หญิงชุดเหลืองดูเกรงใจเป็พิเศษ และยังตอบรับคำขอร่วมเดินทางของอีกฝ่าย ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังปฏิเสธเย่เฟิงเสียงแข็งด้วยท่าทีเ็า
“ข้าชื่อหวังิ คนของตระกูลหวังแห่งเมืองหลวง” ชายชุดขาวแนะนำตน จากนั้นแสงสว่างจ้าครู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาพร้อมเสื้อผ้าสตรีในมือของหวังิ ก่อนเขาจะยื่นไปให้หญิงชุดเหลือง ฉากนี้ทำให้หญิงชุดเหลืองตาเป็ประกายและชื่นชมหวังิยิ่งกว่าเดิม จากนั้นนางรับเสื้อมาคลุมตัวทันที
“สวัสดีคุณชายหวัง ข้าซุนจิ้ง ส่วนศิษย์พี่ข้าท่านนี้คือไป๋หลิง” หลังจากหญิงชุดเหลืองรู้ฐานะของหวังิ นางก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ตระกูลหวังแห่งเมืองหลวงอยู่ระดับเดียวกับตระกูลเฉิน แต่คนรักของซุนจิ้งเป็เพียงบ่าวรับใช้ระดับสูงของตระกูลเฉิน แล้วจะเทียบกับนายน้อยตระกูลหวังที่สูงส่งผู้นี้ได้อย่างไร
“ตระกูลหวังแห่งเมืองหลวง?” เย่เฟิงขมวดคิ้วและเข้าใจได้ในทันที ชายหนุ่มผู้นี้ที่มีนามว่าหวังิอยู่ตระกูลเดียวกับหวังหลงที่เขาฆ่าไปก่อนหน้านี้ และสองคนนี้อาจเกี่ยวข้องกันก็เป็ได้
“สวัสดีแม่นางไป๋!” หวังิทักทายไป๋หลิงอย่างสุภาพ ไป๋หลิงก็พยักหน้าให้หวังิเล็กน้อย แต่ในใจกลับไม่ยินดีที่จะให้หวังิเข้าร่วมกลุ่มด้วย อย่างไรเสียพวกนางก็ไม่รู้จักหวังิผู้นี้ แต่ในเมื่อซุนจิ้งตอบรับอีกฝ่ายไปแล้ว ไป๋หลิงก็พูดอะไรไม่ได้
“คนนี้คือ?” หวังิถามขณะหันไปมองเย่เฟิง
“แค่บังเอิญเจอระหว่างทาง คุณชายหวังอย่าไปสนใจเขาเลย” ซุนจิ้งกล่าวและไม่คิดแนะนำเย่เฟิงให้หวังิรู้จัก
“อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 แต่เข้าร่วมการทดสอบ เกรงว่าพวกเ้าจะคุ้มครองคนผู้นี้มาตลอดทางสินะ?” หวังิหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางมีท่าทีดูแคลน เขาอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 มีฐานะในตระกูล แน่นอนว่าเขาไม่มีทางสนใจคนอย่างเย่เฟิง
“ไม่ใช่ ข้าสองพี่น้องมาถึงที่นี่ไม่ง่ายเลย แต่ตอนนี้มีคุณชายหวังข้าก็ไม่กลัวแล้ว” ซุนจิ้งกล่าวขณะมองหวังิด้วยตาทอประกาย นางนั้นอยากเข้าหาผู้มีอิทธิพลมาตลอด เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตน และการมาของหวังิก็ทำให้นางมีความหวัง
เย่เฟิงเหลือบมองหวังิกับซุนจิ้งแวบหนึ่งพลางคิดในใจว่า “เหตุใดใต้หล้าจึงมีคนหลงตัวเองมากเพียงนี้”
ซุนจิ้งและหวังิพูดคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นทั้งสี่คนก็ออกเดินทางต่อ ส่วนเย่เฟิงเดินเคียงคู่กับไป๋หลิง ั้แ่หวังิปรากฏตัว ซุนจิ้งไม่ห่างข้างกายเขาไปไหน แม้กระทั่งไม่สนใจไป๋หลิง ซ้ำยังมีการดูถูกถากถางเย่เฟิงในบางครั้ง แต่ว่าเย่เฟิงไม่เก็บมาใส่ใจ
พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วไม่ช้าไม่เร็ว และเจอสัตว์อสูรลอบโจมตีในระหว่างทางหลายหน ทุกครั้งที่สัตว์อสูรลอบโจมตี หวังิจะเป็ผู้จัดการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็สัตว์อสูรระดับแปดหรือเก้า หวังิล้วนรับมือได้อย่างง่ายดาย เห็นชัดว่าหวังิผู้นี้แข็งแกร่งมาก นี่ทำให้ซุนจิ้งเลื่อมใสศรัทธาหวังิยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ยังใกล้ชิดมากขึ้นราวกับคู่รักก็ไม่ปาน
