ภายในห้อง บางครั้งก็มีสายฟ้ากะพริบไหว บางครั้งก็มีเปลวเพลิงสีขาวส่องสว่าง
เปลวเพลิงเป็ตัวแทนของความลุกโชติ่และการทำลายล้าง สายฟ้าก็เป็ตัวแทนของความสูญสิ้นและการทำลายล้างเช่นกัน
เมื่อทั้งสองสิ่งนี้หลอมรวมกัน จึงมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างมาก
เมื่อนึกถึงในส่วนนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนก็นึกถึงลูกปัดเพลิงอัสนีอย่างห้ามมิได้ มันก็เป็การต่อต้านและหลอมรวมระหว่างเพลิงอัสนีเช่นกัน และมีพลังทำลายล้างอันน่าหวาดกลัวไม่ต่างกัน
เพลิงอัสนี...เพลิงอัสนี...
ทันใดนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ในเมื่อพลังเพลิงอัสนีสามารถใช้กลไก อักขระ ค่ายกล และการสร้างอาวุธเพื่อสร้างมันขึ้นมาได้ เช่นนั้นหมายความว่าสายฟ้าและเพลิงสีขาวในร่างกายของเขาก็สามารถรวมกันเป็วิชาได้เช่นกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความคิดอันบ้าคลั่งนี้เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขา...หากเขาเลียนแบบพลังของผู้แข็งแกร่งในยุคโบราณ ใช้ร่างกายเป็เตา ใช้โลหิตเืเนื้อเป็เชื้อเพลิง ใช้เส้นชีพจรเป็ท่อ ใช้อักขระเป็ตัวแปร เพื่อหลอมรวมเพลิงอัสนี ก่อเกิดเป็เทวยุทธ์ มันจะทรงพลังขนาดไหนกัน!
มนุษย์มีเจ็ดจิต หากทุกจิตล้วนเป็พลังธาตุต้นกำเนิดหนึ่งชนิด หลังจากหลอมรวมกันแล้วจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร?
ถึงอย่างไรวิชาเพียงอย่างเดียวต่อให้ทรงพลังขนาดไหนก็ไม่มีทางเทียบกับพลังที่เกิดจากวิชาสองชนิดรวมกันได้ อย่างเช่นพลังเพลิงอัสนี พลังวายุอัสนี หรือพลังเพลิงวายุ
เมื่อคิดได้เช่นนี้จั๋วอวิ๋นเซียนจึงเกิดแผนการหลอมรวมเจ็ดจิตที่ดียิ่งขึ้นอย่างห้ามมิได้
ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน คือโครงสร้างพื้นฐานของโลกใบนี้ ดังนั้นพลังห้าธาตุจึงเป็สิ่งที่มั่นคงที่สุด หากรวมกับธาตุต้นกำเนิดอีกสองชนิดอย่างวายุและอัสนี จะมีเจ็ดชนิดพอดี มันจะสามารถหลอมรวมได้อย่างไร้สิ้นสุด
ทว่าหากคิดจะทำเื่นี้กลับมิใช่เื่ง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงจั๋วอวิ๋นเซียนจะสามารถเปิดเจ็ดจิตได้ทั้งหมดหรือไม่ ต่อให้หลอมิญญาก็มิอาจเลือกได้ง่ายๆ สิ่งมีชีวิตธรรมดานั้นไร้ประโยชน์เกินไป สิ่งมีชีวิตแข็งแกร่งก็หายากเกินไป โดยเฉพาะหากคิดจะหาิญญาต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์อย่างิญญาอัสนียิ่งยากเข้าไปใหญ่
“ต้องมีวิธีสิ”
จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้ว แต่แล้วก็ผ่อนคลายลง
ถึงแม้เขาในตอนนี้จะมิใช่นายน้อยตระกูลจั๋วอีกแล้ว และไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่คุณค่าของเขาตอนนี้มิได้แย่กว่าตระกูลวิถีเซียนหนึ่งตระกูลเลยแม้แต่น้อย หากให้เวลาเขาอีกสักหน่อย เขาต้องสามารถคิดแผนการดีๆ ได้แน่
อาจเป็เพราะเขาอยู่เงียบๆ มานานเกินไปจนเกิดความรู้สึกเืร้อนขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนชุดสีดำ สวมหน้ากากสีดำ เดินออกจากห้องอย่างไร้สุ้มเสียง
……
แสงจันทร์กระจ่าง ดวงดาราเงียบเหงา
มีเงาหนึ่งพุ่งผ่านไป ในส่วนลึกของป่าปรากฏร่างชายหนุ่มชุดดำสวมหน้ากาก เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เส้นผมปลิวไสว ราวกับฟ้าดินแห่งนี้เงียบสงบเพราะชายคนนี้ ให้ความรู้สึกสง่างามสูงส่ง
“ชิ้ง!”
