วันนี้คือวันที่ห้าเดือนสิบ ข่าวของมู่เฟิงได้ถูกแพร่สะพัดออกไปจนทั่วแล้วว่าเขาได้กลายเป็เพียงแค่คนไร้ประโยชน์ ทั้งยังเป็เวลาเดียวกันกับที่สำนักศึกษาราชวงศ์เปิดรับสมัครคัดเลือกลูกศิษย์
เงื่อนไขในการสมัครนั้นค่อนข้างเข้มงวด โดยจะเปิดรับเฉพาะผู้ที่มีอายุสิบแปดปีหรือน้อยกว่าสิบแปดปีเท่านั้น ทั้งยังต้องเป็ผู้ที่มีปราณกระดูกขั้นห้าขึ้นไปจึงจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ ขณะเดียวกันพวกเขายังต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกเป็จำนวนมาก
ปราณกระดูกขั้นห้านับว่าเป็ปราณขั้นพื้นฐาน ผู้ที่มีปราณกระดูกขั้นห้าขึ้นไปนั้นจะถือว่ามีคุณสมบัติไม่เลว เหมาะสำหรับการฝึกยุทธ์ ส่วนผู้ที่มีปราณกระดูกขั้นเจ็ดและขั้นแปดจะถูกนับว่าเป็อัจฉริยะ และหากมีปราณกระดูกขั้นเก้าก็สามารถเรียกได้ว่าเป็ยอดอัจฉริยะชั้นแนวหน้า
สำนักศึกษาราชวงศ์เป็หนึ่งในสำนักศึกษาสอนวรยุทธ์ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดในอาณาจักรหนานหลิง ทั้งยังมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกลถึงอาณาจักรอื่น ในทุกๆ สิบปีสำนักศึกษาราชวงศ์แห่งนี้จะสามารถผลิตยอดยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งระดับหนิงกังออกมาได้
แน่นอนว่าศิษย์ทุกคนที่จบจากสำนักศึกษาราชวงศ์ล้วนแต่มีอนาคตที่รุ่งโรจน์และสดใส กระทั่งแม่ทัพในกองทัพยังถูกคัดเลือกมาจากศิษย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์โดยตรง
ณ เวลานี้ในจัตุรัสกลางเมืองหลวงของอาณาจักรหนานหลิงกำลังแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม หากคาดคะเนจากสายตาเกรงว่าคงมีคนมารวมตัวกันไม่ต่ำกว่าสองแสนคน บริเวณรอบนอกยังมีทหารในชุดเกราะคอยดูแลความสงบเรียบร้อย
ตรงใจกลางจัตุรัสมีแท่นหินแกรนิตยกขึ้นเหนือพื้นอยู่แท่นหนึ่ง ้ายังมีกลุ่มคนในชุดคลุมอีกหลายคน เป็ชายวัยกลางคนสามคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงกลาง โดยด้านหลังของคนทั้งสามมีกลุ่มคนรุ่นเยาว์อีกนับสิบคนกำลังยืนทะนงอย่างภาคภูมิ
นอกจากนี้ยังมีเสาหินสูงสามเมตรตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นหินสีขาวราวกับน้ำนมนั้นอยู่อีกด้วย โดยบนเสาจะมีรอยขีดทั้งหมดสิบรอย ส่วนเบื้องล่างของแท่นหินมีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์จากหลายตระกูลกำลังรวมตัวกัน สำหรับผู้ที่้าสมัครเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์ในปีนี้นั้นมีมากมายไม่ต่ำกว่าพันคน แต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
ในด้านหนึ่งซึ่งมีกลุ่มคนรุ่นเยาว์ในชุดคลุมสีขาวจำนวนหลายสิบคนยืนอยู่ พวกเขาคือคนจากตระกูลมู่ และมีมู่เฟิงรวมอยู่ในนั้นด้วย
“เฮ้ ดูนั่นสิ นั่นมู่เฟิง เ้าได้ยินข่าวเื่ของเขาหรือไม่ เื่ที่เส้นลมปราณของเขาถูกทำลายจนกลายเป็คนไร้ประโยชน์ไปแล้ว”
ท่ามกลางฝูงชน เด็กหนุ่มจากตระกูลหนึ่งได้ชี้นิ้วไปทางมู่เฟิง ก่อนจะกระซิบกระซาบกันสหายอีกคนของตน
"เื่นี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เป็ผลจากการเข้าร่วมา จุ๊ๆ บิดาก็ตายในสนามรบ ตัวเองยังถูกทำลายเส้นลมปราณอีก ช่างน่าสงสารเสียจริง"
“ฮึ่ม สมควรแล้ว อายุยังน้อยแต่กลับเข้าร่วมากับกองทัพ ทำตัวอวดตนนัก เมื่อก่อนท่านพ่อข้ามักจะนำเขามาเปรียบเทียบกับข้า อยากจะรู้นัก เมื่อเขากลายเป็คนไร้ค่าไปแล้ว ท่านพ่อยังจะยกเขามาเปรียบเทียบกับข้าอยู่อีกหรือไม่”
มีหนุ่มสาวรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยจ้องมองและชี้นิ้วมาทางตระกูลมู่ พวกเขาต่างกระซิบกระซาบกันถึงเื่นี้ มีหลายคนทอดถอนใจ และมีอีกหลายคนกล่าวประชดประชัน
ในอดีตมู่เฟิงมีชื่อเสียงค่อนข้างมาก เขาสามารถบรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ได้ด้วยวัยเพียงสิบห้าปี นอกจากนี้เขายังมีคุณงามความดีในการช่วยเหลือกองทัพสังหารศัตรู สร้างความอิจฉาริษยาให้กับคนรุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันเป็อย่างมาก
เมื่อความริษยากัดกินจิตใจ คนส่วนใหญ่ย่อมไม่นึกรังเกียจที่จะเหยียบย่ำซ้ำเติม เพื่อสนองความรู้สึกเกลียดชังภายในใจของตน ดังนั้นการได้พูดจาเย้ยหยันอีกฝ่ายจึงนับเป็การระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง
“เอาละ จงอยู่ในความสงบ!”
