เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนอนซมอยู่บนเตียงเป็คนไข้ เดิมทีควรจะได้ดื่มอย่างดีและได้รับการปรนนิบัติเอาใจ ทุกวันห้อมล้อมด้วยบ่าวรับใช้รอบกาย ได้พักผ่อนร่างกายอย่างเต็มที่ แต่ความเป็จริงในตอนนี้ช่างแห้งแล้งน่าร่ำไห้เหลือเกิน ไม่เพียงไม่ได้กินดื่มปรนนิบัติอย่างดีเช่นในจินตนาการ กระทั่งยาที่กินก็ยังเสี่ยงอันตรายอาจทำให้ป่วยหนักขึ้นอีกต่างหาก...
เหตุผลที่พูดเช่นนี้น่ะหรือ ก็เพราะเื่นี้มีความจำเป็ของมันอยู่จริงๆ อย่างแรก เื่ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟยนั้น ต่อให้ในจวนเยี่ยนเองก็ไม่ใช่เื่ที่รู้กันทั่วทุกคน ไม่ต้องพูดถึงพวกหมอที่อยู่ข้างนอกนั่นเลย อย่างที่สอง ฮูหยินเยี่ยนนั้นปลดเกษียณมานานแล้ว นางคันไม้คันมือเกินจะอดกลั้นจริงๆ ติดที่ยามปกติไม่มีใครมาให้นางได้ทบทวนวิชาเลย จึงได้แต่...
จึงได้แต่จับลูกสาวที่เพิ่งป่วยของตนมาเป็ตัวทดลองเสียเลย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้มองไปที่หัวเตียงอย่างเหนื่อยหน่าย นางกลืนยาขมที่หลิงหลงป้อนเข้าปากไปทีละคำอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าชีวิตไม่เคยสิ้นหวังเช่นนี้มาก่อน
“หลิงหลง เ้าว่า... แม้ยาของแม่ข้าอาจจะไม่ได้มีสรรพคุณรักษาดีนัก แต่คงไม่ถึงกับกินแล้วตายหรอกนะ?” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเพิ่งกลืนยาขมไปเพียงคำเดียว ก็เอ่ยถามอย่างสั่นสะท้าน
หลิงหลงที่อยู่ข้างกายเองก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมขึ้นมาเช็ดคราบยาต้มสีน้ำตาลที่มุมปากให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว พลางตอบอย่างห่อเหี่ยวยิ่งนัก “คุณหนูใหญ่ ขออภัยที่บ่าวต้องพูดตามตรง เื่นี้ก็บอกไม่ได้แน่ชัดจริงๆ เ้าค่ะ” หลิงหลงพลันถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเอ่ยต่อ “ถึงอย่างไรบ่าวเองก็ไม่เคยเห็นหมอที่ยังมีกะจิตกะใจเล่นไพ่โต้รุ่ง ทั้งที่คนไข้ที่นอนซมอยู่กับเตียงเลยเ้าค่ะ”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา นางไม่รู้เลยสักนิดว่ามารดาของตนเล่นไพ่โต้รุ่งอีกแล้ว ดูท่าเช่นนี้แล้ว ไม่แน่ว่าตอนเขียนใบสั่งยาก็อาจจะเขียนหนึ่งเฉียนเป็หนึ่งเหลี่ยง หนึ่งเหลี่ยงเป็หนึ่งจินไปแล้ว... [1]
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตระหนักได้ว่าบนโลกนี้มีหมอไร้ฝีมืออยู่จริง และยิ่งกว่าก็คือคนที่เหมือนอย่างท่านแม่ของนาง เป็คนที่ไร้ฝีมือแต่ไม่รู้ตัวเช่นนี้นี่แหละ!
“ถ้าเช่นนั้น...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยกมือขึ้นยั้งแขนของหลิงหลงที่กำลังป้อนยาให้ตนต่อ แล้วเอ่ยหยั่งเชิง “ถ้าเช่นนั้น หลิงหลง เ้าก็เหลือทางรอดให้ข้าสักทางเถอะ!”
เดิมทีนึกว่าหลิงหลงจะเป็คนดีที่สามารถเข้าใจความคิดของตนได้เสียอีก ทว่าเห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นคิดผิด ต่อให้หลิงหลงจะเป็คนดีคนหนึ่งก็ตาม แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการที่นางเป็สาวใช้ของฮูหยินเยี่ยน
อย่างไรเสียฮูหยินเยี่ยนก็เป็ผู้ที่ให้เงินเดือนกับหลิงหลง...
หว่างคิ้วของหลิงหลงค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน ดูเศร้าเสียใจและน่าสงสารยิ่งนัก แต่ชั่วขณะต่อมานางก็ขยับแขนป้อนยาให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังส่ายหน้าอีกครั้ง “ขออภัยเ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” หลิงหลงยื่นช้อนจ่อปากเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แล้วเอ่ยเสียงเบา “อย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย! ดื่มเถิดเ้าค่ะ!”
