เล่มที่ 9 บทที่ 257 บรรลุเป็ศาสตราวุธ
เ้าอสุรกายผลักจานโม่กระทั่งหมุนวน ทันใดนั้นัขาวที่ถูกกดทับอยู่ก็พลันร้องโหยหวนน่าเวทนาออกมา ทว่าเ้าอสุรกายกลับแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน มันยังคงหมุนจานโม่ต่อไป ลำแสงสีขาวอันเจิดจ้าก็สาดทะลุจานหมุนขนาดใหญ่ออกมา ทำให้สะท้อนแสงดูระยิบระยิบราวกับแสงหิ่งห้อยที่ล่องลอยเต็มท้องฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆจมหายไป…
หลังจากแสงระยิบระยับราวกับหิ่งห้อยได้สลายหายไป รอบด้านก็พลันสั่นะเืขึ้นมา ก่อนที่มนต์สะกดทั้งสามสิบแปดสายของคัมภีร์โครงกระดูกจะพากันส่งเสียงหวีดร้องระงม ทุกสิ่งทุกอย่างได้สลายกลายเป็แม่น้ำสายยาว และบริเวณกลางแม่น้ำก็ปรากฏเป็ัสีขาวตนหนึ่ง กำลังกางกรงเล็บและคำรามอย่างน่าเกรงขาม บัดนี้ได้เกิดเป็ปรากฏการณ์ที่กลับตาลปัตรไปหมด แม้แต่กระแสน้ำก็ยังไหลทวน…
สุดท้ายัขาวก็คำรามดังสนั่น ก่อนจะจมหายลงไปยังก้นบึ้งของแม่น้ำ…
ในขณะเดียวกันมนต์สะกดทั้งสามสิบแปดสายก็หลอมรวมจนเกิดเป็ภาพนิมิตโครงกระดูกเก้าชั้น ดูยิ่งใหญ่และอลังการเป็อย่างมาก บัดนี้กำลังค่อยๆผสานเข้ากับจิติญญาของหลินเฟยแล้ว…
เสี้ยววินาทีนี้เอง หลินเฟยก็มองทะลุแม่น้ำออกไป ก่อนจะเห็นว่าใน่หมื่นปีที่ผ่านมาได้มีเื่ราวมากมายเกิดขึ้น แรกเริ่มเจดีย์โครงกระดูกมีมนต์สะกดเพียงเก้าสายเท่านั้น แต่หลังจากผ่านการบำเพ็ญด้วยโครงกระดูกและเืเนื้อมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็กลายเป็เจดีย์โครงกระดูกที่สูงถึงสิบสองชั้น แถมยังมีพลังทำลายล้างรุนแรงน่าพิศวงยากจะคาดเดา…
หลินเฟยเองก็รู้สึกใไม่น้อย…
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเลขเก้าคือเลขสูงสุด แต่เจดีย์โครงกระดูกนี้กลับสูงถึงสิบสองชั้น ‘ผู้สร้างคงตั้งใจจะบำเพ็ญให้กลายเป็ชั้นเซียนเทียนเลยสินะ…’
‘ช่างน่าเสียดายจริงๆ’
ขณะที่หลินเฟยกำลังจมอยู่ในภวังค์ ภาพนิมิตเจดีย์โครงกระดูกก็เกิดสั่นะเืขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่มนต์สะกดทั้งสามสิบแปดสายจะส่องสว่างขึ้นมา หลินเฟยเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่า นี่คือสัญลักษณ์ของหยวนหลิงที่กลับคืนสู่ศาสตราวุธ ในที่สุดมนต์สะกดเทียนกังปลอมกำลังจะกลายเป็ของจริงแล้ว…
“รีบเข้าไปหลบในดินิถู่ก่อน เร็ว!” หลินเฟยรีบออกคำสั่งกับเ้าอสุรกายทันที เพราะในตอนนี้กำลังจะมีหยวนหลิงถือกำเนิดขึ้นที่เจดีย์โครงกระดูกแล้ว หากเ้าอสุรกายยังคงสิงสู่อยู่ในคัมภีร์ละก็ เกรงว่าจะต้องถูกเจดีย์โครงกระดูกกลืนกินเข้าไปแน่นอน
ทว่า…
ชั่วขณะที่กำลังจะส่งเ้าอสุรกายเข้าไปในห้วงมิติดินิถู่ ก็ได้ยินเสียงัคำรามดังขึ้นมา ก่อนที่จะมีัสีขาวตนหนึ่งทะยานขึ้นท่ามกลางลำแสงสีขาวแสนเจิดจ้า จากนั้นมันก็ใช้กรงเล็บอันแหลมคมคว้าเ้าอสุรกายขึ้นมาไว้บนหลังและบินตรงไปยังเจดีย์โครงกระดูกทันที…