น้ำเสียงทรงอำนาจดังกังวานไปทั่วจัตุรัส เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ เสียงความวุ่นวายก่อนหน้าก็พลันเงียบสงบลงในทันที
ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่นั่งอยู่บนแท่นหิน ชายในชุดคลุมสีเหลืองซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางได้หยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินออกมาหยุดเบื้องหน้าแท่นสูง
เขากวาดตามองไปโดยรอบ ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ข้ามีนามว่าจ้าวเหิง เป็ผู้าุโในสำนักศึกษาและเป็ผู้รับผิดชอบในการรับสมัครศิษย์ในครั้งนี้"
เสียงของจ้าวเหิงดังก้องกังวานไปทั่วจัตุรัส การที่อีกฝ่ายสามารถดำรงตำแหน่งผู้าุโของสำนักศึกษาได้ อย่างน้อยวรยุทธ์ของเขาย่อมต้องอยู่ในระดับหยวนตาน
“กฎของการรับสมัครศิษย์ในปีนี้เหมือนกับปีก่อน ผู้สมัครต้องอายุไม่เกินสิบแปดปี และต้องขึ้นมาบนเวทีเพื่อทดสอบปราณกระดูก หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนด ย่อมสามารถเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ได้”
จ้าวเหิงยังคงประกาศต่อไปอย่างใจเย็น ส่วนบรรดากลุ่มคนรุ่นเยาว์ล้วนไม่มีใครประหลาดใจกับเื่นี้ เพราะทุกคนต่างทราบเื่กฎการรับสมัครดีอยู่แล้ว
“ข้าคงไม่จำเป็ต้องพูดอะไรมากอีก ตอนนี้จะเริ่มให้แต่ละตระกูลขึ้นมาบนเวทีเพื่อรับการทดสอบปราณกระดูก ผู้สมัครคนใดที่ผ่านตามข้อกำหนดจะได้รับการลงทะเบียนเพื่อเข้าเรียนในสำนักศึกษาในวันถัดไป”
หลังกล่าวจบจ้าวเหิงได้ถอยกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม
ชายหนุ่มผู้เป็บัณฑิตในสำนักศึกษาผู้หนึ่งได้ถือใบรายชื่อมายังโต๊ะนั่งซึ่งอยู่ถัดจากเสาหินเล็กน้อย เตรียมพร้อมสำหรับการลงทะเบียน
"ตระกูลแรก ตระกูลซั่งกวาน"
บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นกล่าวเรียกตามบัญชีรายชื่อ
ทันใดนั้นฝูงชนเบื้องล่างได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่กลุ่มคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซั่งกวานในชุดคลุมสีน้ำเงินกว่าสี่สิบคนจะเดินเรียงแถวมายังแท่นหิน
เด็กหนุ่มคนแรกได้เดินไปยังเสาหิน ก่อนจะหยิบกริชออกมาและกรีดลงไปบนฝ่ามือของตัวเองจนหยดเืหลั่งไหล
เขากดฝ่ามือลงบนเสาหิน ก่อนที่เสาหินจะดูดซับเืของเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลันนั้นรอยขีดบนเสาหินก็พลันส่องสว่างขึ้นตามลำดับ
หนึ่งขีด!
สองขีด!
สามขีด!
"......"
รอยขีดบนเสาหินพลันส่องสว่างขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไปหยุดลงในรอยที่แปด
"ซั่งกวานเชียนจื้อ ปราณกระดูกขั้นแปด คุณสมบัติผ่าน!"
บัณฑิตหนุ่มผู้ดูแลบัญชีรายชื่อมองด้วยความอิจฉาริษยา ก่อนจะกล่าวประกาศเสียงดัง
"โอ้..."
