ตูม!
ทั่วทุกอณูในร่างกายราวกับถูกบดอัดจนแหลกละเอียดขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไปคล้ายเป็สัญญาณอันตรายที่บอกว่าข้าจะตายในอีกไม่ช้า
ทว่ากระแสความร้อนในร่างกายกลับแผ่กระจายไปทั่วและสะสมรวมกันเป็พลังอันแข็งแกร่ง หรือความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็การฟื้นคืนชีพของแก่นแท้ิญญา!
อีกนิดเดียวเท่านั้น!
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าเฉิ่นปู้หยุนกำลังหัวเราะเยาะให้กับสภาพที่เต็มไปด้วยเืแต่ก็ไม่วายฝืนยิ้มและพูดเย้ยอีกฝ่าย “ท่านเป็ถึงจอมยุทธ์ในอันดับัแต่พอเอาเข้าจริงกลับไร้เรี่ยวแรงเหมือนกับไม่ได้กินข้าวมาเสียอย่างนั้น?”
“เ้ามันรนหาที่ตาย!”
เฉิ่นปู้หยุนตวาดลั่นก่อนจะกระแทกหมัดที่หนักอึ้งดั่งลูกเหล็กเข้าที่หัวใจเต็มแรง!
ตึง!
ร่างกายขดเกร็งจากแรงหมัดหัวใจเหมือนกับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดความปวดร้าวอันแสนสาหัสมันมากเกินกว่าจะบรรยายออกมาทั้งหมดได้
ทว่าหมัดนี้กลับไม่ได้มอบความตายให้แก่ข้าแต่คือการฟื้นคืนชีพขึ้นมาแทน!
หมัดสุดท้ายของเฉิ่นปู้หยุนได้ปลดความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ในส่วนลึกของจิตใจราวกับทลายสิ่งกีดขวางเพื่อให้สายน้ำได้ไหลกลับสู่ห้วงมหาสมุทร
พลังภายในยังคงไหลเวียนและถูกหล่อหลอมใหม่อย่างรวดเร็วแม้กระทั่งาแตามร่างกายก็หายเป็ปลิดทิ้ง พละกำลังมหาศาลก็หวนกลับสู่ร่างกายภายในสมองเกิดแสงสว่างวาบแล้วเปลี่ยนเป็ภาพเคลื่อนไหวของหมู่เมฆบนท้องฟ้าและแสงแห่งพลังิญญาที่ปรากฏชัดยิ่งขึ้น
การฟื้นคืนชีพของแก่นแท้ิญญา!”
เปิดตาทิพย์แก่นแท้ิญญาฟื้นคืน!”
ในที่สุดข้าก็ปลดผนึกพลัง และพัฒนาศักยภาพขึ้นไปอีกขั้น!
เสื้อผ้าที่เคยขาดหลุดลุ่ยและร่องรอยาแค่อยๆ หายไปเพียงพริบตาเดียวข้าก็ลุกขึ้นยืนท่ามกลางกองเืเปรอะเปื้อน
สภาพร่างกายหลังจากการฟื้นคืนชีพทั้งาแที่สมานจนสนิท มัดกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ผิวพรรณที่ผุดผ่องและเมื่อมองผ่านตาทิพย์จะเห็นว่ากระดูกและระบบภายในกลับมาสมบูรณ์ปกติดังเดิมทั้งหมดนี้ยืนยันได้ว่าข้าบำเพ็ญขั้นหลอมปราณจนถึงระดับเซียนแล้ว!
เฉิ่นปู้หยุนตะลึงไปชั่วขณะแต่ไม่นานก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ “ดี ดี!เป็อย่างนี้นี่เอง ไม่กลัวตายอย่างที่คิดสินะ เ้านี่ช่างไม่เหมือนใครจริงๆข้าชอบ! ตอนนี้เ้ายังรู้แค่เพลงข้าแต่กลับไม่รู้การเคลื่อนไหวพรุ่งนี้เวลาเดิมมาเจอกันที่นี่ ข้าจะสอนการเคลื่อนไหวให้เ้าเอง!”