“หรือว่า…” หลินเฟยใจกระตุกขึ้น และรีบโคจรเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูทันที ก่อนจะบงการปราณกระบี่ไท่อี๋เพื่อวาดสัจจะเก้าอักขระออกมา ทันใดนั้นก็มีลำแสงสีทองมากมายพวยพุ่งขึ้น ก่อนจะกลายเป็อักขระมากมายล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้า หลังจากนั้นก็รวมตัวกันเป็อักขระสีทองเก้าตัวขนาดใหญ่ พุ่งชนเข้ากับเ้าัขาวคล้ายกับฝนดาวตก…
ทันใดนั้นเอง ก็เห็นว่าเ้าอสุรกายที่อยู่บนหลังัขาว ได้มาถึงยังเจดีย์โครงกระดูกแล้ว เ้าัใช้ลำตัวของมันโอบพันรอบเจดีย์หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ…
สุดท้ายก็โอบพันได้เก้ารอบพอดี
เ้าอสุรกายยืนอยู่บนหัวเ้าั สองมือก็จับเขาัทั้งสองไว้แน่น ภายใต้ลำแสงสีขาวอัดเจิดจ้านี้เอง ทำให้ลำตัวที่แสนอัปลักษณ์ของมันเริ่มเน่าสลาย ก่อนจะค่อยๆเผยโฉมเป็โครงกระดูกออกมา สุดท้ายก็หลอมรวมเข้ากับเ้าัขาว เนื้อทุกส่วนล้วนเน่าสลายสิ้น กระทั่งกลายเป็โครงกระดูกั!
เสี้ยววินาทีนั้น คัมภีร์โครงกระดูกก็สั่นไหวรุนแรง บัดนี้มนต์สะกดทั้งสามสิบแปดสายได้หลอมรวมกันเป็หนึ่ง เกิดเป็ลำแสงพวยพุ่ง สุดท้ายก็มีมนต์สะกดเทียนกังสายหนึ่งค่อยๆลอยหายเข้าไปในหว่างคิ้วโครงกระดูกั!
หลังจากเกิดมนต์สะกดเทียนกังขึ้นมา โครงกระดูกัก็คำรามออกมา บัดนี้ลำตัวที่ยาวนับหมื่นจ้างก็ได้พันรอบเจดีย์โครงกระดูกถึงเก้ารอบ เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นว่าที่ใจกลางห้วงมิติของคัมภีร์ ได้มีเจดีย์โครงกระดูกเก้าชั้นซึ่งสูงนับพันจ้างตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนรอบด้านก็มีไอิญญาเข้มข้นปกคลุมเอาไว้ โครงกระดูกสีขาวที่ทับถมกันเป็เจดีย์สูงก็ดูโปร่งใสสุกสกาวราวกับหยกเนื้อดี ส่วนโครงกระดูกัที่พันรอบเจดีย์ก็ค่อยๆเปล่งกระแสแห่งความน่าเกรงขามออกมาเรื่อยๆ
บัดนี้คัมภีร์โครงกระดูกได้กลายเป็ศาสตราวุธแล้ว!
ทว่าคิ้วของหลินเฟยยังคงขมวดแน่นเช่นเดิม…
และที่เป็เช่นนี้ก็ไม่ใช่เื่แปลก…
เส้นทางการบรรลุเป็ศาสตราวุธของคัมภีร์โครงกระดูกนั้นประหลาดมาก โดยเฉพาะตอนท้ายที่เ้าอสุรกายผสานรวมเข้ากับัขาวจนกลายเป็โครงกระดูกั ในสายตาหลินเฟยแล้ว นับว่าเป็เื่ที่เหนือความคาดหมายไปมาก…
เพราะมีเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูในมือ จึงทำให้หลินเฟยนั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็หนึ่งในยอดปรมาจารย์ช่างหลอมแห่งยุคก็ว่าได้ ถึงจะเป็เช่นนั้น หลินเฟยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเื่ทั้งหมดนั้น มันเป็มาอย่างไรกันแน่ เหตุใดหยวนหลิงที่แตกต่างกันถึงสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้…
‘นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ?’
‘หรือว่าสิงสู่นานเกินไป จนเกิดความผูกพัน?’
หลินเฟยครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังไม่เข้าใจเสียที ทำได้เพียงคาดเดาว่าคงเป็เพราะหยวนหลิงของกลไกัได้สูญเสียสติปัญญาไปตามกาลเวลา จึงถูกเ้าอสุรกาย่ชิงโอกาส ผสานตัวเองเข้ากับหยวนหลิงกลไกั
หากพูดแบบนี้ละก็…
สมมติฐานก่อนหน้านี้ ก็คงจะถูกต้องเช่นกัน
‘เคล็ดวิชาสำหรับการหลอมกายเนื้อของเ้าอสุรกาย จะต้องมีส่วนที่คล้ายคลึงกับกลไกัเป็แน่ ไม่อย่างนั้นละก็ ต่อให้หยวนหลิงกลไกัจะสูญเสียสติปัญญาไป เ้าอสุรกายก็คงไม่อาจฉวยโอกาสเข้าแทรกได้ง่ายๆเช่นนี้ ดูแล้ว ไม่น่าจะใช่ทั้งเคล็ดวิชาว่านฮุ่ยหรือเคล็ดวิชาคร่าิญญาแต่อย่างใด แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ?’ หลินเฟยคิดทบทวนอยู่นาน คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เกรงว่าเพื่อที่จะไขปริศนานี้ได้ จะต้องรู้ประวัติความเป็มาของกลไกันี้อย่างละเอียดเสียก่อน…
และคงต้องพับเื่นี้เก็บไปก่อนอีกพักใหญ่เลย…
เพราะตอนนี้หลินเฟยยังมีเื่สำคัญที่ต้องสะสางเสียก่อน
บัดนี้คัมภีร์โครงกระดูกก็พัฒนากลายเป็ศาสตราวุธแล้ว หลินเฟยจึงมีสิทธิ์ก้าวเข้าสู่ช่องว่างระหว่างมิติอีกครั้ง หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ หลินเฟยก็เริ่มโคจรคัมภีร์โครงกระดูกขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งตัวลงไปยังรอยแยกกลางลาน…
เมื่อเทียบกับครั้งก่อน ครั้งนี้ถือว่าคุ้นเคยกับเส้นทางขึ้นมาก เพียงแค่ครู่เดียวหลินเฟยก็สามารถเข้ามาในช่องว่างระหว่างมิติพร้อมกับคัมภีร์โครงกระดูกได้…
ทันใดนั้นก็มีแรงกดดันมหาศาลระหว่างสองพิภพกดทับลงมา ทำให้หลินเฟยรู้สึกหายใจไม่ออกอีกครั้ง…
แน่นอนว่าครั้งนี้หลินเฟยไม่ได้มามือเปล่า
เพียงจิตสำนึกเดียวเท่านั้น คัมภีร์โครงกระดูกก็กางออกมา จากนั้นภาพนิมิตเจดีย์โครงกระดูกเก้าชั้นก็ปรากฏขึ้น เมื่อกวาดตามองไปก็เห็นไอิญญารายล้อมแ่า แถมยังมีโครงกระดูกัโอบพันอยู่รอบเจดีย์อีกด้วย ต่อให้แรงดันระหว่างสองพิภพจะหนักหน่วงเพียงใด ก็ไม่อาจทำอะไรเจดีย์โครงกระดูกได้แม้แต่น้อย หลังจากที่ภาพนิมิตเจดีย์ปกคลุมทั่วทั้งร่างแล้ว หลินเฟยจึงพุ่งตัวออกไป…
และแล้วก็เป็อย่างที่คิดไว้…
เพียงไม่กี่วัน ภายในช่องว่างระหว่างมิติก็กลายเป็ทะเลเพลิง ทุกย่างก้าวล้วนมีเปลวไฟร้อนแรงพวยพุ่งขึ้นมา ต่อให้หลินเฟยมีเจดีย์โครงกระดูกคุ้มกาย ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่พร้อมจะเผาทำลายทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนอยู่ดี…
และทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ก็เพียงเพราะว่ากำแพงพิภพเหยียนหยางได้ปริแตกออกไปเท่านั้น…
“น่าจะยังทันอยู่…” หลินเฟยบงการเจดีย์โครงกระดูกให้ติดตามไปด้านหน้าพร้อมกัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดหลินเฟยก็เห็นสุดขอบทะเลเพลิงที่อยู่เบื้องหน้า ในตอนนี้ บริเวณสุดเขตทะเลเพลิงก็มีรอยปริแตกสีแดงมากมายราวกับใยแมงมุม และตามรอยปริแตกเ่าั้ก็ยังมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาไม่หยุด…
ส่วนสายฟ้าที่เกิดจากเหล็กเซียนอัสนีเหล่ยยวี่ก็กำลังพุ่งชนกำแพงพิภพอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทุกๆครั้งที่มันพุ่งชน ก็จะเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา และก็เป็อย่างนี้ต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด…
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------