"ปราณกระดูกขั้นแปด สมกับเป็คุณชายน้อยจากตระกูลซั่งกวาน อนาคตของเขาต้องรุ่งโรจน์มากเป็แน่"
"จุ๊ๆ ข้าเกรงว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ตระกูลซั่งกวานคงมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานปรากฏขึ้นเป็แน่ ถึงเวลานั้นสถานะของพวกเขาในเมืองหลวงย่อมไม่มีทางถูกสั่นคลอน"
บรรดาผู้เข้าร่วมชมการคัดเลือกต่างกล่าวขึ้นด้วยความอิจฉา กระทั่งเหล่าคนรุ่นเยาว์ที่เข้าร่วมการคัดเลือกเองก็ยังรู้สึกอิจฉาเช่นกัน
ซั่งกวานเชียนจื้อมีสีหน้าภาคภูมิใจเป็อย่างยิ่ง เขาเหลือบมองไปทางมู่เฟิงที่อยู่ทางฝั่งตระกูลมู่ ก่อนจะกล่าวออกมาสองคำ
"สวะ!"
ใบหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนเป็มืดมน เขากำหมัดแน่นโดยไม่ได้พูดอะไร
“ฮ่าๆ ๆ…”
ซั่งกวานเชียนจื้อเดินลงมาจากแท่นหินด้วยรอยยิ้มลำพองใจ
"คนถัดไป"
"ซั่งกวานเต๋อ ปราณกระดูกขั้นหก คุณสมบัติผ่าน"
"คนถัดไป"
..............
การทดสอบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซั่งกวานก็ทำการทดสอบจนครบภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที
คนรุ่นเยาว์จำนวนครึ่งหนึ่งของตระกูลซั่งกวานมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่สำนักศึกษาราชวงศ์
ส่วนตระกูลถัดไปที่จะทำการทดสอบก็คือตระกูลอวิ๋น
คนรุ่นเยาว์จำนวนกว่าสามสิบคนได้เดินขึ้นไปบนแท่นหิน โดยผู้นำกลุ่มของพวกเขาคือเด็กสาวที่ได้ชื่อว่าหน้าตางดงามเป็ที่สุด คิ้วของนางโค้งโก่งดุจใบหลิว ดวงตาเรียวเฉี่ยวราวกับหงส์ ผิวขาวเนียนใสสกาวดุจหิมะ เด็กสาวผู้นี้คืออวิ๋นชิงว่าน
"ชิงว่าน ชิงว่าน!"
“ช่างเป็สตรีที่งดงามนัก ไม่รู้ว่าคุณสมบัติของนางจะผ่านหรือไม่ หลังเข้าสู่สำนักศึกษาข้าจะตามจีบนาง”
เมื่ออวิ๋นชิงว่านปรากฏตัวขึ้นบนแท่นหิน ฉับพลันนั้นได้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นในกลุ่มเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องล่าง
อวิ๋นชิงว่านคือเด็กสาวที่ขึ้นชื่อเื่ความงดงาม นางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลอวิ๋นและเป็อดีตคู่หมั้นคู่หมายของมู่เฟิง
ในอดีตทุกคนล้วนบอกว่าคนทั้งคู่นั้นเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แต่เวลานี้ได้กลับกลายเป็เื่ซุบซิบนินทาไปเสียแล้ว
ดวงตาคู่สวยของว่านเอ๋อร์ได้มองไปทางตระกูลมู่ด้วยความเป็กังวล นางจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มของเด็กสาวดูราวกับแสงแดดในสารทฤดูที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ในขณะเดียวกันรอยยิ้มนี้กลับดูเย้ายวนใจ กระทั่งบัณฑิตหนุ่มที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนอยู่ด้านข้างยังตกตะลึงในความงามของนาง แต่เมื่อนางรู้ตัวเขาก็หันกลับไปทันที
อวิ๋นชิงว่านกรีดนิ้วของตัวเอง ก่อนหยดเืลงบนเสาหิน
วืด! วืด! วีด!
รอยขีดบนเสาหินเริ่มส่องสว่างขึ้น จนกระทั่งไปถึงรอยที่เก้า!
ภาพนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่างในทันที ผู้าุโทั้งสามของสำนักศึกษาต่างผุดลุกขึ้นยืนพรวดพราดอย่างกะทันหัน
“ปราณกระดูกขั้นเก้า ยอดอัจฉริยะชั้นแนวหน้า!”
ผู้าุโทั้งสามต่างหันมาสบตากัน แววตาของพวกเขาเผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นยินดีอย่างปิดไม่มิด
“ยอดเยี่ยมนัก นึกไม่ถึงว่าจะมียอดอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้น”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินแย้มยิ้มออกมาทันที
"ถูกต้อง หากสตรีผู้นี้ได้รับการฝึกฝนในสำนักศึกษาเป็เวลาสิบปี ต้องกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับหยวนตานได้แน่ กระทั่งอาจจะกลายเป็บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร"
จ้าวเหิงหัวเราะออกมา
"นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นชิงว่านจะกลายเป็ยอดอัจฉริยะที่มีปราณกระดูกขั้นเก้า ช่างเป็โชคชะตาที่ดีนัก!"
นอกจากนี้เบื้องล่างยังมีสายตาอิจฉาริษยาจากกลุ่มคนรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้