สายลมยามค่ำคืนใน่สารทฤดูพัดโชยเอื่อยเฉื่อย แสงดวงจันทร์อันอบอุ่นสาดส่องไปทั่วทุกตรอกซอกซอย สะท้อนแสงสีทองระยิบระยับ
หลังจากคืนเงินเยี่ยจื่อหลิงไปสามหมื่นตำลึง เยี่ยเฉินเฟิงก็ใช้ตั๋วเงินที่เหลืออยู่ซื้อผลึกิญญาระดับต่ำมาแปดก้อนและเม็ดยาเพลิงผลาญอีกสองเม็ด
"เฮ้อ จากสามแสนตำลึงเหลืออยู่ไม่ถึงห้าร้อยกว่าอีกแล้ว ดูเหมือนว่าถ้าอยากจะได้ทรัพยากรสำหรับฝึกฝนที่ดีกว่านี้และจำนวนมากกว่านี้ คงจะต้องหาทางเข้าไปในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ให้ได้เสียแล้ว" เมื่อเห็นจำนวนเงินที่เหลืออยู่ เยี่ยเฉินเฟิงก็ทอดถอนใจอย่างอับจนหนทางและบ่นพึมพำกับตัวเอง
สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์เป็เพียงแห่งเดียวที่นิกายอัคคี์ นิกายระดับสามลงหลักปักฐานสร้างไว้ในแคว้นจื่อจินและบริเวณรอบด้าน การสอบเข้าก็สุดแสนจะโหดร้ายทารุณ นอกจากอัจฉริยะในหมู่ผู้มีพร์แล้ว ก็แทบจะไม่มีทางผ่านการทดสอบเพื่อเข้าไปฝึกฝนภายในสำนักอัคคี์ได้เลย
แต่หากสอบผ่านการประเมินและได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอัคคี์ ก็จะสามารถเข้าถึงอภิญญาเลิศล้ำที่นิกายอัคคี์สืบทอดต่อกันมาได้ อีกทั้งยังจะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนจำนวนมากรวมไปถึงเคล็ดิญญาที่แตกแขนงแยกย่อยดารดาษอีกด้วย
หากเป็เมื่อก่อน ตัวเขาคงไม่กล้าเพ้อฝันถึงเื่การเข้าไปฝึกฝนในสำนักอัคคี์ ทว่าในตอนนี้ เขาซึ่งได้รับสืบทอดทักษะกลืนิญญามา มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะสามารถทำได้
"เอ๊ะ ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้?"
ในตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงหอบหิ้วทรัพยากรสำหรับฝึกฝนกลับมาถึงบ้านหลังเล็กที่เช่าไว้ เขาก็เผอิญเจอกับไป๋ซีหย่าซึ่งกำลังนั่งพูดคุยกับจีชิงเสวี่ยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ภายในบ้าน
วันนี้ไป๋ซีหย่าสวมชุดกระโปรงยาวโปร่งบางสีเขียวมรกต ผิวส่วนที่โผล่พ้นเสื้อผ้าออกมาขาวเนียนสะท้อนแสงแดดระยิบระยับจนคนสายตาพร่ามัว ท่อนขาเรียวยาวคล้ายกับพิษร้ายพรากชีวิตที่มีเสน่ห์เย้ายวนแสนดึงดูดใจ
"เฉินเฟิง เ้ากลับมาแล้วหรือ?"
เมื่อเห็นเยี่ยเฉินเฟิงยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน จีชิงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มชวนหลงใหลบนใบหน้า ทำตัวเหมือนคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งจะแต่งงานกันหมาดๆ เดินตรงเข้าไปคล้องแขนของเขาแล้วกล่าวอย่างสนิทสนม
"ชิงเสวี่ย คนผู้นี้คือ?"
เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยถาม สายตาเหลือบมองไป๋ซีหย่าผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง และรูปโฉมไม่ได้ด้อยไปกว่าจีชิงเสวี่ย
"นางคือไป๋ซีหย่า เป็สหายสนิทของข้าในเมืองไป๋ตี้แห่งนี้"
"ซีหย่า เขาคือเยี่ยเฉินเฟิง คนที่ข้าตั้งใจจะฝากชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ไว้กับเขา พวกเราลอบสาบานกันอย่างลับๆ แล้ว”
จีชิงเสวี่ยแนะนำตัวอย่างสนิทสนม
‘ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นล่ะ’
ไป๋ซีหย่ามองสำรวจเยี่ยเฉินเฟิงอย่างละเอียด พบว่าดวงตาของเขาดำสนิทราวกับน้ำหมึก ล้ำลึกปานมหาสมุทร อีกทั้งคนที่มีดวงตาล้ำลึกเช่นนี้นางก็รู้จักอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น คือท่านหมอเฉินที่มีทักษะการแพทย์ที่ราวกับปาฏิหาริย์คนนั้น
อีกทั้งรูปลักษณ์ภายนอก รูปร่างและส่วนสูงก็ใกล้เคียงกันมาก ประหนึ่งเป็คนคนเดียวกัน
“เฉินเฟิง นี่คงเป็การพบกันครั้งที่สองของพวกเราสินะ เ้าคือท่านหมอเฉินที่ช่วยท่านปู่ของข้าไว้ใช่หรือไม่?” ไป๋ซีหย่าโพล่งถามอย่างตรงไปตรงมา สายตาวาววับจับจ้องไปที่เยี่ยเฉินเฟิงเพื่อเสาะหาพิรุธ
“ท่านหมอเฉินคือใครหรือ?” จิตใจของเยี่ยเฉินเฟิงมั่นคงแข็งแกร่งเป็อย่างมาก สีหน้าไม่แสดงพิรุธใดใดให้อีกฝ่ายจับได้เลย เขาแสร้งเอ่ยถามด้วยความตื่นตะลึง “เ้าคงจำผิดคนแล้วล่ะ”
“จำผิดคน?”
