หมี่หลันเยว่มีรูปร่างท้วมมาั้แ่เด็ก อันที่จริงอาจจะเรียกว่าอ้วนเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ได้ผอมบางเท่านั้น ในเมื่ออยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กอย่างว่างเปล่าเช่นนี้ เธอก็คิดว่า สู้หาทางออกกำลังกายด้วยตัวเองดีกว่าไหม วิ่งสักสองสามรอบ ยืดเส้นยืดสายบ้าง อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามานั่งดูภาพหัดอ่านหนังสือพวกนั้น เพราะมันทำให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองยิ่งแก่ยิ่งถอยหลังลงคลอง
คิดได้ดังนั้นก็ลงมือทำ ชาตินี้เธอต้องเป็ตัวของตัวเอง สร้างสรรค์ชีวิตใหม่ ดังนั้นเมื่อคิดอะไรออกก็ต้องลงมือทำทันที หมี่หลันเยว่ตบมือแปะ ตัดสินใจเช่นนั้นแล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างเด็ดเดี่ยวจากเก้าอี้ตัวเล็ก
"หลันเยว่ จะไปไหนจ๊ะ จะไปฉี่เหรอ?"
หมี่หลันเยว่เพิ่งจะลุกขึ้นยืน ก็มีน้าคนหนึ่งอายุราวๆ ยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเดินเข้ามา ก้มตัวลงถามหมี่หลันเยว่อย่างเอ็นดู เพราะกลัวว่าเธอจะหาที่เข้าห้องน้ำไม่เจอ หมี่หลันเยว่จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจ คนในยุคนี้ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตั้งใจจริงจัง คนก็ซื่อๆ นิสัยใจคอดี
ต่างจากสถานรับเลี้ยงเด็กในอีกหลายปีต่อมา ที่คิดแต่จะหาเงิน แต่กลับไม่มีความรับผิดชอบ ข่าวคราวที่รายงานออกมาเป็ระยะๆ ว่า สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้นแห่งนี้มีพี่เลี้ยงเด็กทำร้ายเด็กๆ สารพัดรูปแบบ ทั้งเตะ ทั้งหยิก ทั้งใช้เครื่องมือ ยิ่งมีอยู่รายหนึ่งที่น่าโมโหที่สุด พี่เลี้ยงนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กๆ กดเด็กที่ไม่ยอมกินข้าวลงไปใต้หว่างขา เด็กแทบขาดใจตาย มันน่าโกรธจนทนไม่ไหวจริงๆ
"น้าคะ หนูแค่จะไปเดินเล่นในสวนค่ะ"
หมี่หลันเยว่อายุแค่สองขวบกว่า แต่พูดจาและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วเป็ธรรมชาติ ั้แ่พูดได้ เธอก็พูดได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่่แรกๆ เธอต้องควบคุมตัวเองไม่ให้พูดมากเกินไป กลัวว่าจะทำให้พ่อแม่ใ
เพราะเธอแสดงออกอย่างน่ารักและเชื่อฟังมาโดยตลอด ดังนั้นการพูดจึงเร็วกว่าคนอื่น พ่อแม่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็เื่ใหญ่โตอะไร เพียงแต่คิดว่าลูกตัวเองฉลาด หมี่หลันเยว่ก็สามารถพูดได้อย่างตามที่ใจอยาก แต่เธอก็ยังต้องระมัดระวัง ไม่พูดอะไรที่ไม่เหมาะสม เพราะอายุของเธอยังน้อยอยู่