“ขอบคุณมาก...ท่านอาจารย์”
ขณะนั้นจู่ๆ ฝูงนกก็พากันแตกรังบินขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะปรากฏเงาของใครคนหนึ่งออกมาจากยอดเขาเมื่อพินิจจากแสงที่คุ้นตาก็พอจะรู้ว่าเป็กระจกเพลิงทิวากรของพี่เสวียนยินหรือที่จริงนางคอยจับตาดูข้าอยู่ตลอดหากเฉิ่นปู้หยุนเกิดพลั้งมือฆ่าข้าขึ้นมาจริงๆ นางก็คงไม่ปล่อยให้เขาลอยนวลไปง่ายๆแน่
“เอาล่ะแยกย้ายกันได้แล้ว!”
เฉิ่นปู้หยุนประกาศกร้าวกับลูกศิษย์พวกนั้น“ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปไม่ต้องขึ้นมาฝึกที่นี่อีกแล้วข้าจะไม่รับคำท้าของใครหน้าไหนอีก!”
หมายความว่าเฉิ่นปู้หยุนจะรับข้าเป็ผู้สืบทอดวิชาแล้วอย่างนั้นหรือ?
ตำแหน่งปรมาจารย์นักรบิญญาเป็สิ่งที่ทุกคนเคารพพอเฉิ่นปู้หยุนพูดจบลูกศิษย์ต่างก็ค่อยๆ ทยอยกันลงเขาอย่างว่าง่าย เพราะฉายาที่ว่า‘เ้าบ้าเฉิ่นปู้หยุน’ เป็ชื่อที่ใครต่างก็รู้จักดีและไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
...
“ซูเหยียน เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?”
ข้าเดินออกมาจากป่าอย่างรีบร้อนเป็จังหวะเดียวกับที่เห็นตั้นไถเหยากำลังพยุงซูเหยียนขึ้นมาพอดีแขนของนางแดงเถือกจากการถูกหมัดของเฉิ่นปู้หยุนทำร้ายมา
“ฮึเ้าบ้าคนนี้!”
ตั้นไถเหยาขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น“นึกไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ซูเหยียนก็ยังกล้าทำร้ายมิน่าล่ะทุกคนต่างเรียกเขาว่าเ้าบ้าเฉิ่นปู้หยุน!”
ข้าพยุงซูเหยียนลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้น“ไปกันเถอะ ไปที่ห้องพยาบาลทำแผลให้เรียบร้อยก่อน เดี๋ยวข้าไปส่ง”
สีหน้าของนางซีดลงนิดหน่อยแล้วถามกลับ “เ้าคนกินจุ เ้าาเ็หนักขนาดนั้นทำไมจู่ๆ ถึงหายดีแล้วล่ะ?”
“เื่มันยาวน่ะ ไปห้องพยาบาลก่อนแล้วกัน”
“อืม...”
...
