“ใครหลอมไม่สำคัญ ที่นี่รับซื้อหรือเปล่า?”
ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังจะเอ่ย หลิงเซียวก็ยื่นมือมาขวาง เงยหน้าขึ้นเห็นเขาหรี่ตามองผู้เฒ่า สายตาเฉียบคมราวกับจะกรีดหนังหน้าผู้เฒ่าออก
ผู้เฒ่าเผลอเสียมารยาทพลันกระแอมทีหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างขึงขัง “ยาเซียนตันพวกนี้แม้เป็เพียงขั้นสอง แต่ต่างจากทั่วๆ ไป คุณภาพก็ดีกว่ายาเซียนตันชั้นสูงปกติ เอาอย่างนี้ มีสามขวดที่เป็ยาเซียนตันทั่วไป ตลาดไม่กว้าง ข้าให้ราคาเ้าเม็ดละห้าร้อยตำลึงทอง อีกสองขวดที่พิเศษหน่อย ข้าให้เม็ดละหกร้อยตำลึงทอง ท่านทั้งสองมีอะไรคัดค้านหรือไม่?”
“ตกลง” หลิงเซียวพยักหน้ายินยอม
โหยวเสี่ยวโม่รีบคำนวณอย่างตื่นเต้น ห้าร้อยตำลึงทองสามขวดก็เท่ากับเจ็ดหมื่นห้า หกร้อยตำลึงทองสองขวดก็เท่ากับหกหมื่น เขารับทีเดียวหนึ่งแสนสามหมื่นห้าพันตำลึงทองถ้วน หักลบกับเงินต้นทุนที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ ได้กำไรเยอะมากทีเดียว
ผู้เฒ่าเห็นพวกเขาไม่มีท่าทีอะไร จึงนับเงินถุงหนักๆ ให้กับพวกเขา
โหยวเสี่ยวโม่รับเงินมา รู้สึกหนักจนเกือบร่วงหลุดมือ จึงรีบยัดถุงเงินเข้าถุงเก็บของ ใบหน้ายิ้มระรื่น ยาเซียนตันขั้นสองดีกว่าขั้นหนึ่งมากจริงๆ สองร้อยห้าสิบเม็ดก็ขายได้แสนกว่าตำลึงทอง อารมณ์หดหู่เมื่อครู่กับราคาที่น่าใของหญ้าเซียนขั้นสี่อยู่หายไปหมดสิ้น
ตอนนี้ เขาเริ่มคิดว่าตัวเองเป็คนมีฐานะ
กำถุงเก็บของแน่นอย่างอุ่นใจ โหยวเสี่ยวโม่นึกเื่บางอย่างขึ้นได้ พอเหมาะกับที่นี่คือร้านคลังโอสถ น่าจะมีของที่เขาอยากซื้อ จึงเอ่ยถาม “ท่านผู้เฒ่า ที่นี่มีขายเมล็ดพันธุ์ขั้นสี่ถึงขั้นหกหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าชะงัก มองปราดทางเขาแล้วเอ่ย “พวกท่าน้าซื้อเมล็ดพันธุ์?”
โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้า สีหน้าคาดหวัง “ใช่ขอรับ ไม่ทราบว่าร้านคลังโอสถที่นี่จะมีหรือเปล่า?” ร้านคลังโอสถที่ใหญ่ขนาดนี้ หากไม่มีสินค้าพวกนี้ ร้านหญ้าเซียนเล็กๆ ที่อื่นคงโอกาสน้อยไปอีก
ผู้เฒ่าลูบเคราพินิจ ดวงตาฉายแววประหลาดบางอย่าง ลังเลชั่วครู่พลางเอ่ย “มีน่ะมี แต่ไม่เยอะ คิดว่าท่านทั้งสองคงรู้ว่าเมล็ดหญ้าเซียนที่ขั้นสูง คนที่ซื้อก็มีไม่มากนัก ดังนั้นแม้จะเป็ร้านคลังโอสถที่ใหญ่แบบนี้ ก็ใช่ว่าจะมีของเก็บไว้เยอะ”
โหยวเสี่ยวโม่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นดีใจ แม้จะมากจะน้อยก็ไม่เป็ไร ไม่ใช่ปัญหา “ไม่ทราบว่าผู้เฒ่ามีสินค้าเท่าไหร่? คิดราคายังไง?”
