ในตอนที่ฟู่ผิงเซียงกำลังจะเงยหน้าขึ้นตอบนายหญิงใหญ่ฟู่ก็ทำความเคารพต่อพระสนมซูแล้วกล่าวว่า “เหนียงเหนี่ยงทุกอย่างล้วนเป็ปัญหาที่มาจากหม่อมฉันเพคะหม่อมฉันจะกลับไปอบรมสั่งสอนแก่เซียงเอ๋อร์อย่างแน่นอน เพียงแต่เื่ในวันนี้หม่อมฉันอยากขอให้เหนียงเหนี่ยงทำเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเพคะ”
หน้าตาของฟู่ผิงเซียงนั้นให้กลิ่นอายของความทระนงตนหยิ่งผยองส่วนคำพูดคำจาแข็งกระด้าง แต่ในขณะเดียวกันนายหญิงใหญ่ฟู่กลับมีหน้าตาสงบเสงี่ยมดูแล้วเป็สตรีที่นุ่มนวลอ่อนโยนลักษณะท่าทางของสองแม่ลูกจึงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
พระสนมซูลูบคลำหน้าผากอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าความหมายของนายหญิงใหญ่ฟู่นางเข้าใจดีเพราะนางเองก็เป็แม่คน “เปิ่นกง[1] ก็คิดว่าผู้คนที่มาร่วมในงานนี้ล้วนมีมายมายนัก เ้าคิดว่ามีแค่ผู้คนในห้องนี้ที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?” เมื่อเห็นท่าทีวิงวอนของนายหญิงใหญ่ฟู่ก็ได้แต่ถอนหายใจ “ช่างเถิด” ก่อนจะมองไปยังเหล่าบริวารแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า“เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่อนุญาตให้พูดออกไป ถ้าเปิ่นกงรู้ว่าใครพูดออกไปรับโทษไม่เว้น”
“เพคะ”
หนิงซิ่วหลันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทำได้เพียงหงุดหงิดอยู่ในใจ ความจริงเื่นี้ส่งผลดีต่อน้องชายของนางแต่บัดนี้กลับถูกพระสนมซูปิดเื่ให้
ชุยกู้กู่ได้พาท่านหญิงทั้งหมดไปที่กระโจมที่ประทับด้านข้างจากนั้นก็ได้มีคนของทางวังนำไปที่อุทยานล่าสัตว์ส่วนกู้เจิงนั้นถูกเว่ยซื่อเรียกตัวไป
เว่ยซื่อก็นำกู้อิ๋งและกู้เหยามายังกระโจมที่ประทับด้านข้าง
เมื่อเห็นสีหน้าเว่ยซื่อ กู้เจิงก็เอ่ยอยู่ภายในใจว่า ‘ซวยแล้ว’ ก่อนจะทักทายด้วยความสุภาพตามปกติ“ท่านแม่”
“กู้เจิง ข้าอยากตีเ้าให้ตายจริงๆ”เว่ยซื่อมองดูท่าทางอ่อนแอปวกเปียกของกู้เจิงด้วยความเกลียดชัง สีหน้าที่นิ่งขรึมสง่างามเสมอมาบิดเบี้ยวด้วยโทสะ“เ้าเคยรับปากข้าไว้ว่าอะไรจะไม่ทำเื่ที่เสียหายต่อชื่อเสียงของกู้อิ๋งและกู้เหยาเด็ดขาด แล้วดูเื่ที่เ้าทำสิ”
“ท่านแม่ เื่นี้จะมาโทษข้าก็ไม่ได้เป็คุณหนูตระกูลหนิงและตระกูลฟู่ที่จู่ๆ ก็โผล่มาแล้วมาหาเื่ข้าเ้าค่ะ”หากต้องโดนลงโทษในเื่ที่ไม่ได้ก่อ เช่นนั้นก็ไม่เป็ธรรมต่อกู้เจิงแล้ว
กู้อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างโมโหว่า “ท่านวิ่งไม่เป็หรือ?”