"ดูเด็กคนนี้สิ พูดจาคล่องแคล่วกว่าเด็กคนอื่น แถมยังเชื่อฟังอีกต่างหาก แค่ชอบเก็บตัวไปหน่อย ถึงครูหวังจะกำชับพวกเราให้ดูแลเด็กๆ เราเองก็อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังเลย"
พี่เลี้ยงคนนี้พูดชมหมี่หลันเยว่กับน้าคนอื่นๆ ในห้อง แสดงความเอ็นดูต่อหมี่หลันเยว่อย่างไม่ตระหนี่เลย
"น้าไปด้วยนะ หนูเพิ่งมาวันแรก ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ น้าแซ่เมิ่ง หนูเรียกว่าน้าเมิ่งก็ได้จ้ะ"
น้าเมิ่งใส่ใจรายละเอียดจริงๆ เพราะความน่ารักของหมี่หลันเยว่ เธอจึงอยากดูแลหนูน้อยคนนี้เป็พิเศษ
"ไม่ต้องหรอกค่ะ ยังมีเพื่อนๆ ที่น้าต้องดูแล หนูไปเองได้ ขอบคุณน้าเมิ่งนะคะ"
หมี่หลันเยว่แค่อยากเดินเล่นเอง ถ้ามีโอกาส เธอก็จะหาทางออกกำลังกายด้วยตัวเอง ถ้ามีคนตามไปด้วย ก็คงจะไม่สะดวกที่จะทำตามแผน อีกอย่างเธอก็อยากแอบไปดูพี่ชายที่ห้องเด็กโตด้วย
พี่ชายอายุห้าขวบแล้ว ดังนั้นจึงเรียนอยู่ห้องเด็กโต หมี่หลันเยว่อายุแค่สองขวบกว่า ดังนั้นตอนนี้จึงอยู่ในห้องเด็กเล็ก แต่ทั้งหมดอยู่ในรั้วเดียวกัน น่าจะหาได้ไม่ยาก สักพักเธอจะแอบไปที่ห้องเรียนของพี่ชาย แอบมองว่าเขากำลังทำอะไร
เมื่อเห็นว่าหลันเยว่ยืนยันที่จะออกไปคนเดียว พี่เลี้ยงก็คิดว่าอยู่ในสนามของโรงเรียนคงไม่มีอันตรายอะไร และเด็กคนนี้ก็เงียบและเชื่อฟัง พี่เลี้ยงเมิ่งจึงตัดสินใจปล่อยให้เธอไป
"ก็ได้จ้ะ ระวังอย่าล้มเชียวนะ น้าไม่ไปด้วย"
เธอจูงมือหมี่หลันเยว่ไปส่งที่หน้าประตูห้อง
"จำไว้นะ ห้ามออกไปนอกรั้วโรงเรียน ข้างนอกจะมีคนไม่ดี ถ้ามีอะไรก็ให้ะโเรียกน้าเมิ่งดังๆ น้าเมิ่งจะรีบไปช่วย"
เมื่อได้ยินน้าเมิ่งพูดจาเอาใจเด็ก หมี่หลันเยว่ก็ยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาเป็ประกาย ทำให้น้าเมิ่งอดไม่ได้ที่จะดึงเธอเข้ามากอดแล้วหอมแก้มอย่างแรง ก่อนจะปล่อยหมี่หลันเยว่ออกไป
"เด็กคนนี้น่ารักจริงๆ ถึงจะไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ก็เป็ที่รัก"
หมี่หลันเยว่รู้ว่าตัวเองไม่ได้สวย เรียกได้ว่าเป็คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ข้อดีของเธอคือผิวขาวอมชมพู จนกระทั่งก่อนที่เธอจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ตัวเธอในวัยสี่สิบกว่าปี ยังคงได้รับการชมเชยจากคนอื่นๆ ว่าผิวเรียบเนียน ขาวใส มีน้ำมีนวล นี่คือสิ่งที่หมี่หลันเยว่ภูมิใจที่สุด นอกจากนั้นก็คือมือทั้งสองของเธอ
มือของหมี่หลันเยว่สวยมาั้แ่เด็ก เรียวยาวแต่ไม่เห็นกระดูก เล็บกลมมนอวบอิ่ม ัันุ่มนวล ในชาติที่แล้วตอนมัธยมต้น มีผลิตภัณฑ์บำรุงมือยี่ห้อหนึ่งรับสมัครนางแบบมือ เพื่อนสนิทหลายคนยุให้เธอไปลองดู แต่เพราะเธอขี้อาย จึงพลาดโอกาสนี้ไป หมี่หลันเยว่มองมือทั้งสองของตัวเอง ชาตินี้เธอควรจะลองดูไหมนะ?
