ปลายคิมหันต์ เข้าสู่ต้นวสันตฤดูเป็่ที่แมลงชุกชุมที่สุด น่าจะเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ของพวกมันแล้ว
ยามกลางวันร้อนระอุ ยามกลางคืนหนาวจับจิต
อุณหภูมิบนูเานั้นแตกต่างกันมาก
กลางทุ่งหญ้ามีกองไฟกองใหญ่ลุกโชนอยู่ ไม้สนกองใหญ่ถูกก่อไฟขึ้นเพื่อย่างแพะทั้งตัว
ราชครูเพียงกล่าวลอยๆ ว่าตอนเย็นค่อยกินเนื้อแพะกัน ทว่าแม่นางหลัวกลับคิดว่าในเมื่อกล่าวออกมาแล้วก็จำเป็ต้องทำให้ได้ กระทั่งกับเด็กก็ไม่อาจกล่าวอย่างขอไปทีได้
ดังนั้นเมื่อถึงยามสายัณห์ ทุกคนจึงมานั่งล้อมรอบกองไฟกัน
คืนนี้ดวงจันทร์กระจ่างดาวน้อย เหล่าแมลงร้องระงม
ราชครูที่ห่อตัวด้วยผ้าห่มขาดๆ อยู่นั้น ใบหน้าพราวด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนมองแล้วก็รู้สึกว่าเขาแปลกไป ทว่าก็ไม่รู้ว่ามีอะไรที่แปลก เหมือนว่าท่านอาจารย์กัวในวันนี้ดูจะน่าสนิทสนมกว่าที่ผ่านมา กระทั่งอาลู่ที่ระมัดระวังตัวอยู่เสมอก็คร้านจะย้ายหนี นั่งลงข้างกายชายชรา
ครั้นหากเป็วันปกติ เื่เช่นนี้ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้น
อาลู่นั้นแม้จะดูอ่อนโยน ทว่าจริงๆ แล้วกลับทำตัวห่างเหินกับคนอื่นนัก
หากว่าไม่ใช่คนที่เขาสนิทด้วยใจจริง เขาก็จะระแวดระวัง อย่างน้อยก็ไม่มีทางนั่งอยู่ข้างกายเช่นนี้
นายท่านสามเองก็เป็คนระมัดระวังตัวนัก ทว่าเขานั้นเห็นว่าแม่นางหลัวดูจะไว้ใจท่านอาจารย์กัว ทั้งยังดูสนิทสนมด้วย เขาจึงรู้สึกไว้ใจท่านอาจารย์กัวไปโดยปริยายเช่นกัน
ราชครูรู้สึกเหมือนว่าคนอื่นนั้นจะสังเกตได้ว่าเขาแปลกไป
เหมือนว่าก่อนหน้านี้แม้เขาจะอาศัยอยู่บนูเาลูกนี้ ทว่าก็ทำตัวราวกับแขกที่สัญจรผ่านมาคนหนึ่ง ด้วยเกรงว่าคนอื่นจะรู้ความลับสำคัญของเขาเข้า
เขามักกลัวว่าวันนั้นจะมาถึง เขาจึงได้แต่สังเกตการณ์
ในใจเขาเองก็รู้สึกว่าตนเป็ถึงราชครู เป็คนตระกูลจ้ง ชีวิตจะมาลงเอยอยู่ในรังโจรเช่นนี้ได้อย่างไร
ที่แห่งนี้สำหรับเขามีไว้เพื่อหนีเอาตัวรอดเท่านั้น ทว่าบัดนี้เขากลับกลมกลืนรวมเป็หนึ่งกับที่นี่เสียแล้ว
ทั้งการพูด ทั้งอาหารที่กิน ทั้งรอยยิ้ม ทั้งการขมวดคิ้ว ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาล้วนแต่อยู่ที่นี่
ในความมืดมนนั้นเขาก็วางแผนขึ้นมาได้
ราชครูใต้ผ้าห่มผืนหนักถูกเฉินโย่วที่ทั้งะโทั้งเต้นดึงไปดึงมา เพียงครู่เดียวผ้าห่มผืนนั้นจึงร่วงไปอยู่บนพื้นกว่าครึ่ง
ในอดีตราชครูไม่เคยแยแสสมบัตินอกกาย ทั้งยังไม่เคยสนใจว่าชีวิตจะดีหรือร้าย
ไม่ว่าจะเป็ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองหรือผ้าไหม ไม่ว่าจะเป็สีแดงหรือสีม่วง บนชายอาภรณ์จะมีรูปม้าหรือรูปดอกไม้ เขาล้วนไม่เคยคำนึงถึง
ทว่าบัดนี้ที่เขาได้ััถึงแก่นของเต๋า สิ่งที่ควรทำเป็อย่างแรกคือการกลับมายังโลกใบนี้
หากไม่กลับมายังโลกใบนี้ แล้วเราจะออกจากมันได้หรือ