“ข้าคิดจะวิ่ง แต่คุณหนูฟู่ก็มาขวางข้าไว้”
เว่ยซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ “ข้าไม่ควรพาเ้ามางานล่าสัตว์ด้วยเลยไม่คิดว่าจะก่อเื่ใหญ่โตเช่นนี้”
“พี่ใหญ่ ท่านคงไม่ได้ตั้งใจทำกระมัง?” กู้เหยามองกู้เจิงอย่างสงสัย “แค่หกล้มเท่านั้น แต่เหตุใดถึงดึงกระโปรงผู้อื่นได้เหมาะเจาะเช่นนี้? มีเื่บังเอิญขนาดนี้ด้วยหรือเ้าคะ?”
เมื่อเห็นกู้เหยากำลังจ้องมองตนเองด้วยสายตาสงสัยกู้เจิงก็ตอบกลับอย่างเ็าว่า “ความคิดของข้าจะชั่วร้ายเช่นเ้าได้อย่างไร?”
“เ้าสิชั่วร้าย” กู้เหยาโมโหจนหน้าแดง “ถ้าท่านพ่อรู้กลับบ้านไปต้องไม่ปล่อยเ้าไว้แน่”
กู้เจิงไม่ได้กังวลในจุดนี้
“เ้าทำเื่เช่นนี้ ยังมีหน้ามาหาว่ากู้เหยาชั่วร้ายงั้นหรือ? หวังแค่ว่าพระสนมซูจะระงับเื่นี้ไว้ได้แต่ถ้าไม่ได้คุณหนูตระกูลฟู่คงต้องบวชเข้าวัดใช้ชีวิตดั่งโคมเขียวพระโบราณ[2] ไม่เช่นนั้นก็ต้องแต่งกับบุตรชายของอนุตระกูลหนิงนั่น”เว่ยซื่อปวดหัวไม่หยุด สายตาที่มองกู้เจิงเต็มไปด้วยความรังเกียจ “คุณหนูดีๆคนหนึ่งต้องถูกเ้าทำลายเช่นนี้เสียแล้ว”
กู้เจิงก้มหน้าไม่พูดอะไรอีก คำพูดของนางพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เื่ราวล้วนมีทั้งเหตุและผลทว่าสาเหตุนี้เล็กน้อยยิ่งแต่ผลความเสียหายที่ก่อเกิดต่อฟู่ผิงเซียงนั้นใหญ่หลวงยิ่งนักแม้แต่ตัวนางเองยังรู้สึกทุกข์ใจถึงอย่างไรนั่นก็เป็ชีวิตทั้งชีวิตของสตรีผู้หนึ่ง เฮ้อ
มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่าอาหารพร้อมแล้วและพระสนมซูกำลังรอให้ทั้งสามแม่ลูกสกุลเว่ยไปร่วมมื้ออาหาร สำหรับกู้เจิงนั้นชุยกู้กู่ได้มาพานางไปที่อุทยานล่าสัตว์เพื่อร่วมมื้ออาหารซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระสนมซูเป็ห่วงนางอย่างมาก
อุทยานล่าสัตว์สารทฤดูมีขนาดใหญ่มากมีหอศาลาหลายหลังเชื่อมต่อกันในนั้น และตรงกลางเป็ลานจัตุรัสเล็กๆที่เต็มไปด้วยธงล่าสัตว์ และป่าจำลองในเขตอุทยานนั้นสูงเท่ากับต้นสน กองทหารรักษาการณ์ภายใต้บังคับบัญชานั้นสูงตรงดุจต้นสน[3]
ในลานจัตุรัส บรรดานายหญิงสกุลต่างๆ ก็รวมตัวกันพูดคุยหัวเราะกันมีเหล่าคุณหนูกำลังจับกลุ่มเล่นปาลูกดอกลงบ้าง บางส่วนก็จับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและท่ามกลางกลุ่มบุรุษก็พูดคุยกันเป็อย่างดี
ใต้กระโจมหลังหนึ่งมีโต๊ะจัดเลี้ยงที่สามารถรองรับได้เจ็ดหรือแปดคน และมีบ่าวรับใช้เดินไปๆ มาๆเพื่อจัดจานอาหาร
“คุณหนูใหญ่กู้ หนูปี้ขอตัวเ้าค่ะ”ชุยกู้กู่ยอบกายให้กู้เจิงแล้วจากไป