“เหอะๆ ร้านคลังโอสถเราตอนนี้มีหญ้าเซียนขั้นสี่ทั้งหมดหกสิบห้าชนิด ชนิดละหนึ่งร้อยเมล็ด ราคาหนึ่งหมื่นห้า หญ้าเซียนขั้นห้ามีแปดสิบเก้าชนิด ชนิดละห้าสิบเมล็ด ราคาสามหมื่น หญ้าเซียนขั้นหกทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดชนิด ชนิดละยี่สิบเมล็ด ราคาสี่หมื่น” ผู้เฒ่าเคาะนิ้วบนโต๊ะพลางยิ้มค่อยๆ
ขณะที่เขาเอ่ยแต่ละขั้นนั้น โหยวเสี่ยวโม่เหงื่อซึม จนถึงประโยคสุดท้ายเหงื่อก็แตกพลั่กๆ
เขาไม่คิดมาก่อนว่า เมล็ดหญ้าเซียนขั้นกลางจะแพงขนาดนี้ เมล็ดขั้นสี่อย่างเดียวต้องใช้ถึงหกแสนห้า เงินในถุงตอนนี้ยังมีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ถ้ารวมกันทั้งหมดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ราวแปดล้านกว่า ทั้งที่จำนวนน้อย แต่ราคากลับแพงขึ้น นี่ไปวิ่งราวกันเลยดีกว่า
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้ามองหลิงเซียว “ศิษย์พี่…”
หลิงเซียวลูบหัวเขานิ่งๆ จากนั้นเอ่ยกับผู้เฒ่า “รบกวนท่านผู้เฒ่าเก็บตัวเมล็ดพวกนี้ไว้ให้พวกเราก่อน พรุ่งนี้เราจะมารับของ ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
“เหอะๆ ได้แน่นอน” ผู้เฒ่าพยักหน้า
“งั้นพวกเราไปก่อนล่ะ” หลิงเซียวพยักหน้าให้เขา จากนั้นพาโหยวเสี่ยวโม่ออกจากร้านคลังโอสถ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินหายลงไปพร้อมกับเสียงฝีเท้า ผู้เฒ่าลูบเคราพลางใคร่ครวญ จากนั้นสายตาเลื่อนมาอยู่ที่ขวดยาทั้งห้าบนโต๊ะ สายตายิ่งประหลาดใจ สิ่งของที่สองคนนี้เอามานั้นเหนือความคาดหมายของเขา
“โผล่มาก็ขายยาเซียนตันขั้นสองทีเดียวห้าขวด แถมไม่ใช่ของชั้นกลางหรือชั้นล่าง หญ้าเซียนชั้นสูงที่ใช้ต้องมีมากถึงเจ็ดร้อยกว่าต้น นี่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เด็กหนุ่มนั่นอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปี เก่งสุดก็คงนักหลอมโอสถขั้นสอง หรือยาพวกนี้เขาจะเป็หลอมออกมาเองจริงๆ? แต่จากท่าทางเด็กหนุ่มนั่น เหมือนว่าเขาเป็คนหลอมเอง…”
ผู้เฒ่าพึมพำกับตัวเอง เดี๋ยวก็ตื่นตระหนก เดี๋ยวก็ส่ายหัว
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เื่ที่เขาใ นักหลอมโอสถทั่วไปไม่มีทางซื้อเมล็ดหญ้าเซียนโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ ทั้งเื่ที่เขาขายยาเซียนตันชั้นสูงห้าขวด ผู้เฒ่ารู้สึกว่าตัวเองค้นพบเื่น่าเหลือเชื่อเข้าแล้ว หากเป็อย่างที่เขาคิดจริง เื่ราวต้องใหญ่โตแน่…
“ไม่ได้ เื่นี้ต้องบอกให้ท่านเ้าเมืองทราบ หากว่าเด็กหนุ่มนั่นมีเคล็ดลับการเพาะปลูกหญ้าเซียนชั้นสูงจริงละก็ จะนิ่งดูดายไม่ได้ หากข้าเคล็ดลับนั่นได้ ยาเซียนตันและหญ้าเซียนขั้นสูงทั้งหลายก็ต้องตกอยู่ในมือข้างั้นสิ?”