ไม่แปลกใจว่าราชครูในหลายรุ่นที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกันหมด
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะคัดคนในหมู่บ้านสักกลุ่มหนึ่งส่งไปต่างแคว้น ไปเรียนเคล็ดลับในการทำอาวุธแคว้นจิง ท่านอาจารย์มีความเห็นว่าควรหรือไม่” นายท่านสามที่ผมสยายยาวตลอดศีรษะค่อยๆ ยกมือมาปัดผมที่ปรกหน้าผากไว้ออก สีหน้าดูใจจดใจจ่อรอความเห็นจากท่านอาจารย์กัว
เื่เช่นนี้นายท่านสามไม่มีทางเอ่ยถามคนนอกที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านอย่างท่านอาจารย์กัวแน่นอน ทว่าปกติแม่นางหลัวไม่ได้มาหารือตามลำพังกับนายท่านสามบ่อยนัก แต่วันนี้นางกลับมาหาเขาด้วยตัวเองเพื่อกล่าวว่า “หากมีเื่ที่ท่านไม่เข้าใจ ก็ลองไปขอความเห็นจากท่านอาจารย์กัวดูเถิด”
นายท่านสามได้ยินเช่นนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็เซ่อซ่าขึ้นมา มือเท้าก็อ่อนเปลี้ยพันกันเป็พัลวัน
รอจนแม่นางหลัวเดินจากไปนานแล้ว ใบหน้าและใบหูของชายหนุ่มก็ยังคงแดงซ่านอยู่
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางหลัวจึงได้เชื่อใจท่านอาจารย์กัวนัก ทว่าเขาเชื่อใจอู๋เลี่ยง แม้เขาจะรู้ว่านางเป็สตรีเ็าไร้หัวใจที่สุดคนหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังยินดีจะเชื่อใจนาง
และเพราะนาง เขาถึงยังมีชีวิตอยู่
เขาชอบนาง ไม่เพียงแค่ชอบ แต่นางเป็ความเคยชินในการใช้ชีวิตเสียแล้ว
ราชครูเมื่อได้ยินว่าจะส่งคนไปเรียนเคล็ดลับการทำอาวุธของแคว้นจิง เขาก็รีบส่ายหน้าทันที เ้าหนุ่มนี่กำลังรนหาที่ตายชัดๆ อย่าว่าแต่นายท่านสามส่งคนไปเลย กระทั่งคนหัวขาวหัวดำทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็คงจะโดนอาวุธจากแคว้นจิงปราบจนราบเป็หน้ากลอง แม้แต่แมลงก็คงจะไม่เหลือเช่นกัน
เขาเป็ราชครู ความลับน้อยใหญ่ในวังเขาก็รู้อยู่บ้าง
ก่อนหน้าเมื่อหลายปีก่อน แคว้นเชินเคยลอบส่งคนไปขโมยเคล็ดลับการทำอาวุธจากแคว้นจิง เื่นี้กระทั่งขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็ยังไม่ทราบ
แคว้นเชินนอกจากราชครูแล้วยังมีกองกำลังลับที่ทำหน้าที่คอยพิทักษ์ราชวงศ์โดยเฉพาะ
ดังนั้นเื่ส่งคนไปลับๆ ประการแรกก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนทางแคว้นจิงตื่นตัว และเปิดเผยตัวตนของพวกเขาได้ อีกประการหนึ่งคือป้องกันการขัดแย้งกันของเหล่าขุนนางในราชสำนัก
กล่าวไปแล้วก็น่าขันนัก แคว้นเชินได้รับการขนานนามว่ารู้มารยาทที่สุด การเลี้ยงดูบุตรก็ล้วนให้ความสำคัญกับเื่มารยาท หากว่าขุนนางคร่ำครึในราชสำนักเ่าั้ทราบว่าฝ่าาถึงขั้นส่งคนไปขโมยเคล็ดลับในการหลอมอาวุธจากแคว้นจิงมา สิ่งแรกที่จะทำกันก็คงจะเป็การเต้นเร่าๆ ออกมาคัดค้านว่าแคว้นจิงเป็แคว้นป่าเถื่อนที่เต็มไปด้วยผู้คนไร้อารยะย่อมไม่ควรค่าแก่การศึกษา จากนั้นก็คงกล่าวว่าคนเรานั้นจำเป็ต้องเปิดเผยสง่างาม แล้วก็คงจะเยินยอว่าแคว้นของเราก็ผลิตอาวุธที่ดีที่สุดได้