ไป๋ซีหย่าขมวดคิ้วคล้ายไม่เชื่อ สายตากวาดมองเยี่ยเฉินเฟิงซ้ำไปซ้ำมา ความรู้สึกในใจยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้เยี่ยเฉินเฟิงจะยังเป็เด็กอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน นางถึงรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าคือท่านหมอเฉินผู้นั้น
“ซีหย่า พวกเ้าพูดเื่อะไรกันน่ะ ใครคือท่านหมอเฉิน” จีชิงเสวี่ยเห็นใบหน้าตื่นตระหนกของไป๋ซีหย่าจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ชิงเสวี่ย ยังจำเื่ที่ข้าเพิ่งจะเล่าให้เ้าฟังได้หรือไม่? ข้าคิดว่าเฉินเฟิงเป็คนเดียวกันกับท่านหมอเฉินที่ช่วยชีวิตปู่ของข้าเอาไว้”
ไป๋ซีหย่าพูดขึ้นอย่างไม่ยอมถอดใจ พร้อมกับลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของอีกฝ่าย
“ซีหย่า ข้าว่าเ้าต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ เฉินเฟิงเขาไม่มีแม้แต่จิตอสูร จะไปใช้เข็มเงินรักษาอาการาเ็ได้อย่างไร ถ้าหากเฉินเฟิงมีทักษะการแพทย์ที่เก่งขนาดนั้นจริงๆ ข้าคงพาเขาไปช่วยรักษาาแเรื้อรังของท่านปู่ข้าที่นครหลวงตั้งนานแล้ว” จีชิงเสวี่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ
เพราะการมีอยู่ของสมองกลืนเทวะ จีชิงเสวี่ยจึงไม่สามารถตรวจจับพลังิญญาที่เปลี่ยนแปลงไปของเยี่ยเฉินเฟิงได้ อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาได้ก่อร่างจิตอสูรขึ้นมาแล้ว และยังบรรลุถึงเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสามแล้วด้วย
“ไม่มีจิตอสูรอย่างนั้นรึ”
ไป๋ซีหย่าขมวดคิ้วมุ่น นางรู้ดีว่าถ้าไม่มีจิตอสูร ร่างกายก็ไม่สามารถสร้างพลังิญญาออกมาได้ แต่ท่านหมอเฉินที่ใช้เข็มเงินรักษาในตอนนั้น ได้ปลดปล่อยพลังิญญาออกมาอย่างชัดเจน
“ใช่ แต่ถึงเฉินเฟิงจะไม่มีจิตอสูร แต่พร์ของเขาก็สูงมาก ทั้งยังมีความอดทนต่ออุปสรรคขวากหนาม ขอเพียงแค่เขามีความเพียรพยายาม ในอนาคตจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวได้แน่”
เพื่อให้ไป๋ซีหย่าเชื่อแบบสนิทใจ ว่าตนและเยี่ยเฉินเฟิงตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนวันตายเป็เื่จริง จีชงเสวี่ยจึงแสร้งทำตัวหวานป้อนคำยกยอ
“ขอโทษนะเฉินเฟิง เ้าคล้ายกับท่านหมอผู้นั้นมากจริงๆ ข้าก็เลยเข้าใจผิดไป” ไป๋ซีหย่าแอบถอนหายใจเบาๆอย่างผิดหวัง พร้อมทั้งเอ่ยปากขอโทษอีกฝ่าย
“ไม่เป็ไรหรอก”
เยี่ยเฉินเฟิงยังพอมีความรู้สึกดีต่อไป๋ซีหย่าอยู่บ้าง จึงยิ้มบางๆ ตอบอีกฝ่าย
"นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เฉินเฟิงเ้าพาพวกเราไปเลี้ยงอาหารที่เทียนเซียนจวีหน่อยสิ ข้าคิดถึงรสชาติอาหารที่นั่นสุดๆเลย" จีชิงเสวี่ยเสนอขึ้นมา
"เทียนเซียนจวีออกจะแพงเกินไปหน่อย พวกเรากินกันที่บ้านนี่แหละดีแล้ว" หลังจากซื้อทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกฝนจำนวนมากมาแล้วนั้น เยี่ยเฉินเฟิงที่เหลือเงินติดตัวอยู่แค่ห้าร้อยกว่าตำลึง จึงไม่อยากใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง
"เ้านี่มัน…"
คำตอบที่ได้จากเยี่ยเฉินเฟิงทำเอาจีชิงเสวี่ยแทบกระอักเืตาย ไม่คิดเลยว่าเขาได้เงินจากนางไปตั้งสามแสนตำลึงแล้วยังจะทำตัวขี้งกเช่นนี้อีก แค่ไม่กี่ร้อยตำลึงยังไม่คิดที่จะจ่ายให้อีก
ที่สำคัญคือไป๋ซีหย่าสหายสนิทของนางก็ยังอยู่ข้างๆด้วย แบบนี้จะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ไป๋ซีหย่าที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆก็เผลอทำหน้าประหลาดใจ ในยามนี้นางเชื่อแบบสนิทใจแล้วว่าจำคนผิดไปจริงๆ
ท่านหมอเฉินคนที่นางแอบมีใจให้ ต้องไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้แน่
แต่เท่าที่นางรู้จักกับจีชิงเสวี่ยมา คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและเป็ที่หมายปองของบุรุษนับไม่ถ้วนอย่างนาง ทำไมถึงได้เต็มใจแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มีจิตอสูร ซ้ำยังใจคอคับแคบอย่างเขาได้ลง
สังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของจีชิงเสวี่ย เยี่ยเฉินเฟิงก็ได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ กล่าวขึ้นอย่างไม่เต็มใจ “ก็ได้ พวกเราจะไปกินมื้อเที่ยงที่เทียนเซียนจวีด้วยกัน แต่อย่าสั่งอะไรที่มันแพงมากนักละกัน ข้ามีเงินติดตัวอยู่ไม่มาก”
“รู้แล้ว!” จีชิงเสวี่ยกัดฟันกรอดๆ กระแทกเสียงตอบกลับอีกฝ่าย
ถ้าไม่ติดที่แผนการเพิ่งจะดำเนินการไปไม่ถึงครึ่งทางล่ะก็ จีชิงเสวี่ยที่เพลิงโทสะสุมอยู่ในอกคงได้ฟาดงวงฟาดงากับเ้าเยี่ยเฉินเฟิงจอมงกนั่นแล้ว
เทียนเซียนจวีช่างสมกับเป็โรงเตี๊ยมระดับสูงในเมืองไป๋ตี้จริงๆ รสชาติอาหารแต่ละจานเรียกได้ว่าเลิศรส กลืนลงไปแล้วแต่รสหอมหวนยังติดอยู่ในปาก จีชิงเสวี่ยถึงขนาดกินไปชมไปไม่หยุดปาก ใบหน้างดงามล่มแคว้นปรากฏรอยยิ้มชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
กลับกัน เยี่ยเฉินเฟิงต้องนั่งกินด้วยความทุกข์ตรม เพราะว่าอาหารมื้อนี้แทบจะปล้นเงินของเขาจนเกลี้ยงกระเป๋า หากไม่รีบหาเงินให้ได้เยอะๆ วันข้างหน้าคงได้ทนหิวจนไส้กิ่วแน่นอน
“จริงสิชิงเสวี่ย วันมะรืนนี้เป็วันฉลองครบรอบเจ็ดสิบปีของท่านปู่ข้า ข้าอยากจะเชิญเ้ากับเฉินเฟิงไปร่วมงานเลี้ยงด้วย พวกเ้าพอจะมีเวลาว่างบ้างไหม?” ก่อนจะแยกทางกัน ไป๋ซีหย่าได้เอ่ยปากชวนคนทั้งสอง
“ย่อมต้องว่างอยู่แล้ว วันมะรืนนี้ข้ากับเฉินเฟิงจะไปถึงตรงเวลาแน่นอน” จีชิงเสวี่ยตอบตกลงทันทีแบบไม่ต้องคิด
เยี่ยเฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆทำได้เพียงแค่ทอดถอนใจ หลังจากกินอาหารมื้อหรูมา ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาก็เหลืออยู่เพียงยี่สิบกว่าตำลึง ซื้อกระดาษห่อของขวัญยังไม่พอเลย
“เยี่ยมไปเลย ถ้างั้นเจอกันวันมะรืนนะ”
ไป๋ซีหย่าแย้มยิ้มสดใสทรงเสน่ห์หลังจากที่แยกทางกับเยี่ยเฉินเฟิงและจีชิงเสวี่ยที่ด้านนอกโรงเตี๊ยมเทียนเซียนจวี