“ชิ้ง!” รังสีดาบสะบั้นสิงโตเพลิงระดับเก้าจนสิ้นชีวีทันที จากนั้นหวังิเก็บดาบด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย ซุนจิ้งยิ้มอย่างเบิกบานใจก่อนจะรีบไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้หวังิ
“คุณชายหวังร้ายกาจยิ่งนัก ฆ่าสัตว์อสูรระดับเก้าได้อย่างง่ายดายเลย” ซุนจิ้งกล่าวด้วยท่าทีสนิทสนม หลังจากอยู่ด้วยกันมาสองวัน แววตาของซุนจิ้งที่มองหวังิก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้ไป๋หลิงที่อยู่ข้าง ๆ เย่เฟิงรู้สึกไม่ดี และไม่รู้ว่าศิษย์น้องคนนี้เป็อะไรไป
“เห็นทีศิษย์น้องคนนี้จะตกอยู่ในห้วงภวังค์ จนไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก” ไป๋หลิงกระซิบข้างหูเย่เฟิง
“นางไม่ฟังคำแนะนำของเ้า ไม่ว่าผิดหรือถูกก็ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเอง” เย่เฟิงกล่าวพลางยิ้ม ความสัมพันธ์ระหว่างซุนจิ้งกับหวังิพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในเวลาสองวัน เขาและไป๋หลิงต่างดูออกว่าซุนจิ้ง้าเข้าหาผู้มีอิทธิพล
นอกจากนี้เย่เฟิงยังดูออกว่าหวังิผู้นี้ไม่ใช่คนดีอะไร อาจเข้าหาซุนจิ้งด้วยเจตนาไม่ดี แต่เย่เฟิงจะทำอะไรได้เล่า เขาไม่ใช่คนใจบุญที่จะยุ่งทุกเื่ได้ อีกอย่างซุนจิ้งยังชอบดูถูกเขา หาว่าเขาเป็เศษสวะ เช่นนั้นเขาจะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมกัน หากบอกซุนจิ้ง มีหรือนางจะเชื่อเขา?
เป็ไปตามที่เย่เฟิงคาดการณ์ไว้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซุนจิ้ง จะผิดหรือถูกก็โทษคนอื่นมิได้
“เ้าพูดถูกต้อง แต่ยังไงซะนางก็เป็ศิษย์น้องข้า ข้ากลัวใจจริง ๆ ว่านางจะหลงผิด” ไป๋หลิงกล่าวอย่างกลัดกลุ้ม ในขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องใดังขึ้น ซึ่งเป็เสียงของซุนจิ้ง เย่เฟิงและไป๋หลิงจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นศพสิงโตเพลิงบนพื้นที่ถูกหวังิฆ่าตาย ตอนนี้ในมือของหวังิยังมีเยาตานสีแดงเพลิง ทั้งยังมีไอเพลิงแผ่ออกมาจากในนั้น ซุนจิ้งมองเยาตานก้อนนั้นด้วยแววตาทอประกายแฝงความปรารถนาจะได้มันมา
“เยาตานโลหิต ไม่นึกว่าเยาตานโลหิตก้อนนี้จะเติบโตในร่างกายของสิงโตเพลิงตนนี้” ไป๋หลิงอุทานด้วยความประหลาดใจ
แน่นอนว่าเย่เฟิงรู้จักเยาตานโลหิต เป็เยาตานที่มีระดับค่อนข้างสูง มีมูลค่ามากกว่าเยาตานทั่ว ๆ ไปถึงหลายเท่าตัว กระทั่งสามารถยกระดับการบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธ์ได้โดยตรง เช่นเดียวกับหมีั์ตนนั้นที่เย่เฟิงฆ่าในเทือกเขาปี้หลิง เยาตานที่ได้มาจากหมีั์ตนนั้นค่อนข้างหาได้ยาก แม้อยู่แค่ระดับหก แต่มูลค่าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าเยาตานโลหิตที่อยู่ในมือของหวังิผู้นั้น
