จวินเหยียนเลิกคิ้วมองนาง สตรีนางนี้ร้ายกาจจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าหากมิใช่เนื้อ เขาผู้นี้จะไม่ชอบใจ แต่ก็ยังคงคีบเพียงผักต่างๆ ให้เขา
การแก้แค้นที่สาสมที่สุดก็คือการจับจุดตายและจุดอ่อนของอีกฝ่ายไว้ให้ได้แล้วกระทำการขยี้มันอย่างบังอาจ
อวิ๋นซีมองเขาด้วยสีหน้าราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ ก่อนจะถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง ผักที่หม่อมฉันคีบให้ไม่ถูกพระทัยหรือเพคะ? ”
คำว่าท่านอ๋องที่นางเรียกขานช่างอ่อนหวานเป็อย่างยิ่ง จวินเหยียนที่เดิมทีคิดจะโต้กลับสักสองสามประโยคเมื่อได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของนาง อารมณ์โกรธก็หายไปสิ้น เขายิ้มแล้วตอบกลับอย่างนุ่มนวล “ไม่เลย ผักที่ชายาคีบให้ เปิ่นหวางย่อมต้องถูกใจอยู่แล้ว”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ทำทีเป็ดีใจ แล้วคีบผักอีกหลายชนิดวางลงในถ้วยของเขา “ที่แท้ท่านอ๋องก็โปรดเสวยผักหรือนี่ เช่นนั้นในวันหน้าหม่อมฉันจะให้ห้องเครื่องตระเตรียมอาหารจำพวกผักให้มากขึ้นอีกหน่อย”
บุรุษน่ารังเกียจ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะยังทนอยู่ได้
จวินเหยียนคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกรุกฆาตเข้าให้ ทว่าเขาไม่ได้เสียใจเลยสักนิดกับสิ่งที่ตนพูดออกไป ส่วนเื่การกินผักนั้น...เขาได้แต่หัวเราะหึหึ “ชายาเป็วิชาแพทย์ จึงตั้งใจให้เปิ่นหวางกินผักให้มากขึ้น เพราะการกินผักนั้นดีต่อสุขภาพ ดังนั้นเมื่อได้เห็นเ้าเป็ห่วงสุขภาพของเปิ่นหวางมากถึงเพียงนี้ เปิ่นหวางก็ดีใจมากจริงๆ ”
อวิ๋นซีแทบจะกระอักเืสดๆ ออกมา บุรุษผู้นี้ต้องจงใจเป็แน่ ช่างกะล่อนเสียจริง ทั้งยังพลิกลิ้นเก่งจนไหลไปได้เรื่อยๆ ดียิ่ง ในเมื่อท่านอยากจะกินผักมากเพียงนั้น ข้าก็จะตอบสนองความปรารถนานี้ของท่านให้ดี “หมัวมัว [1] ไปบอกห้องเครื่อง นับแต่พรุ่งนี้เป็ต้นไปสำรับของข้าและท่านอ๋องให้เปลี่ยนมาเป็อาหารจำพวกผักทั้งหมด แล้วก็ห้ามทำเกินห้าอย่าง เช่นนี้สิจึงจะกำลังพอดี”
เมื่อจวินเหยียนได้ยิน มือก็ชะงักค้างไป ก่อนจะถามอย่างไร้เสียงว่า แม่นาง ต้องเล่นกันแรงเพียงนี้เชียวหรือ
อวิ๋นซีทำเป็มองไม่เห็นสายตาเขา และมองเลยไปทางหมัวมัวที่กำลังอึ้งงั้นไปอย่างมิอาจดึงสติตนให้กลับมาได้ “ทำไมหรือ? คำพูดของข้า เ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร? ”
เมื่อหมัวมัวได้ยินก็รีบหันมองไปทางจวินเหยียน
จวินเหยียนพยักหน้า “ทำตามที่พระชายาว่านั่นล่ะ ตอนนี้นางเป็นายหญิงแห่งจวนอ๋องแล้ว วันหน้าเื่ในเรือนชั้นในก็ให้พระชายาเป็ผู้ดูแล คำพูดของพระชายาเทียบเท่าคำพูดข้า หากมีผู้ใดกล้าขัดขืนหรือไม่ทำตามคำสั่งนาง ก็จงตัดมือตัดเท้าคนเ่าั้แล้วขับออกไปจากจวนนี้เสีย”