ผู้เฒ่ายิ่งคิดยิ่งดีใจ สายตาเคลือบแคลงส่อแววประกายอย่างดีอกดีใจ ราวกับว่ากำลังเจอหนทางสู่ความสบาย แต่ชายหนุ่มที่มาด้วยกันนั้นเป็ตัวปัญหา…
คิดถึงจุดนี้ สายตาตื่นเต้นของผู้เฒ่าก็จางลง เห็นทีต้องหาทางแยกชายคนนั้นออกจากกัน
ขณะเดียวกันนั้น โหยวเสี่ยวโม่ก็เดินคอตกออกจากร้านคลังโอสถ
ตอนเข้าไปนั้น ใบหน้ายิ้มระรื่นดีใจ แต่ขากลับอารมณ์พวกนั้นถูกเขาทิ้งขว้างไปไกล เขาลองคิดคร่าวๆ ดู หักลบค่าซื้อเมล็ดหญ้าเซียนออกแล้ว เงินที่เหลือคงไม่พอซื้อเตาหลอมดีๆ สักอันแน่ การลงเขาหนนี้ จุดมุ่งหมายสองอย่างคือซื้อเมล็ดหญ้าเซียนขั้นกลางและเตาหลอม
หากการประมูลขายได้เงินมาไม่พอ เขาคงต้องซื้อเมล็ดหญ้าเซียนน้อยลงมาหน่อย
ขณะครุ่นคิด ก็มีมือใหญ่ตบแ่เบาเข้าที่หัวโหยวเสี่ยวโม่ เล่นเอาเกือบกลิ้งลงบันไดร้านคลังโอสถ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใคร โหยวเสี่ยวโม่หันขวับถลึงตาใส่หลิงเซียว “ศิษย์พี่หลิง ทำไมท่านตีหัวข้าอีกแล้ว?”
หลิงเซียวยิ้มมุมปากโค้งขึ้น หยิกแก้มสองข้างของเขา “ศิษย์น้องเล็ก เ้านี่น่ารักจริงเชียว เ้าคิดว่าราคาประมูลของน้ำปราณแปดสิบแปดหยดจะได้แค่แปดล้านกว่าแค่นั้นรึ? หากเป็เช่นนี้ ทำไมต้องขายกันอีกล่ะ?”
พวงแก้มโหยวเสี่ยวโม่ถูกหยิกจนเจ็บ จึงรีบดึงมือเขาออก พลันนวดหน้าก่อนถอยห่างออกไปหลายก้าว จ้องเขาถมึงทึงแล้วเอ่ย “บุรุษเขาใช้ปากไม่ใช้กำลัง ว่าแต่…ที่ท่านพูดมาจริงงั้นรึ?”
จบประโยคแรกไม่ทันไร ความขึงขังก็หลุดลอยหายไป ดวงตากลมโตจ้องเขาเป็ประกาย ฉายแววคาดหวัง
หลิงเซียวกลั้นขำไม่ไหว จนยื่นมือไปหยิกเขาอีกรอบ
โหยวเสี่ยวโม่ถอยหลังหลบมือนั้น แต่ไปชนโดนคนด้านหลังที่กำลังเดินเข้าร้านคลังโอสถแล้วถูกคนนั้นผลักกลับมาโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดหลิงเซียว
ได้โอบกอดโหยวเสี่ยวโม่ที่เข้ามากอดตัวเองไว้ หลิงเซียวพลันอารมณ์ดีขึ้นมา เ้านี่ช่างน่าแกล้งจริงๆ!