เฮ้อ เื่นั้นยังอีกนาน ค่อยเก็บไว้ในแผนก่อนแล้วกัน ตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที หมี่หลันเยว่วางแผนในใจ ขณะที่ตัวเธอเดินเล่นอยู่ในสนาม ตอนนี้ยังไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ สนามจึงว่างเปล่า แม้แต่ชิงช้าก็ไม่มี แต่สภาพอากาศในเดือนเก้า ดอกไม้ใบหญ้าบางชนิดก็ยังมีอยู่
หมี่หลันเยว่วิ่งไปที่ขอบแปลงดอกไม้ มองดูดอกไม้เล็กๆ ที่ไม่รู้จักชื่อที่กำลังบานอยู่ ตอนนี้ดีจริงๆ ในแปลงดอกไม้มีแต่ดอกไม้ป่าเล็กๆ ที่ปลูกง่าย แม้ว่าหมี่หลันเยว่จะเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ยังเรียกชื่อพวกมันไม่ได้ แต่พวกมันกลับเบ่งบานหลากสีสัน สวยงามเป็พิเศษ
หมี่หลันเยว่เดินวนเวียนอยู่รอบแปลงดอกไม้ เธอก็รู้ว่าตัวเองยังเด็ก ไม่สามารถวิ่งได้ในทันที จะทำให้คนอื่นใ เอาเป็ว่าเริ่มจากการเดินก่อนแล้วกัน ได้ยินมาว่าการเดินเร็วเป็การออกกำลังกายที่ดี แต่การเดินวนเวียนอยู่รอบแปลงดอกไม้ พวกเขาคงคิดว่าตัวเธอกำลังดูดอกไม้ กำลังสนุกอยู่กับตัวเอง คงไม่คิดเป็อย่างอื่น
แน่นอนว่าน้าเมิ่งในห้อง เธอเดินไปดูหลันเยว่ที่หน้าประตูห้อง เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังเล่นสนุกอยู่กับดอกไม้ในแปลงดอกไม้ เธอก็สบายใจ เด็กก็คือเด็ก แม้จะเงียบ แต่ก็ยังมีเื่สนุกของตัวเอง ดูเหมือนว่าดอกไม้ใบหญ้าจะดึงดูดเธอมากกว่า
เธอเดินวนไปได้สักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจตัวเอง หมี่หลันเยว่ก็เร่งฝีเท้า เดินเร็วขึ้น แปลงดอกไม้อาจจะไม่ใหญ่ แต่สำหรับหมี่หลันเยว่ที่ยังตัวเล็ก มันก็เป็อะไรที่ใหญ่มาก ขาสั้นๆ เดินวนไปได้ไม่กี่รอบ ก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว
อากาศในเดือนเก้ายังร้อนอบอ้าว แม้ว่าตอนนี้จะเป็เวลาแปดเก้าโมงเช้า แต่แสงแดดบนท้องฟ้าก็เริ่มแผดเผาแล้ว รออีกสักพัก คงจะร้อนเป็ไฟ หมี่หลันเยว่รู้จักพอประมาณ อย่าเพิ่งออกกำลังกายเยอะเกินไป เดี๋ยวจะเป็ลมแดดไปซะ อย่างนั้นคงขายหน้าแย่
เธอชะลอฝีเท้าลง ปล่อยให้ลมหายใจของตัวเองค่อยๆ ผ่อนคลายลง เดินช้าๆ อีกสองรอบ เมื่อรู้สึกว่าพอแล้ว หมี่หลันเยว่จึงออกจากแปลงดอกไม้ เดินไปที่แถวห้องเรียน เธอมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ก็พบตำแหน่งของห้องเด็กโต มีป้ายแขวนอยู่ที่ประตู
หมี่หลันเยว่จึงเดินไปในทิศทางนั้น เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องเรียน พอดีกับที่ในห้องกำลังสอนเพลงเด็ก เสียงเล็กๆ ของเด็กๆ ดังออกมาจากในห้อง ทำให้หมี่หลันเยว่นึกถึงลูกสาวของตัวเอง ในใจจึงเกิดความรู้สึกเ็ปขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าลูกสาวจะอยู่ดีไหมหลังจากที่รู้ว่าเธอจากไปแล้ว
เธอส่ายหัว ละทิ้งความรู้สึกเศร้าๆ พวกนั้น ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ มีได้ย่อมมีเสีย ความผูกพันนั้น ทำได้เพียงเก็บไว้ในมุมหนึ่งของความทรงจำ ถึงจะลืมไม่ได้ ก็แต่อย่าคิดถึงบ่อยๆ จะทำให้จมอยู่กับอดีตจนถอนตัวไม่ขึ้น สิ่งที่เธอ้าคือความงดงามของการมีชีวิตใหม่อีกครั้ง
สู้ๆ นะ หมี่หลันเยว่ ความรักในอดีตเ่าั้ ให้มันกลายเป็แรงผลักดันในชาตินี้ ทำให้ตัวเองดู ทำให้คนในอดีตดู ให้ตัวเองไม่เสียทีที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง หมี่หลันเยว่ให้กำลังใจตัวเอง เธอมองเข้าไปในประตูที่เปิดแง้มอยู่ ก็พบว่าตัวเองน้ำตาคลอเบ้า