กระบี่ถูกชักออกจากฝัก แสงเย็นเฉียบส่องประกาย
คลื่นพลังพวยพุ่ง เศษหินเศษดินฟุ้งกระจาย
จั๋วอวิ๋นเซียนชูกระบี่ขึ้น ราวกับเป็กระเรียนขาว กระบี่ธรรมดาดูราวกับอสรพิษสีเงินเมื่ออยู่ในมือของเขา บางครั้งโค้งสวยสง่างาม บางครั้งดุร้ายรุนแรง
ระบำกระเรียนเก้าชั้นฟ้า ทุกย่างก้าวสอดประสาน
กายาเซียนกระเรียน คล่องแคล่วว่องไวสง่างาม
เซียนทะยานสู่์ แสงกระบี่กู่ร้อง
……
ไม่พูดมิได้ว่าหลังจากร่างกายของจั๋วอวิ๋นเซียนหายดีแล้ว และพลังทะลวงคอขวดอย่างสมบูรณ์ แม้แต่พร์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากร่างกายให้กำเนิดพลังิญญาแล้ว ในที่สุดวิทยายุทธ์กระเรียนกู่ร้องเก้าชั้นฟ้าก็เป็รูปเป็ร่าง ไม่ว่าท่าร่าง วิชากายา หรือวิชากระบี่ล้วนยกระดับขึ้นถ้วนหน้า
ย่างก้าวแ่เบา เหาะเหินเดินอากาศ เซียนทะยานสู่์ หนึ่งกระบี่เจ็ดเสียง สง่างามดั่งกระเรียน พลิ้วไหวราวสายลม
พลังและความอดทนที่สั่งสมมาตลอดสามปี ความรู้แจ้งที่สั่งสมมาตลอดสามปี ทั้งหมดะเิออกมาทันที ทำให้จั๋วอวิ๋นเซียนได้ัักับความอัศจรรย์อย่างหนึ่ง
สั่งสมเพื่อปลดปล่อยที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง
กล่าวอย่างไม่ละอายเลยว่า ฝีมือด้านวิชากระบี่ของจั๋วอวิ๋นเซียนในตอนนี้ มิได้ด้อยกว่าบิดาในปีนั้นแล้ว สิ่งที่ขาดไปมีเพียงเวลาและประสบการณ์ต่อสู้เท่านั้น
……
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กระบี่หยุดนิ่ง สายลมเงียบสงบ ฝุ่นควันกระจายหายไป
จั๋วอวิ๋นเซียนยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ เขาหลับตาลงยืนตรงดุจกระบี่ จิตใจจมอยู่ในการรู้แจ้งเมื่อครู่ รอบกายของเขาเต็มไปด้วยเศษหินที่กลายเป็ฝุ่นผงไปแล้ว
“น่าเสียดาย”
เมื่อจั๋วอวิ๋นเซียนลืมตาอีกครั้ง เขาเห็นกระบี่ปรากฏรอยแตกจึงอดถอนหายใจมิได้
กระบี่ระดับอาวุธวิเศษธรรมดามิอาจแบกรับพลังิญญาบ้าคลั่งได้ น่าเสียดายที่กระบี่กระเรียนของจั๋วฟู่ไห่เขามอบให้จั๋วอวี้หวั่นไปแล้ว มิเช่นนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนคงมิต้องเป็กังวลเื่อาวุธ
เมื่อนึกถึงกระบี่บิน จั๋วอวิ๋นเซียนเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง หากเขาสามารถใช้กลไกหลอมรวมกับกระบี่จนกลายเป็กระบี่เซียนยุทธ์ได้ ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็อย่างไร?