“จิ้งเอ๋อร์ เ้าอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 เยาตานโลหิตก้อนนี้น่าจะช่วยเ้าทะลวงขั้นพลังได้” หวังิกล่าวพลางยิ้ม
“คุณชายหวัง เ้ายินดีมอบเยาตานโลหิตก้อนนี้ให้ข้างั้นหรือ?” แววตาของซุนจิ้งทอประกาย แม้นางอยากได้เยาตานก้อนนี้ แต่หวังิเป็ผู้ฆ่าสัตว์อสูร นางจะกล้าเอ่ยปากขอได้อย่างไร
“แน่นอน” หวังิพยักหน้า
“ดีจังเลย! ขอบคุณเ้ามาก!” ซุนจิ้งเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มกว้าง หากมีเยาตานโลหิตก้อนนี้ นางก็บรรลุขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ได้อย่างราบรื่น
“อย่าเพิ่งขอบคุณข้า ไว้ข้าช่วยเ้าทะลวงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” หวังิโบกสะบัดมืออย่างไม่ถือสา
“เวลาไม่เคยคอยท่า พวกเราไปเดี๋ยวนี้เลยเถอะ” หวังิจูงมือซุนจิ้งเดินไปยังที่บางแห่งในป่า พลอยทำให้ซุนจิ้งตัวสั่นสะท้านและหน้าแดงระเรื่อ แต่นางเหลือบไปมองเย่เฟิงกับไป๋หลิงอย่างไม่ตั้งใจ สีหน้าพลันอึมครึมทันที
“เห็นหรือยัง นี่คือความห่างชั้นระหว่างเ้ากับยอดฝีมือ คุณชายหวังไม่เพียงแต่ฆ่าสัตว์อสูรระดับเก้าได้ง่าย ๆ แต่ยังมอบเยาตานโลหิตอันล้ำค่าแก่ข้า ช่วยข้าทะลวงการบ่มเพาะ แล้วเ้าล่ะทำอะไรได้บ้าง? ก็แค่เศษสวะขั้นบ่มเพาะกายาที่ 6 เท่านั้น ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าศิษย์พี่ใช้ตาข้างไหนมองเ้าถึงยังเก็บเ้าไว้ข้างกาย?” ซุนจิ้งกล่าว หวังิเป็วีรบุรุษ ส่วนเย่เฟิงเป็เศษสวะ จนดูเหมือนว่านางหลงลืมเฉินข่ายคนรักของนางไปแล้ว
เพียงเวลาไม่กี่วัน คนในดวงใจของซุนจิ้งก็เปลี่ยนไปเป็หวังิอย่างในตอนนี้ ฟังไปแล้วก็เป็เื่น่าขัน
“เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือ? เ้าอ้าปากทีไรก็กล่าวหาว่าข้าเป็เศษสวะทุกครั้งไป งั้นเ้าที่คาดหวังจากคนอื่นเพื่อที่จะยกระดับการบ่มเพาะนับเป็สิ่งใดกัน?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น เขาไม่้าโต้เถียงกับหญิงเบาปัญญาผู้นี้ให้เปลืองน้ำลาย แต่อีกฝ่ายก็ยังหาเื่เขาไม่หยุดหย่อน
“จิ้งเอ๋อร์อย่าไปพูดกับสวะนี่เลย เขาอยู่คนละชั้นกับพวกเรา เดี๋ยวข้าจะช่วยเ้าทะลวงการบ่มเพาะก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ต่อไปถ้าเขากล้ายั่วยุเ้า ข้าจะช่วยเ้าฆ่าเขาเอง” หวังิกล่าวอย่างโอหังพลางมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน เวลาสองวันเขาเห็นเย่เฟิงไม่ต่างจากหนูที่หลบอยู่ข้างหลัง หากไม่เห็นแก่หน้าไป๋หลิง ป่านนี้เขาคงลงมือฆ่าเย่เฟิงไปแล้ว
“อืม” ซุนจิ้งพยักหน้า แน่นอนว่านางเชื่อหวังิหมดใจ เย่เฟิงก็เป็เพียงมดแมลงเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังิ หวังิออกแรงเพียงนิดเดียวก็ขยี้เขาให้แหลกได้แล้ว จากนั้นหวังิพาซุนจิ้งออกไป ทิ้งเย่เฟิงและไป๋หลิงไว้ตรงนั้น
“ศิษย์น้องชักจะมากไปแล้ว” ไป๋หลิงกล่าวอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันไปมองเย่เฟิง “ศิษย์น้องเย่ ไม่สู้เ้าล่วงหน้าไปก่อน หากหวังิกลับมา ข้ากลัวว่าเ้าจะไม่ปลอดภัย”
