ยังไม่ถึงคืนเดือนดับจึงอาศัยแสงเล็กน้อยจากพระจันทร์เสี้ยว เจียงเฉิงเยว่เห็นหลี่อวิ๋นหังนอนอยู่บนเตียงโดยมีเหงื่อเย็นทั่วร่าง หอบหายใจอย่างหนัก ดิ้นรนราวกับฝันร้าย มีเงามืดจางๆ คล้ายกลุ่มควันหรือเมฆห่อหุ้มร่างกายของอีกฝ่ายอยู่
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบสนอง องค์ชายห้าผู้นี้ถูกส่งมายังวิหารหลิงเซียว สาเหตุที่สำคัญมากประการหนึ่งเป็เพราะชะตาหยินขั้นสูงสุดของเขา เมื่อปาจื้อเป็หยินขั้นสูงสุด หากเกิดมาเป็สตรีพร้อมกับขาดธาตุหยางอาจไม่มีชีวิตรอดในวัยเด็ก หากเกิดเป็บุรุษจึงดีกว่าเล็กน้อย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะอ่อนแอจนดึงดูดสิ่งชั่วร้ายเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่หลี่อวิ๋นหังยังไม่เป็ผู้ใหญ่ ยังคงเป็เด็กน้อยอยู่ บุรุษที่มีชะตาหยินขั้นสูงสุดมากมาย หากไม่รอดชีวิตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ก็ตายก่อนวัยอันควร ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่หลี่อวิ๋นเฉินเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากคืนเดือนดับ
เจียงเฉิงเยว่ส่งเสียงในลำคอ คิดในใจว่าสองพี่น้องนี้ช่าง...ตกทุกข์ได้ยากกันทั้งพี่ทั้งน้อง!
เจียงเฉิงเยว่เดินไปนั่งข้างเตียงของหลี่อวิ๋นหัง เขาหันศีรษะเล็กน้อย พลันรู้สึกถึงการต่อต้านของค่ายกล
เขาเคาะพื้นเบาๆ ด้วยปลายเท้า ค่ายกลที่อ่อนแอส่องแสงสีแดงน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นรอบเตียง ผู้ที่วาดค่ายกลนี้ดูเหมือนจะเป็มือใหม่ ทักษะการวาดค่อนข้างอ่อนด้อย การบ่มเพาะแทบจะไม่มี ไม่จำเป็ต้องคิด ผู้ที่สร้างค่ายกลนี้มีเพียงคนเดียว นั่นคือหลี่อวิ๋นหังที่นอนอยู่ใจกลางของค่ายกลในเวลานี้
หลี่อวิ๋นหังมีชะตาเช่นนี้ั้แ่ยังเด็ก เื่แบบนี้คงไม่ใช่ครั้งแรก
แม้ว่าการวาดค่ายกลเช่นนี้ในอายุสิบเอ็ดปีจะไม่ง่ายนัก แต่ด้วยการบ่มเพาะของเด็กอายุสิบเอ็ดปีนั้น...คาดหวังให้ค่ายกลเช่นนี้มีประสิทธิภาพเพียงใดหรือ?
เจียงเฉิงเยว่ยื่นมือจากแขนเสื้อไปเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากของหลี่อวิ๋นหัง พยายามปลุก “อาหัง...อาหัง?”
หลี่อวิ๋นหังอยู่ในอาการหมดสติ ไม่ว่าจะปลุกเขาอย่างไรกลับไม่ตื่น
เจียงเฉิงเยว่จับมือเล็กของอีกฝ่าย ฝ่ามือนั้นเย็นเยียบและเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ข้อมือที่โผล่พ้นออกมานอกแขนเสื้อกว้างขาวซีด ช่างดูอ่อนแอภายใต้แสงจันทร์ยิ่งทำให้เขารู้สึกปวดใจ พลังหยินชั่วร้ายที่ปกคลุมร่างกายของอีกฝ่ายนั้นก่อตัวขึ้นเล็กน้อย การต่อสู้เช่นนี้เกรงว่าต้องอดทนอย่างเงียบงันั้แ่ยังเด็ก
หลังจากเจียงเฉิงเยว่เช็ดคราบเหงื่อบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจ ยกผ้าขึ้นแล้วนอนตะแคงฝั่งด้านนอกของเตียง จากนั้นโอบร่างที่บอบบางไว้ในอ้อมแขนอย่างเงียบงัน หยกคู่เพลิงสุวรรณบนร่างของเขาส่องแสงสีแดงเล็กน้อยโดยธรรมชาติเมื่อพบกับพลังหยินชั่วร้าย ก่อนที่และเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างคลุมเครือในพลังหยินชั่วร้ายที่โปร่งแสงนั้นจะค่อยๆ จางหายไปทีละนิด