หนึ่งกระบี่ดุจหมื่นกระบี่ หมื่นกระบี่ดุจหนึ่งกระบี่
ในตอนนี้สมองของจั๋วอวิ๋นเซียนเริ่มนึกโครงสร้างคร่าวๆ ออกแล้ว...หาก้าเก็บกระบี่เซียนยุทธ์นับหมื่นเล่ม ก็ต้องใช้ฝักกระบี่ที่ใหญ่มากพอ น่าเสียดายที่หากฝักกระบี่ใหญ่เกินไป คงแบกบนหลังไม่สะดวกนัก...เขาจึงนึกถึงถุงเก็บของ แต่การเอากระบี่เก็บไว้ในถุงเก็บของ เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูก็ไม่สะดวกเท่าใด
มีเพียงเอาฝักกระบี่ผสมผสานกับถุงเก็บของ อาจจะเป็วิธีที่ไม่เลว
จั๋วอวิ๋นเซียนจำได้ว่าใน ‘ตำราอาวุธเทพ’ ไม่สมบูรณ์บันทึกเอาไว้ เซียนกระบี่โบราณใช้กระบี่ทะยานสู่เซียน หนึ่งในนั้นมีเซียนกระบี่บางคนที่เอาฝักกระบี่สร้างเป็มิติเก็บกระบี่ จึงถูกขนานนามว่า ‘หีบกระบี่’
แต่การสร้างหีบกระบี่นั้นมิใช่เื่ง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงด้วยศาสตร์วิชาในตอนนี้ยังมิอาจทำได้สำเร็จ เพียงแค่วัตถุดิบในการสร้างก็มิใช่จะหาได้ง่ายๆ แล้ว โดยเฉพาะ ‘ศิลาคงิ’ วัตถุดิบที่กำเนิดจากห้วงมิติ
……
จั๋วอวิ๋นเซียนยืดเส้นยืดสายได้พักหนึ่ง เขารู้สึกสบายตัว ศีรษะโล่ง จากนั้นเขาตัดสินใจจะทดลองพลังของวิชาใหม่!
ิญญาอัสนีหลอมจิต เคลื่อนไหวได้ดังใจนึก รวมกันเป็พลังมหาศาล ยิ่งใหญ่ รุนแรง
วิชาแรกของจั๋วอวิ๋นเซียนเกี่ยวข้องกับสายฟ้า มันมีนามว่า ‘อสนีบาต’
เนื่องจากเป็ความพิเศษของวิชาหลอมจิต เวลาแสดงพลังจึงไม่ต้องร่ายวิชา ไม่เพียงสะดวกรวดเร็ว ยังมีพลังไม่ธรรมดา นี่ก็คือความแตกต่างของวิถีเซียนโบราณ
“ตูม...”
เพียงคิดก็มีสายฟ้านับหมื่นสาย ก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งถูกะเิกลายเป็ผุยผง
เมื่อเห็นพลังทำลายเช่นนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนพอใจมาก และสิ่งที่ทำให้เขายินดีที่สุดก็คือ วิชานี้มีความสามารถในการล่อสายฟ้าเข้าร่างกายเพื่อโจมตีิญญาได้
หรือก็คือ หากใช้วิชาอสนีบาตโจมตีศัตรู ไม่เพียงทำร้ายร่างกายของศัตรู ยังโจมตีิญญาของศัตรูได้อีกด้วย หากไม่ระวังตัวอาจจะถึงขั้นิญญาแตกสลายได้ เป็กระบวนท่าที่ไร้หนทางป้องกันจริงๆ
หลังจากนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนใช้มือซ้ายควบรวมเปลวเพลิง ใช้มือขวาควบรวมสายฟ้า ทดลองเอาเพลิงหยางบริสุทธิ์หลอมรวมกับพลังสายฟ้า จนสุดท้ายเกิดเป็วิชาใหม่!
ทว่าพลังเพลิงอัสนียากจะควบคุม เมื่อปลดปล่อยออกมาแทบจะดูดพลังิญญาทั่วร่างของเขาไปจนหมด
“ตูม...”
เกิดเสียงดังะเืเลือนลั่น เนินเขาด้านหน้ากลายเป็พื้นราบทันที
เมื่อเห็นภาพนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนตกตะลึงอย่างห้ามมิได้...เป็พลังทำลายล้างที่น่ากลัวยิ่ง เทียบได้กับลูกปัดเพลิงอัสนี! อีกทั้งวิชายังไม่ถูกจำกัด พลังของวิชาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการบ่มเพาะของจั๋วอวิ๋นเซียน หากสามารถวิวัฒนาการได้ ก็จะกลายเป็เทวยุทธ์...เพียงแค่คิดก็รู้สึกกลัวแล้ว!
น่าเสียดายที่การผสานเพลิงและอัสนีเข้าด้วยกัน ใช้พลังงานมากเกินไปจึงมิอาจใช้จัดการศัตรูในเวลาปกติได้
เพราะเหตุนี้จั๋วอวิ๋นเซียนจึงตั้งชื่อให้กับวิชาใหม่ของตัวเอง ‘เพลิงอัสนีพิฆาต’