เธอลุกขึ้นยืนพิงกำแพงข้างประตู หมี่หลันเยว่ใช้มือเล็กๆ ปาดน้ำตาออกจากดวงตา พยายามปรับลมหายใจของตัวเอง หายใจเข้าลึกๆ หลายครั้ง เมื่อรู้สึกว่าอารมณ์คงที่แล้ว เธอจึงค่อยๆ ยื่นหน้าเล็กๆ เข้าไป มองเข้าไปในประตูที่เปิดแง้มอยู่ ก็พบร่างของพี่ชายอย่างรวดเร็ว
พี่ชายค่อนข้างสูงและหล่อเหลา ดังนั้นในห้องนี้จึงโดดเด่นมาก หมี่หลันเยว่ก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมพี่ชายถึงหล่อเหลามาั้แ่เด็ก แต่ทำไมตัวเองถึงหน้าตาธรรมดาขนาดนี้ ตัวเองเป็ผู้หญิงแท้ๆ ไม่ควรจะสวยกว่าเหรอ แต่คนที่หน้าตาดีที่สุดในบ้าน กลับเป็พี่ชายคนนี้ ไม่ใช่ตัวเธอเสียอย่างนั้น
ตอนนั้นพี่ชายก็เห็นน้องสาว เขารีบพยักหน้าให้น้องสาวด้วยซ้ำ เด็กชายอยากจะลุกขึ้นมาหาน้อง ทำให้หมี่หลันเยว่รีบส่ายหน้าให้พี่ชาย เธอแค่มาดูว่าพี่ชายทำอะไร ไม่ได้มาเพื่อรบกวนเขาเรียน เธอทำท่าทางให้พี่ชายรู้ว่าตัวเองจะไปแล้ว แล้วรีบจากไป
ดูเหมือนว่าในตอนนี้ยังไม่ต้องเป็ห่วงพี่ชาย ในความทรงจำของหมี่หลันเยว่ พี่ชายเป็ดาวเด่นมาั้แ่สถานรับเลี้ยงเด็กจนถึงประถม ภาพถ่ายขนาดใหญ่ของเขา ติดอยู่ในร้านถ่ายรูปในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มาหลายปี ในตอนนั้นก็ไม่รู้เื่สิทธิ์ในการถ่ายภาพ ไม่งั้นคงเป็รายได้ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาน่าจะเริ่มปล่อยปละละเลยตัวเองตอนมัธยมต้น ดังนั้นตัวเธอควรจะรีบจับเขาไว้ั้แ่ตอนนั้น ตอนนี้ยังควรคิดถึงตัวเองให้มากๆ ก่อน
ใช่แล้ว ยังมีน้องชายอีกคน แม้ว่าน้องชายจะเพิ่งเกิดมาได้สองเดือน แต่เขาไม่ค่อยตั้งใจเรียน เธอต้องวางแผนช่วยเขาให้ดี
พ่อแม่ของเธอเป็ครูทั้งคู่ แต่มีดก็เหลาด้ามจับของตัวเองไม่ได้ พวกเขาสละเวลาให้กับนักเรียนของตัวเอง ตื่นเช้าเข้านอนดึก ในชาติที่แล้วเธอไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าพ่อแม่ละเลยตัวเอง ชาตินี้ความคิดของหมี่หลันเยว่แตกต่างออกไปแล้ว เธอภูมิใจที่มีพ่อแม่ที่ตั้งใจทำงาน ส่วนเื่อื่นๆ ก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของเธอเถอะ
พอออกจากห้องเรียนของพี่ชาย หมี่หลันเยว่ก็ไปเดินวนเวียนอยู่ข้างแปลงดอกไม้อีกสองรอบ คราวนี้แค่เดินช้าๆ เธอพบว่าตัวเองยังเด็กเกินไป ไม่สามารถใจร้อนได้ แม้แต่การเดินช้าๆ แบบนี้ ก็ทำให้ร่างกายของตัวเองผ่อนคลายขึ้นมาก เธอแอบอยู่หลังแปลงดอกไม้ ยืดขาให้ตรง ใช้มือนิ้วแตะปลายเท้า ยืดเส้นยืดสาย ก็ได้ยินเสียงกริ่งหมดเวลาเรียนจากด้านหน้า
นี่คือหมดเวลาเรียนคาบแรก แม่จะต้องมาดูเธอแน่นอน หมี่หลันเยว่มั่นใจมาก วันแรกที่ส่งลูกมาสถานรับเลี้ยงเด็ก แม่จะต้องเป็ห่วง เธอต้องไม่สร้างภาระอะไรให้แม่อีก แม่ลำบากมากแล้ว ต้องทำให้แม่เห็นว่าเธอสบายดี ปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ดี
เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าเล็กๆ ที่แม่ยัดไว้ในกระเป๋ากระโปรงออกมา หมี่หลันเยว่เช็ดเหงื่อบนใบหน้าและหน้าผาก อากาศร้อนขนาดนี้ การทำให้ตัวเองสดชื่นอยู่เสมอก็ไม่ใช่เื่ง่าย แต่ควรพยายามทำให้ตัวเองสะอาดเข้าไว้ เช็ดหน้าเสร็จก็เช็ดมือ หลังจากนั้นก็พับผ้าเช็ดหน้าเก็บใส่กระเป๋า
"แม่คะ"
หมี่หลันเยว่ที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียน เห็นร่างของแม่เป็คนแรก เธอก้าวขาเล็กๆ วิ่งไปหาแม่ ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยรอยยิ้ม