ร่างกายเย็นเยียบของหลี่อวิ๋นหังที่ถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของเจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ สงบลง อีกฝ่ายนอนเหยียดตรง ไม่มีแนวโน้มแสวงหาแหล่งความร้อนในอ้อมแขนตามสัญชาตญาณ หลี่อวิ๋นหังที่หลับอยู่ในห้วงความฝันเบะปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ขนตายาวที่สั่นระริกนั้นเปียกโชกด้วยเหงื่อหรือน้ำตาจนติดกันเป็หยดเล็ก เขาเพ้อขึ้นมาเสียงแ่เบา ะโคำว่า ‘เจ็บ’ กับ ‘หนาว’ ออกมาจากริมฝีปากซ้ำไปซ้ำมา แต่กลับไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเรียกชื่อผู้ใดเลย
ภายในใจของเจียงเฉิงเยว่เ็ปอีกครั้ง
ลองคิดดูว่าอีกฝ่ายสามารถเรียกหาใครได้บ้าง ‘เสด็จพ่อ’ ผู้นั้นทิ้งเขาไว้ที่นี่โดยไม่สนใจ แม้กระทั่ง ‘มารดาสนม’ ที่จากไปยามอายุยังไม่ถึงสามปี เกรงว่าอาจจำรูปลักษณ์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ ลูบอีกฝ่ายเบาๆ กล่อมให้หลับอย่างอ่อนโยนจนกว่าจะสงบลงอย่างสมบูรณ์ ร่างกายที่เย็นเยียบค่อยๆ กลับมาอบอุ่นขึ้นทีละนิด พลังหยินชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่โดยรอบสลายไป
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ยังไม่ทันเช้าเขาลุกขึ้นห่มผ้าห่มให้กับหลี่อวิ๋นหัง จากนั้นนำหยกคู่เพลิงสุวรรณออกมาจากเอววางไว้บนหัวเตียงของอีกฝ่าย
ก่อนจากไป เขามองไปยังค่ายกลที่อ่อนด้อยนั้นบนพื้นพลางครุ่นคิด สุดท้ายละทิ้งแผนการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ หากทำเช่นนั้นอาจเป็การเปิดเผยตัวตน
เจียงเฉิงเยว่เขย่งเท้าแล้วผลักประตูออกไป เมื่อกลับห้องของตนเองแล้วกลับนอนไม่หลับ ในใจมีความขุ่นเคืองเล็กน้อยยากที่จะดับ สุดท้ายไม่รอให้ฟ้าสว่าง เขารีบร้อนไปคิดบัญชีกับคนผู้หนึ่ง
เวลานี้มีลูกศิษย์ไม่กี่คนที่ลุกขึ้นมา มีคนที่ขยันขันแข็งเป็พิเศษ เมื่อเห็นเขาต่างก็ใ จากนั้นรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็ว ต้องกล่าวก่อนว่าเจียงเฉิงเยว่อาศัยในวิหารหลิงเซียวเป็เวลาสองเดือนแล้ว มีใครไม่ทราบบ้างว่าองค์รัชทายาทผู้นี้บอบบางและอ่อนแอ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนลุกยามสายตะวันโด่ง
เจียงเฉิงเยว่มีใบหน้าเ็า หลังจากถามที่อยู่ของราชครูจากเหล่าลูกศิษย์ซึ่งยังคงตกตะลึง เขาออกวิ่งไปโดยไม่หยุดแม้เพียงสักครู่
ถูกต้อง คนที่เขาจะคิดบัญชีด้วยคืออาจารย์ของหลี่อวิ๋นหัง ราชครูแห่งประเทศจงซานผู้มีการบ่มเพาะยิ่งใหญ่
การบ่มเพาะนั้นนับได้ว่าหนีเสวียนเฮ่อคือจุดสูงสุดของผู้ฝึกฝนธรรมดาที่เจียงเฉิงเยว่เคยพบเห็น แต่หากเทียบกับเขาแล้วค่อนข้างอธิบายไม่ได้ ตามกฎของวิหารหลิงเซียว นักพรตผู้ยิ่งใหญ่จากสำนักอื่นที่ไม่ได้บ่มเพาะในที่แห่งนี้ย่อมไม่อาจขึ้นมา และเจียงเฉิงเยว่เองก็ไม่สามารถออกหน้าได้ ผู้ที่สามารถออกหน้าได้คือราชครูผู้นี้ สิ่งที่ทำให้เจียงเฉิงเยว่ขุ่นเคืองอย่างยิ่งคือ ทำไมราชครูผู้นี้ที่เพียงยื่นนิ้วก้อยก็สามารถทำให้ค่ายกลนั้นเสร็จสมบูรณ์ได้กลับไม่เคยวาดให้หลี่อวิ๋นหังด้วยตนเอง? เขารู้อย่างชัดเจนว่าศิษย์น้อยผู้นี้ของตนเองมีชะตาเช่นนี้ ในฐานะอาจารย์ เขาไม่มีความรับผิดชอบที่จะดูแลสักนิดเลยหรือ?