สรุปแล้วคือเหล่าขุนนางในแคว้นเชินล้วนดีแต่พูด หากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยย่อมไม่มีใครจะชนะพวกเขาได้
ผ่านมาหลายปี ผลลัพธ์เดียวที่เห็นคือแคว้นเชินเอาแต่อวดดีเสมอมา ด้วยหลายปีนี้ลมฝนเป็ใจบ้านเมืองจึงเจริญรุ่งเรืองนัก ฝ่าาแม้จะรู้เื่เคล็ดลับแต่ก็ไม่ได้สนใจอันใด คิดแต่เพียงว่าพระธิดาของตนเป็ดาวนำโชค ถึงอย่างไรก็ย่อมคุ้มครองแคว้นเชินได้
ราชครูรู้เื่นี้เพราะฝ่าานั่นเอง เพื่อที่จะปลอบโยนดวงิญญานับพันที่พลีชีพไปเพื่อขโมยเคล็ดลับนั้นมา จึงให้เขาทำพิธีขึ้นเพื่อที่ิญญาเ่าั้จะได้จากไปอย่างสงบ
คนนับพันต้องจากไปอย่างน่าเวทนา ไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูกไว้ให้ดูต่างหน้าราวกับเป็คนไร้ค่า
ไม่มีราษฎรแคว้นเชินคนใดได้รู้จักพวกเขา
ฝ่าาก็ไม่เคยตรัสถามนามของพวกเขา ทั้งยังไม่ได้สนใจผู้คนที่ต้องตายไปอย่างน่าเวทนาแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ราชครูจึงเคยตั้งใจดูเคล็ดลับนั้น
บัดนี้เมื่อได้ยินว่านายท่านสามมีความกล้าถึงเพียงนี้ เป็เพียงแค่หมู่บ้านเล็กๆ ทว่าถึงขั้นกล้าวางแผนไปสังเกตการณ์การทำอาวุธของแคว้นจิง เมื่อเทียบกับพวกขุนนางใจเสาะที่ดีแต่พูดแล้ว นับว่ากล้าได้กล้าเสียกว่ากันมากนัก
“ข้าว่าคงไม่เหมาะนัก” ราชครูลังเลใจครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“หากจะซื้อดินจากแคว้นจิงโดยตรง จะว่าไปแล้วก็ย่อมได้ เพียงแต่กลัวว่าเมื่อถึงตอนนั้นเราจะกลายเป็หมูบนเขียง การเป็เป้าเด่นเช่นนั้นอาจจะพลอยโดนรังแกได้ง่ายๆ หากมีคนรู้ว่าเรามีของล้ำค่าซ่อนอยู่ พวกเราก็จำเป็จะต้องมีความสามารถในการปกป้องตนเองให้ได้ก่อน หากว่าต่อมาสามารถหลอมอาวุธอย่างแคว้นจิงได้เอง นั่นจึงจะนับว่ามั่นคงที่สุด ทั้งหากเรายังกุมอำนาจเส้นทางการค้านี้ไว้ ต่อไปก็เพียงกล่าวว่าอาวุธที่เราผลิตนั้นเป็อาวุธของแคว้นจิงที่หลุดมา เช่นนั้นก็ย่อมได้แล้ว” นายท่านสามเมื่อได้ยินว่าท่านอาจารย์กัวคัดค้านก็ดีใจยิ่ง ทั้งหัวใจพลันศรัทธาชายชราขึ้นมา
ราชครูพลันส่ายหน้าเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้น “เช่นนั้นพวกเราลองดูสักครั้งดีหรือไม่ บรรพบุรุษข้า เอ่อ คนรุ่นก่อนเหมือนจะตกทอดตำราไว้ให้เล่มหนึ่ง ในตำรากล่าวเื่การหลอมอาวุธไว้เช่นกัน พวกเราสามารถทดลองหลอมเองได้ หากสำเร็จก็ย่อมเป็เื่ดี หากไม่สำเร็จก็นับว่าได้ประสบการณ์ แล้วค่อยช่วยกันศึกษาต่อ รับรองว่าผลลัพธ์ก็คงจะดีไม่แพ้กัน”
นายท่านสามเมื่อได้ยินท่านอาจารย์กัวกล่าวเช่นนั้นก็พลันใจนแทบเป็ลมเป็แล้ง