เย่เฟิงยิ้มอย่างไม่ถือสาพร้อมกล่าว “จะไปทำไมเล่า ข้ายังอยากคุ้มครองเ้าอยู่นะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลักยิ้มทั้งสองข้างของไป๋หลิงก็เผยเด่นชัด ดูสวยงามเป็พิเศษ แม้รู้ว่าเย่เฟิงจะพูดเล่น แต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
“ปากเก่งนัก หวังิผู้นั้นแข็งแกร่งมาก อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ไม่ใช่คนที่เ้าจะรับมือได้ง่าย ๆ หากหวังิคิดจัดการเ้าจริง ๆ ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋หลิงกล่าวอย่างจริงจังและนางอยากให้เย่เฟิงไปจากที่นี่
“ไม่ไปก็คือไม่ไป ถ้าหวังินั่นอยากฆ่าข้า เช่นนั้นข้าก็จะหลบข้างหลังศิษย์พี่ไป๋” เย่เฟิงกล่าวพลางยักไหล่
“เ้า...” ไป๋หลิงต้องหน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดของเย่เฟิง และถึงกับพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง อีกอย่างมีถ้ำแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเย่เฟิง ซึ่งมีสองเงาร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำแห่งนั้น ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ทั้งยังมีแสงสีขาวรายล้อมร่างกายพร้อมกับมีพลังหยวนโคจร
สองคนนี้ก็คือหวังิและซุนจิ้ง เพื่อไม่ให้ใครมารบกวน หวังิจงใจช่วยซุนจิ้งทะลวงการบ่มเพาะในถ้ำที่เงียบสงบแห่งนี้
เยาตานโลหิตถูกหลอมละลายอย่างต่อเนื่อง จากนั้นไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณของซุนจิ้ง เพื่อหล่อเลี้ยงและบำรุง
ส่วนหวังิก็ตั้งใจช่วยนางอย่างเต็มที่ เขาวางฝ่ามือทั้งสองบนหลังของซุนจิ้ง พร้อมกับมีพลังประหลาดไหลตามแขนของหวังิไปยังร่างซุนจิ้ง ด้วยความร่วมมือของพลังทั้งสองชนิด ระดับการบ่มเพาะของซุนจิ้งจึงค่อย ๆ ทะลวงสู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ลมปราณของซุนจิ้งเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยการช่วยเหลือจากหวังิ ในที่สุดนางก็ทะลวงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ได้สำเร็จ จากนั้นนางลืมตาขึ้นมาด้วยความดีใจ นางทะลวงสำเร็จและได้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 พลังก็ยังเปลี่ยนไปจนแข็งแกร่งขึ้น
“จิ้งเอ๋อร์ ยินดีด้วย!” หวังิกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะมองซุนจิ้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาทำให้ใครที่เห็นต้องรู้สึกสบายใจ โดยเฉพาะในสายตาของซุนจิ้งตอนนี้ หวังิก็คือบุรุษในดวงใจของนาง
“จิ้งเอ๋อร์ เ้าช่างสวยงามยิ่งนัก!” หวังิกล่าวชม
หญิงสาวในเวลานี้ดูสวยงามเป็พิเศษ เรือนร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเผยให้เห็นผิวขาวนวลจาง ๆ เพราะเหตุนี้จึงเป็ตัวกระตุ้นอารมณ์ของหวังิได้เป็อย่างดี
เมื่อหญิงงามอยู่ในอ้อมกอด ริมฝีปากจึงลงประทับกับริมฝีปากอันร้อนแรงนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้