ละทิ้งส่วนน้อย ปกป้องส่วนรวม เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลับตาอ้าปาก ยังคงเชื่อฝังใจว่าจะต้องตายอย่างแน่แท้ แล้วดื่มยาต้มที่ไม่เพียงแต่ขมจนน่าโมโห แต่ยังอาจจะทำให้อาการป่วยของตนแย่ลงไปอีก
ั้แ่กลับมาจากวัดจินติ่ง จนถึงตอนนี้ก็ได้ผ่านมาสองวันเต็มๆ แล้ว เยวี่ยเจาหรานนั่งอยู่บนที่นั่งในห้องของตน ขาที่ยกขึ้นไขว่ห้างบ่งบอกถึงความเอ้อระเหยลอยชายอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่รู้เลยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในยามนี้กำลังใช้ชีวิตอย่าง ‘ทุกข์ยากแสนเข็ญ’ อยู่ ทว่าถึงอย่างไรเยวี่ยเจาหรานเองก็นับว่ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง เขาหยุดมือที่โยนลูกเต๋าลงอย่างฉับพลัน แล้วเอ่ยปากเรียกชุ่ยเชี่ยวเข้ามา
“คุณชายใหญ่มีเื่อะไรหรือเ้าคะ?” พูดตามตรง สองสามวันมานี้ชุ่ยเชี่ยวทำตัวขบถจริงๆ นางไร้ทางระบายความโกรธเคืองและคำพูดจิกกัดต่อเยวี่ยเจาหรานที่อัดอั้นอยู่เต็มอกได้ ต้นสายปลายเหตุนั้นก็เพื่อ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ ผู้น่าสงสารนั่นเอง...
เยวี่ยเจาหรานขมวดคิ้ว แล้วโบกมือไปทางชุ่ยเชี่ยว สื่อว่าให้ชุ่ยเชี่ยวเข้ามาใกล้ตนอีกหน่อย ชุ่ยเชี่ยวไม่เต็มใจนักแต่สุดท้ายก็ยังเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “มีอะไรหรือเ้าคะ?”
“พวกเรากลับมาสองวันแล้วสินะ...” เยวี่ยเจาหรานหลุบตาลง แล้วเอ่ยเช่นนั้น ชุ่ยเชี่ยวเองก็พยักหน้าตาม จะบอกว่าผ่านมาสองวันแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็ยังไม่ได้ยินข่าวคราวของตระกูลเยี่ยนเลย ในใจมักจะรู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา ชุ่ยเชี่ยวพลันเบะปาก เอ่ยด้วยความรังเกียจ “ก็ยังไม่เห็นว่าท่านจะรู้สึกกังวลอะไรมากมายเลยนี่นา ทุกวี่ทุกวันอยากกินอะไรก็กิน อยากดื่มอะไรก็ดื่ม มีความสุขจะตายไปไม่ใช่หรือ?”
“สาวใช้บ้านี่ เ้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร...” จุดอ่อนของเยวี่ยเจาหรานถูกจับได้เสียแล้ว ทั้งยังสะบัดคมเข็มแทงใจดำเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกเสียหน้าและอยู่ไม่ติดขึ้นมาเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะเขาปฏิบัติตามกฎกติกาทางสังคมที่ ‘สุภาพชนตกลงกันด้วยวาจาไม่ใช้กำลัง’ มาจำกัดและลงโทษตนเอง บางทีกำปั้นน้อยๆ ของเยวี่ยเจาหรานอาจจะมะเหงกลงหัวชุ่ยเชี่ยวในชั่วพริบตาต่อไปนี้ก็เป็ได้
ชุ่ยเชี่ยวดูแลรับใช้เยวี่ยเจาหรานมาก็นาน ย่อมรู้นิสัยเ้านายของตน ดังนั้นนางจึงไม่ได้เกรงกลัวต่อท่าทีสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ [2] ของเขาเลย เพียงแค่ถอยตัวไปข้างหลังสองก้าวอย่างเป็ธรรมชาติ แต่ปากก็ยังคงกัดไม่ปล่อย “ข้าพูดมาได้อย่างไรงั้นหรือ คุณชายท่านดูเอาเองก็แล้วกันว่าที่ข้าพูดมีอะไรผิดไปหรือไม่ กลับมาแค่สองวัน ครัวเล็กก็แทบจะยกออกมาให้ท่านกินจนหมดแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร...”