“เอาล่ะๆ ข้าไม่แกล้งเ้าแล้ว เรามาคุยเื่ธุระกันก่อน” หลิงเซียวโอบรัดโหยวเสี่ยวโม่ที่ดันทุรังจะผละออกจากเขาให้ได้ “เกี่ยวกับเื่ราคาการประมูลขายน้ำปราณ ราคาที่ผู้เฒ่านั่นให้มาเป็เพียงราคาต่ำสุด ที่สำคัญกว่าคือต้องรอดูราคาสูงสุดหลังจากนั้น ของดีอย่างน้ำปราณนี้ ราคาท้ายสุดคงสูงขึ้นเป็เท่าตัว ไม่ต้องกลัวว่าพวกแกร่งกล้าจะไม่กล้าควักถุงเงิน”
“จริงหรือ เท่าตัวเลยหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้ามอง จ้องเขาอย่างสงสัย ไม่ใช่ว่าเขามักสงสัยหลิงเซียว แต่หลิงเซียวชอบแกล้งอำเขาบ่อยครั้ง
“หากเ้าไม่เชื่อ รอการประมูลพรุ่งนี้เดี๋ยวก็รู้เอง” หลิงเซียวไม่อธิบายเยอะ
แม้ไม่เคยเห็นหมูวิ่ง แต่ก็เคยกินเนื้อหมูมาบ้าง
โหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าที่หลิงเซียวพูดมาก็มีเหตุผล ชาติก่อนเคยเห็นรายการประมูลในทีวีมาบ้าง พวกคนรวยพวกนั้นพอเห็นของที่ตัวเองชอบ ก็จะแย่งชิงกัน ดังนั้นราคาก็จะพุ่งขึ้นง่ายดาย
ในที่สุดโหยวเสี่ยวโม่ก็กลับมาสดใสอีกครั้งหลังจากคร่ำครวญเื่เงิน
รอบนี้ถึงคราวที่โหยวเสี่ยวโม่จะลากหลิงเซียวเข้าร้านอื่นบ้าง ของที่เขา้าซื้อยังมีอีกมาก เตาหลอมเขายังมีเงินไม่พอซื้อ ต้องเอาไว้ก่อน ดังนั้นจึงมาร้านเครื่องไม้เพื่อซื้อชั้นวาง
ร้านเครื่องไม้ในเมืองฮุยจี๋ใหญ่โตครบครันกว่าเมืองเหอผิงมาก วัสดุไม้ที่ทำชั้นวางก็ดีเยี่ยม ล้วนเป็ไม้ที่มีอายุยี่สิบสามสิบปี งานช่างฝีมือดีทั้งนั้น โดยเฉพาะการแกะสลักภายนอกที่วิจิตรเป็ลวดลายสวยงาม น่าดูชม แต่ชั้นวางที่ดีที่สุดราคาสิบห้าตำลึงทอง ราคาแพงกว่าที่เมืองเหอผิงหลายเท่าตัว แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็ซื้อมาหลายร้อยอัน
นอกจากนี้ เขายังซื้อพวกวัสดุที่จะสร้างเรือนไม้เล็กและถังน้ำไม้ที่ใช้สำรองน้ำปราณที่ผสมอีกสองร้อยอัน พริบตาเดียวก็ใช้ไปราวหลายพันตำลึง เจ็บกระดองใจเหลือเกิน
หลังออกจากร้านเครื่องไม้ ทั้งสองก็เดินไปเรื่อยในละแวกนั้น จนตะวันใกล้ลับฟ้าถึงหาที่พักกัน
หอเจ็ดดวงดารานั้นเป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮุยจี๋ ในพรุ่งนี้เป็วันประมูลแล้ว ดังนั้นแเื่มากมายต่างมาพักกันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ โดยเฉพาะผู้ที่มีป้ายสมาชิกพิเศษ ขอเพียงแสดงแผ่นป้ายนี้ ก็เข้าพักได้ฟรี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้