ถึงแม้เขาจะพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงน่าฟัง ทว่าเมื่อเข้าหูของบรรดาสาวใช้และผอจื่อที่ด้านนอก ถ้อยคำนั้นก็ราวกับหิมะเดือนหก [2] ท่านอ๋องคิดจะสร้างอำนาจให้พระชายา? พวกเขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าท่านอ๋องจะโปรดปรานและเชื่อใจพระชายาองค์นี้ถึงเพียงนี้
อวิ๋นซีเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า บุรุษผู้นี้จะยอมตนถึงเพียงนี้ นางมองไปยังเขา และเห็นอีกฝ่ายกำลังเริ่มก้มหน้าก้มตากินอาหารไปแล้ว ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาดูสง่างามเสียเหลือเกิน ไม่เหมือนกับโอวหยางเทียนหัวที่เคร่งครัดอยู่เพียงในกรอบ นอกจากนี้ บนร่างเขายังมีกลิ่นอายสบายๆ แฝงอยู่ ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางจึงได้รู้สึกว่า ชายหนุ่มข้างๆ ช่างน่ามองยิ่ง หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ดูแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้ท่อนซุง
เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว จวินเหยียนก็ให้เด็กรับใช้และผอจื่อทั้งหมดถอยออกไป เพื่อทิ้งให้พวกเขาทั้งสองได้นั่งจ้องตากันและกันอยู่ภายในห้อง เวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็ปริปากพูด “พรุ่งนี้ลู่เหวินเจิ้นจะมาที่จวน บอกว่ามีเื่บางอย่างที่อยากจะหารือกับข้า เดิมทีตัวข้านี้ไม่มีชายา เขาจึงได้มาที่นี่เพียงลำพัง ทว่าตอนนี้ในจวนอ๋องมีเ้าเป็นายหญิงแล้ว ข้าจึงเดาว่า เขาอาจพาสตรีแซ่สือมาด้วย และบางทีลู่อวี้ฉิงเองก็อาจจะตามมาด้วย”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยิน ก็แค่นเสียงเ็า “วันพรุ่งเป็วันที่สองของการแต่งงานระหว่างท่านกับข้า ลู่เหวินเจิ้นคงแทบอดรนทนไม่ไหวจึงต้องเร่งรี่เข้ามาหาข่าว” จวินเหยียนแต่งงานอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าการตัดสินใจนี้ต้องส่งผลกระทบเป็อย่างยิ่งต่อลู่เหวินเจิ้น อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ในนครหานโจวก็เคยมีข่าวลือแพร่ออกไปว่า หานอ๋องชมชอบบุรุษ ซึ่งก็เป็ที่น่าเชื่อว่า ข่าวนี้เองก็คงแพร่ไปถึงเมืองหลวงแล้วเช่นกัน ทว่าจู่ๆ หานอ๋องผู้นี้กลับมาแต่งภรรยาเสียอย่างนั้น หากลู่เหวินเจิ้นยังคงนั่งอยู่ได้ นี่สิถึงจะแปลก
“เขาอยากจะมาก็ให้มาเถิด เพราะตัวข้าเองก็ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เขากลับไปอย่างผิดหวังเป็แน่” จวินเหยียนยิ้มรับบางๆ สำหรับการลอบมาสืบข่าวคราวที่แสนจะบ่อยครั้งเช่นนี้ของลู่เหวินเจิ้น ทำให้จวินเหยียนเห็นเป็เื่ปกติไปนานแล้ว