ถึงทางเดินลงเขาจะไม่ไกลแต่ก็ไม่ได้ใกล้ซะทีเดียว
หลังจากปลดผนึกพลังแล้วการตอบสนองของร่างกายก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนกระทั่งรับรู้ได้ถึงเงารางๆ ในความมืด ราวกับมีคนกำลังติดตามพวกเราอยู่เมื่อพวกเราเดินเงานั้นก็เดินตาม แต่พอพวกเราหยุดมันก็หยุดเช่นกันถ้าทายไม่ผิดคงจะเป็องครักษ์ของซูเหยียนที่เล่าลือต่อกันมาอย่างลุงหลงนั่นเอง
แต่หากพิจารณาจากพลังที่แผ่ออกมาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าท่านลุงหลงท่านนี้มีพลังที่เหนือกว่าข้าหลายเท่าจึงไม่จำเป็ต้องพยายามหาเขาให้เสียเวลา
ตั้นไถเหยาพยุงแขนข้างที่าเ็ของซูเหยียนข้าจึงพยุงแขนอีกข้างแต่เมื่อถึงตีนเขากลับกลายเป็ซูเหยียนที่จับแขนของข้าไว้ให้พานางเดินไปเองข้าหันกลับไปมองนางในบางครั้ง ก็ได้เห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อสวยงามค่ำคืนนี้ไม่มีสิ่งใดสวยงามไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ณห้องพยาบาล ตรวจพบว่าเป็แค่แผลถลอก
ซูเหยียนเป็ผู้ฝึกฝนิญญาในขั้นผู้พิทักษ์ระดับ์นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเฉิ่นปู้หยุนแข็งแกร่ง ก็คงไม่มีอะไรมาทำร้ายนางได้เหมือนกัน
แสงจันทร์สีเหลืองนวลจากด้านนอกสาดส่องยังพื้นถนนของสำนักโรงเกลากระบี่อยู่ไม่ไกลจากที่พักของพวกนางเท่าไร
ทำให้พวกเรายังเดินอยู่บนทางเดียวกันอยู่
ซูเหยียนขมวดคิ้วด้วยความกังวล
“เป็อะไรไปล่ะ?” ตั้นไถเหยาถามพลางยิ้ม“ดูท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจ?”
ซูเหยียนห่อปากแล้วพูดขึ้น“เดิมทีข้าก็คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอแล้วาแต่คิดไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงหมัดเดียวของเฉิ่นปู้หยุนจะะเิชุดเกราะรบของข้าจนขาดรุ่ยและาเ็ได้ขนาดนี้...อาเหยาขอบคุณเ้ามากสำหรับการถ่ายพลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับข้า มิฉะนั้นเกรงว่าถ้าข้าโดนหมัดของเฉิ่นปู้หยุนโจมตีอีกเพียงแค่หมัดเดียวคงตายไปแล้วล่ะ...”
จริงๆแล้วก็แค่ทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองจึงกลายเป็าแในใจ
ข้าอดยิ้มออกมาไม่ได้
ซูเหยียนหันกลับมามองข้า“เ้าคนกินจุ เ้ายิ้มอะไร?”
ข้าพูด“การแพ้ชนะเป็เื่ปกติ ยิ่งกับผู้ที่มีฝีมือสูงเป็ลำดับที่ 7 ในอันดับัอย่างเฉิ่นปู้หยุนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่ากันว่าเขาคือผู้มีฝีดีในขั้นผู้พิทักษ์ระดับ์ สูงกว่าเ้าถึงสี่ขั้นเต็มๆหนึ่งขั้นเท่ากับหนึ่งชั้นฟ้านี่ห่างกันถึงสี่ขั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยการที่จะใช้หมัดเดียวแล้วเห็นผลแพ้ชนะแบบนี้มันก็เื่ธรรมดา”
ซูเหยียนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไร“เ้าคนกินจุ ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป เ้าก็จะได้รับการถ่ายอดวิชาจากเฉินปู้หยุนแล้วเกียรติยศอันสูงส่งก็คงมีแค่เ้าคนเดียวที่ได้รับแล้วอีกอย่างพลังพร์ของเ้าก็ถูกปลุกขึ้นมาแล้วทั้งยังมีความรู้พื้นฐานของวิชาลมหายใจัอีกและอีกไม่นานก็จะหลุดพ้นจากการเป็ศิษย์ตัวสำรองแล้วสินะ”
“ก็อาจจะ แต่ใครจะรู้ล่ะ? ถึงที่พักหญิงแล้ว ข้าส่งถึงตรงนี้นะ”
“อืม”
...
ท่ามกลางความมืดเดิมทีก็อยากจะมุ่งกลับไปที่โรงเกลากระบี่เลย แต่พอคิดดูอีกทีไปหาพี่เสวียนยินก่อนดีกว่า
บ้านของนางเงียบสงัดแต่ขณะที่ข้าเดินเข้าไปใกล้กลับพบว่ามีองครักษ์สองสามคนกำลังลาดตระเวนอยู่นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงอีกคนที่สวมเครื่องแบบอาจารย์ยืนอยู่และนั่นก็คือสวี่ลู่นั่นเอง
“เ้าเด็กนี่ยังนับว่ายังรู้บาปบุญคุณโทษ ในที่สุดก็มานะ!”