“ขอบคุณเ้าค่ะกู้กู่”
เมื่อกู้เจิงละสายตาจากชุยกู้กู่ก็เห็นท่านพ่อและน้องชายกำลังเดินเข้ามาหานาง
“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงเพิ่งมาตอนนี้เล่า?”กู้เจิ้งชินถามนางด้วยเสียงตื่นเต้นดูเหมือนว่าเขาจะชอบกิจกรรมการล่าสัตว์นี้มาก
กู้เจิงทำความเคารพกู้หงหย่งพร้อมกับเรียกท่านพ่อก่อนจะตอบน้องสองว่า “ระหว่างทางมีเื่ให้ต้องล่าช้าน่ะ”ถ้าท่านพ่อของนางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าจะต้องปวดหัวอีกเป็แน่
“ที่นี่มีกฎข้อบังคับ จะมานั่งมั่วซั่วไม่ได้ ไปเถิด” กู้หงหย่งเหลือบมองกู้เจิงอย่างเ็าและพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะจัดเลี้ยงสองสามโต๊ะสุดท้าย
แม้ตระกูลกู้จะเป็หนึ่งในตระกูลป๋อเจวี๋ย ทว่ากู้หงหย่งนั้นไม่มีทั้งชื่อเสียงและตำแหน่งในราชการหากไม่ใช่เพราะเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพฉางผิงโหวและบุตรสาวได้หมั้นหมายให้กับองค์ชายห้าเกรงว่าคงมานั่งในงานเลี้ยงที่น่าจดจำนี้ไม่ได้
กู้เจิงเห็นบิดาผู้นี้ทักทายผู้คนที่เดินอยู่ข้างๆอย่างกระตือรือร้น ยิ้มเต็มใบหน้าจนเกิดรอยย่นคนส่วนใหญ่ที่ถูกทักทายล้วนตอบรับไปอย่างนั้น บางคนถึงกับไม่สนใจจะมองเสียด้วยซ้ำแต่จนแล้วจนรอดท่านพ่อผู้นี้ก็ยังไม่เข้าใจถึงฐานะที่แท้จริงของตนเอง
“ท่านพ่อ การสอบขุนนางในสองเดือนหลักจากนี้ข้าจะต้องได้ตำแหน่งอย่างแน่นอนขอรับ” เมื่อเห็นว่าท่านพ่ออับอายเช่นนี้กู้เจิ้งชินจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
กู้หงหย่งได้ยินบุตรชายกล่าวเช่นนี้ก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ดีพ่อเชื่อว่าเ้าจะต้องทำได้ แต่เ้าเพิ่งอายุสิบหก แม้ครั้งนี้จะไม่ผ่านก็ไม่มีใครว่าอะไร”
“ไม่รู้ว่าคุณชายเสิ่นจะเข้าสอบด้วยหรือไม่? ถ้าคุณชายเสิ่นเข้าสอบก็คงได้รับตำแหน่งอย่างแน่นอน”กู้เจิ้งชินมองไปที่กู้เจิงและกล่าวว่า“หลังจากพี่ใหญ่แต่งงานไปแล้วก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้นขอรับ”
กู้เจิงยิ้มอย่างเป็มิตรให้กับน้องชายผู้นี้นางรู้ว่าเขาหวังดีต่อนางจริงๆ
-----------------------------------------------
[1] เปิ่นกง คำเรียกแทนตนเองของราชวงศ์ฝ่ายหญิง
[2] โคมเขียวพระโบราณ หมายถึงการใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างของพระพุทธศาสนา
[3] สูงตรงดุจต้นสน เปรียบเปรยว่ามั่นคงและไม่สั่นคลอนเหมือนต้นสนที่แข็งแรง