เมื่อพูดจบชุ่ยเชี่ยวก็เพียงยักไหล่ แล้วตั้งท่าจะหนี ถึงอย่างไรเยวี่ยเจาหรานนั้นถือว่า ‘มีเื่จะวานขอ’ ย่อมไม่อาจปล่อยผู้ที่รับใช้ตนดั่งแขนขาหนีหายวับไปง่ายๆ แน่นอน พลันเอ่ยเสียงอ่อน “เอาเถอะๆ วันนี้ข้าเองก็อารมณ์ดี จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเ้า เ้า… ยามบ่ายก็หาเวลาไปสอดส่องที่จวนเยี่ยนสักหน่อยว่าทางนั้นเป็อย่างไรบ้าง...”
“คุณชายจะไปหาท่านชายเยี่ยนหรือเ้าคะ?” พูดตามตรง ได้ยินเยวี่ยเจาหรานเอ่ยคำพูดมีมโนธรรมเช่นนี้ออกมาได้ ในใจของชุ่ยเชี่ยวก็ประหลาดยิ่ง ถึงอย่างไรสองวันมานี้เยวี่ยเจาหรานนั้นมีชีวิตสุขสบายเกินไปแล้วจริงๆ ชุ่ยเชี่ยวนึกว่าเขาจะทิ้ง ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ ผู้น่าสงสารไว้ข้างหลังแล้วเสียอีก!
“ข้าไม่ไป เ้าไป!” สมแล้วที่เป็บุรุษผู้เล่าเรียนวรรณกรรม เอ่ยคำพูดก็ช่างละเอียดรัดกุม แม้แต่คำเดียวก็ไม่อาจให้ผิดพลาด เมื่อพลาดแล้วก็จำเป็ต้องแก้ไข
เยวี่ยเจาหรานก้มศีรษะลงเอ่ยต่อ “ทำการใดให้มีไหวพริบ อย่าให้ถูกจับได้ล่ะ แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เป็บ้านของนางเอง จะไปเกิดเื่อะไรขึ้นมาได้เล่า... เ้าก็แค่กลัดกลุ้มไปเองเป็แน่!”
“เข้าใจแล้วเ้าค่ะคุณชาย! ยามบ่ายข้าจะไปทันที!” ใบหน้าของชุ่ยเชี่ยวฉายรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยจบนางจะหันหน้าวิ่งไปทันที เหลือเพียงเยวี่ยเจาหรานนั่งอยู่ในห้องแต่เพียงผู้เดียว เขาแอบเอ่ยเสียงเบาอย่างลับๆ “นางมุทะลุโผงผางเยี่ยงวานรดั่งบุรุษเพศเช่นนั้น จะเกิดเื่อันใดขึ้นมาได้เล่า... ข้าก็คงจะแค่ กลุ้ม! ไป! เอง!”
เยวี่ยเจาหรานเอ่ยกับตัวเองจบแล้วก็ยกมือขึ้นหยิบองุ่นม่วงลูกหนึ่งยัดใส่ปาก น้ำจากผลไม้พลันกระจายเต็มปาก... เปรี้ยวชะมัด! เยวี่ยเจาหรานโมโหจนถุยออกมาทันที เขาซดน้ำชาไปสองถ้วยถึงจะพอคลายความเปรี้ยวบนลิ้นไปได้บ้าง
หลังจากคายองุ่นแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็หมดอารมณ์จะกินอะไรไปทั้งอย่างนั้น เขาเพียงถอนหายใจหนักๆ ครั้งหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นเท้าคาง นั่งเหม่อลอยอย่างทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนไม่พูดจา
ความจริงแล้ว ั้แ่แยกกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ในใจของเยวี่ยเจาหรานก็เกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นราวกับมีสิ่งชี้นำบางอย่างอยู่ในความมืดสลัว เป็สิ่งที่เยวี่ยเจาหรานไม่เคยมีมาก่อน หากแต่ั้แ่ต้นจนจบเขากลับไม่ยอมเชื่อว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็เป็เพราะเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เชิงอรรถ
[1] จิน เหลี่ยง เฉียน (斤、两、钱) เป็หน่วยวัดน้ำหนักที่ใช้กับ ยาแผนจีน ทองคำ หรือสูตรอาหารเป็ต้น ในสมัยโบราณ 1 จิน = 16 เหลี่ยง โดย 1 เหลี่ยง = 10 เฉียน (หากแทนค่าให้เข้าใจง่ายคือ 1 จิน = 600 กรัม 1 เหลี่ยง = 37.5 กรัม และ 1 เฉียน = 3.75 กรัม) แต่ในปัจจุบัน 1 จิน = 500 กรัม และมีเพียง 10 เหลี่ยง
[2] สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ (狐假虎威) หมายถึงพฤติกรรมของคนที่ยืมอิทธิพลคนอื่นมาทำให้ตนเองมีอำนาจขึ้น หรือข่มเหงรังแกผู้อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้