สวี่ลู่เดินเข้ามาพร้อมกับตบบ่าแล้วพูดว่า“เ้าเข้าไปแล้วก็ระวังคำพูดให้ดีหน่อยล่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?” ข้าถามอย่างงุนงง
สวี่ลู่ขมวดคิ้วพูดขึ้น“หลังจากนางกลับมาจากเขาลั่วเซี่ยก็เอาแต่หลบอยู่ในห้องแล้วร้องไห้เ้าผ่านความเป็ความตายมาอย่างโชกโชนเลยไม่ได้คิดอะไรแต่เ้ารู้บ้างไหมว่านางก็เคยผ่านมาเหมือนกับเ้าเช่นกันแต่ถ้าเ้าตายอยู่ในเงื้อมมือของเฉิ่นปู้หยุนจริงๆข้าเชื่อเลยว่านางจะฆ่าเฉิ่นปู้หยุนเพื่อแก้แค้นให้เ้าแน่นอนเฮ้อ...เด็กดื้ออย่างเ้าไม่รู้เลยสินะว่านางเป็ห่วงเ้ามากขนาดไหน”
พูดจบนางก็ผายมือเชื้อเชิญข้าเข้าไปข้างใน “เ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ”
“อืม”
ข้าก้าวเท้าไปข้างหน้าผลักประตูเปิดเข้าไป ในห้องรับแขกไม่ได้เปิดไฟ ข้าจึงถือวิสาสะเปิดไฟให้สว่างก็เห็นปู้เสวียนยินนอนอยู่บนโซฟาด้วยดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยบนตัวมีเสื้อกันหนาวผืนใหญ่คลุมไว้เหมือนกับว่านางเพิ่งจะผล็อยหลับไปก่อนที่ข้าจะเข้ามาเพียงพักเดียว
“เสี่ยวเชวียน เ้ามาได้ยังไง?” นางถามด้วยความใ
“มาเยี่ยมท่านไงล่ะ”
ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเื่ที่นางไปเขาลั่วเซี่ยแต่กลับตรงเข้าไปรินน้ำให้นางแล้วว่าพลางยิ้ม “ท่านพี่ ข้าผ่านการทดสอบนี่แล้วนะน้ำยาพันิญญาของท่านมีประโยชน์มากจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำให้ข้าปลดพลังในร่างได้แต่ข้ายังได้รับการยอมรับจากเฉิ่นปู้หยุนและยินดีถ่ายทอดวิชาเพลงขากับการเคลื่อนไหวให้ข้าด้วย”
“จริงหรือ?”
นางยิ้มขึ้นแล้วพูด“ข้านึกอยู่แล้วว่าเ้าต้องทำได้ มา มา! ข้าจะมัวแต่นอนต่อได้ยังไง ป้ะ!ออกไปกินมื้อดึกกันข้าเลี้ยงเองเป็ไง?”
“เอาสิ”
“ไปกันเถอะ”
นางเอาเสื้อกันหนาวผืนใหญ่คลุมไว้บนไหล่เพื่อบดบังร่างกายที่อ่อนแอจากนั้นจึงเรียกสวี่ลู่ให้ออกไปกินของอร่อยด้วยกัน
ครั้งที่แล้วกินเนื้อแกะครั้งนี้จึงเปลี่ยนมากินเนื้อวัวแทนมื้อนี้ท่านพี่เลี้ยงจึงไม่เสียเงินเลยสักเหรียญ แถมยังอิ่มไปอีกหนึ่งมื้อด้วย
พอกลับมาก็ดึกมากแล้ว
เมื่อส่งปู้เสวียนยินกลับห้องแล้วข้าจึงขอตัวกลับ ทว่าใต้แสงจันทร์นั้นยังมีสวี่ลู่ที่ยืนอยู่ เมื่อเห็นข้าออกมานางก็ถามขึ้น“นางหลับแล้วเหรอ?”