ลู่เหวินเจิ้นเป็ถึงนายอำเภอแห่งนครหานโจว มิหนำซ้ำยังเป็คนขององค์รัชทายาท ทั้งยังนับเป็ขุนนางใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่ที่ติดชายแดน ดังนั้น หลายปีมานี้ไม่ว่าลู่เหวินเจิ้นคิดจะกระทำการใดล้วนต้องระมัดระวังรอบคอบ ถึงกระนั้นต่อให้จวินเหยียนคิดอยากจะลงมือกับเขา ก็ยังนับว่าไม่ง่ายดายนัก ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ตัวเขาจะไม่สามารถลงมือกำจัดคนผู้นี้ได้ ลู่เหวินเจิ้นเองก็ไม่สามารถหาประโยชน์จากอ๋องผู้ที่รู้จักเพียงการดื่มกินผู้นี้ได้เช่นกัน
อวิ๋นซีมองเขา ยิ้มบางๆ แม้ลู่เหวินเจิ้นจะถือว่ามีฝีมืออยู่นิดหน่อยก็จริง แต่เมื่อมาเจอกับหานอ๋องผู้นี้ เขาก็นับว่าโชคร้ายยิ่งแล้ว เพราะคนทั่วหล้าล้วนคิดไปว่า ท่านผู้นี้เป็คนที่ไม่สนใจในความทุกข์ร้อนของชาวประชา และเป็คนที่รู้จักแต่การกินดื่มหาความสำราญ แต่ว่า คนเ่าั้กลับไม่ได้ลองขบคิดให้ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย เพราะการที่หานอ๋องถูกเนรเทศมาอยู่หานโจวนี้ เงินในแต่ละเดือนที่ทางราชสำนักมอบให้จะมีสักกี่มากน้อยที่ส่งมาถึงจวนหานอ๋องจริงๆ ?
ทว่า หานอ๋องก็ยังมีกินมีใช้ ข้ารับใช้มากมาย คนกลับทำได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งหากไม่มีเงินก็คงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
ตอนค่ำ เมื่ออวิ๋นซีอาบน้ำชำระกายเสร็จแล้ว จวินเหยียนก็จ้องมองสตรีที่สวมเพียงเสื้อตัวในสีม่วงอ่อนแล้วพูดว่า “เื่ที่ข้ากับเ้าแต่งงานกันจักต้องไปถึงหูของเสด็จแม่ข้าอย่างแน่นอน ดังนั้น คืนนี้หากเราไม่ทำอะไรเสียหน่อยก็คงไม่สามารถทำให้งิ้วฉากนี้เล่นต่อไปได้”
นางขมวดคิ้วพลางขบคิด “ในจวนอ๋องนี้มีคนของฮองเฮา” เมื่อคิดไปถึงฮองเฮาผู้สูงส่งท่านนั้น สายตาของนางก็ทอประกายเ็าเล็กน้อย เพราะหลังจากที่ตนแต่งให้โอวหยางเทียนหัวแล้ว สตรีนางนั้นก็ได้สร้างความลำบากให้ไม่น้อย อีกทั้ง ในตอนหลังยังถึงกับพระราชทานสมรสให้ลู่หลิงฉิงและโอวหยางเทียนหัว หากพูดให้น่าฟังก็คือเป็การล้างความอัปมงคลให้นาง แต่เจตนาที่แท้จริงกลับเป็การยืมคำพูดนี้มาเพื่อจัดการนาง
นางรู้ดีว่าในตอนนั้นก่อนที่จะมีการแต่งตั้งรัชทายาท ถึงแม้จวินเหยียนจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ทว่าฮองเฮากลับมีองค์ชายที่ตน้าจะสนับสนุนอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น องค์ชายพระองค์นั้นยังเป็โอรสที่ลูกผู้น้องหญิงฝั่งมารดาของนางเต๋อเฟยเป็ผู้ให้กำเนิด องค์ชายห้า โอวหยางเทียนซื่อ ซึ่งในตอนนั้นก็คือองค์ชายองค์เล็กที่ฮองเฮาโปรดปรานมากที่สุด ดังนั้นจึงมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดว่ามีความเป็ไปได้สูงที่เขาจะได้กลายมาเป็รัชทายาท แต่สุดท้ายกลับเป็เฉียวอวิ๋นซีที่ทำลายแผนการเ่าั้ ฮองเฮาจึงเคียดแค้นคนตระกูลเฉียวและเฉียวอวิ๋นซีเข้ากระดูกดำ
