไม่ให้ฮูหยินเยี่ยนทุกข์ระทมเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้น ก็ยังยากจะอธิบายให้กับทางฝั่งเจียงหนานอีกด้วย
ดังนั้นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิดดูแล้ว นางไม่สามารถทิ้งสวี่ชิวเยวี่ยเอาไว้บนเขาคนเดียวได้ มิเช่นนั้นตนคงจะเป็คนเลวร้ายเกินไป เมื่อกำชับทั้งหมดเสร็จสิ้น ขณะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังจะดึงเยวี่ยเจาหรานขึ้นมา ก็กลับถูกเยวี่ยเจาหรานฉุดดึงข้อมือเอาไว้ “ข้าไม่ไป...”
ราวกับยังได้ยินไม่ชัดเช่นนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลุบตาขมวดคิ้วมองเยวี่ยเจาหราน “ไม่ได้ เ้าต้องไป!”
น้ำเสียงของนางยากจะต่อต้าน แต่เยวี่ยเจาหรานก็ราวกับได้ตัดสินใจมาดมั่นที่จะแข็งข้อกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้วอย่างนั้น จึงเอ่ยคำพูดของตนอีกครั้ง “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ไป... ข้าจะกลับไปพร้อมกับเ้า ข้าไม่อาจทิ้งเ้าไว้คนเดียวได้!”
“เ้ากระเสาะกระแสะเช่นนี้มีแต่จะถ่วงข้า!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วร้อนใจ ทั้งกลัวว่าหากเยวี่ยเจาหรานตามไปด้วยจะประสบอันตรายเข้าอีก แต่เยวี่ยเจาหรานนั้นยังดึงดันไม่ยินยอม จะตามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไปให้ได้ “พาข้าไป ข้าจะไม่เป็ตัวถ่วงเ้าหรอก...” เพื่อที่จะยืนยันว่าตนเองสามารถเดินได้ไม่เป็ตัวถ่วงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เยวี่ยเจาหรานจึงพยุงร่างตะกายลุกขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ ยืนกรานที่จะขึ้นเขาไปด้วยกันกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วให้ได้
“ก็ได้ๆ ... เช่นนั้นเ้าจะต้องฟังคำสั่งของข้านะ ห้ามผลีผลามลงมือ เข้าใจแล้วหรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ฝืนใจเยวี่ยเจาหรานไม่ได้จริงๆ จึงได้แต่ประนีประนอม ยอมพาเยวี่ยเจาหรานกลับอารามชีได้ด้วยกันอีกครั้ง