“อืม เห็นบอกว่าอาบน้ำเสร็จก็จะนอนแล้ว”
“ต่อไปเ้าต้องมาหานางบ่อยๆ” สวี่ลู่พูดเป็นัย“อย่ามัวแต่อยู่กับซูเหยียนและตั้นไถเหยาทั้งวันล่ะถึงแม้ว่าการหาคนรักเป็เื่สำคัญ แต่ยังไงพี่สาวก็สำคัญไม่แพ้กันนะ ใช่ไหม?”
ข้าได้แต่ทำตัวไม่ถูกจึงพูดขึ้น“พี่ลู่ ท่านอยากพูดอะไร พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า”
สวี่ลู่พยักหน้าแล้วมือชี้ไปที่ดอกไม้สีขาวในสวนของพี่เสวียนยินแล้วพูดขึ้น“เ้ารู้ไหมว่าดอกไม้ชนิดนี้ชื่อว่าอะไร?”
“ได้ยินว่าเป็ดอกไม้ที่มาจากทางใต้ ที่เรียกว่าดอกผีผา”
“แล้วเ้ารู้ไหมว่าความหมายของดอกผีผานี่คืออะไร?” นางมองมาที่ข้าอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่งแล้วถาม
ข้าได้แต่ส่ายหน้า“ข้าก็ไม่รู้ มันคืออะไร?”
สวี่ลู่พูดอย่างไพเราะว่า“มันหมายถึงความโดดเดี่ยว น่าเกรงขาม ความกดดัน และความโดดเดี่ยว...”
ข้าย่นคิ้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
สวี่ลู่มองขึ้นไปข้างบนห้องที่มีไฟส่องสว่างและพูดขึ้นเบาๆ ว่า “นางคือเทพศาสตราหญิง และเป็ถึงรองเ้าสำนักหมื่นิญญาความแข็งแกร่งไม่มีใครเทียบเท่าได้แถมยังมีกระจกเพลิงทิวากรที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าเสนอตัวเป็ศัตรูนางคือตัวแทนแห่งความแข็งแกร่ง เป็ดั่งแสงจากดวงดาวที่ส่องสว่างให้กับโลกใบนี้แต่นางกลับโดดเดี่ยว ตัวคนเดียวั้แ่ไหนแต่ไรมาหลายปีมานี้ในสายตาของข้ารู้สึกสงสารนางมาก แต่เมื่อเ้ามา...” สวี่ลู่มองข้าแล้วพูดขึ้น “รอยยิ้มของนางในสามวันนี้ยังมากกว่าสามปีก่อนเสียอีกเ้าผู้เป็น้องชายที่นางรักอย่างสุดหัวใจ ฉะนั้นเ้าเองก็ควรมาหานางให้บ่อยขึ้นนะ”
ลมพัดเย็นพัดโชยมาปะทะผิวก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน “ข้ารู้ว่าข้าควรทำอะไรทุกครั้งมีท่านพี่คอยปกป้องข้าอยู่ตลอด แต่ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้เพื่อที่สักวันหนึ่งข้าจะเข้มแข็งพอที่จะปกป้องนางบ้าง และจะไม่ให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายนางได้อีก”
สวี่ลู่ยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น“เ้าเด็กน้อย จะพูดว่าเ้าโง่เ้าก็ไม่ได้โง่ เ้ารู้ตัวเองก็ดีแล้วงั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะ”
“อืม ได้”
...
ระหว่างทางกลับโรงเกลากระบี่ในใจก็ผุดคิดเื่ต่างๆ ขึ้นมา ที่สวี่ลู่พูดก็ถูก เพราะการมีพี่สาวแบบนี้คือความโชคดีที่สุดในชีวิตข้า