ตำราตกทอดจากบรรพบุรุษจะมีเื่เกี่ยวกับการหลอมอาวุธได้อย่างไรกัน คงเป็เื่หลอกเด็กแล้วกระมัง อาวุธนั้นเป็ถึงอาวุธของแคว้นจิงเชียวนะ ทว่าเมื่อมองท่านอาจารย์กัวดูแล้วท่าทางก็ดูไม่น่าจะพูดจาเลื่อนเปื้อนไปเรื่อย
เมื่อหันไปมองทางอู๋เลี่ยงก็เห็นว่านางกำลังก้มลงไปสนทนากับเฉินโย่วอยู่ ใบหน้างดงามดูโอบอ้อมอารี ทว่าราวกับว่านางนั้นััได้ว่าถูกตนลอบมองอยู่ จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองทางตนแล้วยิ้มกว้างราวกับพระจันทร์เสี้ยว
หัวใจของชายหนุ่มพลันเต้นแรงจนดัง “ตึกตัก ตึกตัก” ขึ้นมา
เมื่อหันไปมองท่านอาจารย์กัวอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็กลับมารักษาความหนักแน่นไว้ดังเดิม
“ตกลง เช่นนั้นก็ว่าตามท่านอาจารย์แล้วกัน นับแต่นี้เื่การสร้างอาวุธแบบแคว้นจิงคงต้องรบกวนท่านอาจารย์แล้ว” นายท่านสามกล่าวไปก็ตบไหล่ท่านอาจารย์กัวไปอีกสองสามที จากนั้นจึงฉีกน่องแพะส่งให้ชายชรา แล้วจึงเทเหล้าข้าวเหนียวให้เขาอีกจอกหนึ่ง
ราชครูมองเนื้อชิ้นมันในมือของชายหนุ่มที่เพิ่งจะย่างเสร็จ กลิ่นหอมจากไขมันแพะที่กำลังเกรียมลอยขึ้นเตะจมูก มองแล้วช่างน่ากินนัก
ยามยังอยู่ในวังหลวงเขาชอบกินอาหารที่ทำจากผักมากกว่า
เขายังจำคำที่ท่านอาจารย์เคยพูดไว้ได้ว่าหากกินอาหารมันมากไปในหัวก็จะเต็มไปด้วยไขมันจนสูญเสียความเฉียบแหลมได้
ทว่าตลอดเส้นทางที่เขาต้องหนีมานั้นเคยต้องทนหิวตั้งหลายมื้อ บัดนี้ไม่ว่าเห็นสิ่งใดก็ล้วนอยากกินไปหมด
ทั้ง่นี้เขาเริ่มจะกินเนื้อได้แล้ว
เช่นวันนี้ที่แม้ตลอดเส้นทางจะเต็มไปด้วยความยากลำบากแต่เขากลับเกิดการตระหนักรู้จนเข้าใจแก่นแท้ของเต๋าได้ เื่นี้หากว่าท่านอาจารย์ของเขาที่มุ่งมั่นจะกินแต่ผักรู้เข้าคาดว่าคงจะโกรธเสียจนะโขึ้นมาจากโลงเป็แน่
ราชครูยื่นมือไปรับขาแพะท่อนนั้นมาอย่างไม่หวาดหวั่นสิ่งใด จากนั้นก็บรรจงกัดลงไปคำโต
ยามฟันของเขากัดลงไปบนเนื้อน่องนุ่มๆ ของมัน ความชุ่มฉ่ำจากเครื่องปรุงและน้ำมันจากเนื้อแพะค่อยๆ แตกซ่านอยู่ในปากของชายชรา กลิ่นหอมเฉพาะตัวของแพะอวลฟุ้ง เมื่อผนวกกับความหอมของไม้สนที่ใช้ก่อฟืนในการย่างแล้วก็ยิ่งทำให้ขาแพะย่างนี้ทวีความหอม เพียงพริบตาชายชรารู้สึกมีความสุขเสียจนต้องทอดถอนใจออกมา จากนั้นจึงหยิบจอกเหล้าข้างกายขึ้นมาดื่มรวดเดียว
ทันใดนั้นในคอของเขาก็พลันรู้สึกร้อนวูบวาบ ร่างกายก็พลันร้อนขึ้นมาเช่นกัน
เมื่อมองไปทางเ้าเด็กปีศาจที่กำลังวิ่งวนรอบกองไฟ รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชราก็พลันเจิดจ้าขึ้น
ราชครูปลดผ้าห่มหนาที่ห่อกายตนไว้ออก จากนั้นก็หยิบท่อนไม้ตรงหน้าตนขึ้นมาท่อนหนึ่งแล้วจึงยกขึ้นเคาะก้อนหินหน้ากองไฟที่ยังคงลุกโชน มือหนึ่งเคาะก้อนหินไปพร้อมกับร้องเพลงขึ้นดังลั่น
“ภูผามีฝูซู ลุ่มน้ำมีดอกบัว
ไม่เห็นจื่อตู ย่อมต้องวิปลาส
ภูผามีสนสูง ลุ่มน้ำมีัแหวกว่าย
ไม่เห็นคนดี ย่อมเจอคนเลว”