“อืม” จวินเหยียนพยักหน้า ในจวนอ๋องนี้จะไม่มีคนของพระมารดาอยู่ได้อย่างไร เขาหัวเราะเ็าด้วยความเยาะหยัน “จวนอ๋องนี้ มีหลายคนที่เป็คนของเสด็จแม่ ดังนั้นการกระทำทุกอย่างของข้าที่นี่ ทางฝั่งเมืองหลวงย่อมรับรู้ทั้งหมด”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็มองไปทางเขาอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงไม่สังหารคนเ่าั้เสีย”
จวินเหยียนมองนางไปทีหนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้าอย่างปลงๆ เล็กน้อย “ไม่มีประโยชน์หรอก แรกเริ่มตัวข้าเองก็เคยคิดจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารคนเ่าั้ให้สิ้น ทว่า หากสังหารไปแล้ว ทางฝั่งนั้นก็จะส่งคนมาเพิ่มอีกชุดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็พระมารดาข้าย่อมต้องเป็ห่วงบุตรชายถึงได้ส่งคนมาให้ ด้วยเื่นี้ถือเป็เื่ปกติยิ่ง ซึ่งคนนอกย่อมไม่มีทางจะคิดเป็อื่น อีกทั้ง หากข้าสังหารคนเ่าั้ที่มาจากเมืองหลวงจริงๆ ละก็ ย่อมต้องกลายเป็คนอกตัญญูยิ่ง”
เมื่อนางได้ยินแล้วก็พยักหน้า เป็เช่นนั้นจริงๆ ครั้งสองครั้งคงไม่มีใครว่าอะไร ทว่าหากสังหารไปมากนัก คนนอกก็จะต้องพบเห็นความผิดปกติแน่ และเมื่อถึงตอนนั้น หากเื่เหล่านี้แพร่ไปถึงหูของฮ่องเต้ นางก็คาดว่าจวินเหยียนคงจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากยิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้เห็นท่าทีขบคิดอย่างหนักของนาง จวินเหยียนก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “วันหน้ามีเ้าอยู่ข้างกาย ข้าเชื่อว่าเ้าจักต้องมีวิธีถอนตะปูเหล่านี้ออกไปได้แน่” เขามักจะเชื่อใจสตรีผู้นี้อย่างประหลาด ทั้งยังรู้สึกว่าไม่ว่าเื่ใดเมื่อมาถึงมือนางแล้วย่อมต้องคลี่คลายได้ดีเป็แน่
อวิ๋นซีคิดจะโต้กลับไปสองสามประโยค ทว่าเขากลับเขยิบกายเข้ามาใกล้เสียก่อนพร้อมยิ้มให้และพูดว่า “ชายารัก นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้เป็คืนเข้าหอของเราสอง อย่าได้ทำให้ฤกษ์งามยามดีเหล่านี้ต้องเสียไปเปล่าเลย”
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หมัวมัว(嬷嬷)หมายถึง แม่นมผู้มีอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว
[2] หิมะเดือนหก(六月寒冰)หมายถึง คำพูดที่หนาวเหน็บทำร้ายจิตใจคนเปรียบเทียบว่าถึงแม้จะอยู่ในเดือนหก (มิถุนายน) ซึ่งเป็หน้าร้อนก็ยังรู้สึกเหมือนถูกหิมะโหมใส่