ด้วยการบ่มเพาะ ‘อันยิ่งใหญ่’ ของราชครูนั้น ปกติจะไม่ตื่นสาย แน่นอนว่าขณะนี้อีกฝ่ายต้องลุกขึ้นแล้ว โดยมานั่งขัดสมาธิบนหินผาในจุดที่สูงที่สุดบนยอดเขาทางเหนือของเขาฉีหวน เป็หนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แสงระยิบระยับของแดดยามเช้าเคลือบผมขาว เคราสีเงินและอาภรณ์สีขาวเรียบง่ายอย่างเป็ประกายอยู่หนึ่งชั้น ดูราวกับเทพเ้าบน์เก้าชั้นฟ้า ใบหน้าที่ทรงธรรมนำมาซึ่งความเมตตาต่อผู้คนทั้งมวล ทั้งยังมีความเคยชินที่จะเฉยเมยกับความทุกข์ยากของผู้คน
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนึกอะไรบางอย่างออกจึงลืมตาขึ้น เหลือบมองมายังใบหน้าแดงก่ำของเจียงเฉิงเยว่ จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียก “ฝ่าา”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง จิตใจไม่สงบเล็กน้อยภายใต้สายตาของอีกฝ่ายอย่างอธิบายไม่ได้ เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมย กลับดูเหมือนว่าตนเองนำเื่ธรรมดาที่ไม่สลักสำคัญเช่นนี้มารบกวนอีกฝ่ายอย่างไร้เหตุผล เขาหายใจเข้าลึก แอบด่าทอตนเองที่ไม่ได้เื่อยู่คำหนึ่ง จากนั้นจัดระเบียบความคิด
ความโกรธส่วนใหญ่สลายไปแล้ว เจียงเฉิงเยว่ไตร่ตรองก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ท่านอาจารย์...เป็เช่นนี้ ไม่กี่วันมานี้อวิ๋นเฉินนั้น ไม่ทราบว่าเหตุใดมักนอนไม่หลับยามกลางคืน เมื่อคืนนี้ข้าได้ยินเสียงน้องห้าที่ดูเหมือนจะฝันร้ายจึงไปตรวจสอบ ข้าเห็นว่าทั้งร่างเขาปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นและเพ้อติดกัน เป็ไปได้มากว่าเขาจะป่วย ชะตาของน้องห้านั้นพิเศษ ่คืนเดือนดับิญญาชั่วร้ายจะแข็งแกร่งยิ่ง ไม่ทราบว่าที่เขาป่วยเป็เพราะเหตุนี้หรือไม่...การบ่มเพาะของท่านอาจารย์นั้นลึกซึ้งจนยากจะคาดเดา ไม่ทราบว่าท่านสามารถวาดค่ายกล ยันต์ หรือเขตอาคมอะไรจำพวกนั้น...เพื่อช่วยเขาหลีกเลี่ยงจากการบุกรุกของพลังหยินชั่วร้ายเ่าั้ได้หรือไม่?”
ราชครูไม่ตอบ กลับมองเขาอย่างเงียบงันโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เจียงเฉิงเยว่ที่ถูกเฝ้ามองรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ในใจ เขาััได้ว่าดวงตาคู่นั้นมองทะลุปรุโปร่งมายังิญญาาาผีของตนเองผ่านกายเนื้อของหลี่อวิ๋นเฉิน จึงอดไม่ได้ที่จะแข้งขาอ่อนจนถอยหลังไปครึ่งก้าว
ท้ายที่สุดแล้วชายชราผู้นี้กำลังมองอะไรอยู่? ถ้อยคำนี้ไม่ควรเผยช่องโหว่ใดๆ...อย่างไรเขาก็พูดความจริง โดยพื้นฐานแล้ว ชะตาหยินขั้นสูงสุดของหลี่อวิ๋นหังเป็ที่รู้จักกันไปทั่ว ่คืนเดือนดับพลังหยินชั่วร้ายจะแข็งแกร่งยิ่ง ซึ่งเป็ความรู้พื้นฐานในการบ่มเพาะระดับเริ่มต้น
เป็ระยะเวลานาน ชายชราถึงกล่าว “ฝ่าาทรงคิดว่า...ชายชราผู้นี้ควรออกหน้าช่วยเหลืออย่างนั้นหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เกือบะเิคำว่า ‘เหลวไหล’ ออกมา การช่วยเหลือเล็กน้อยนี้ยังไม่ช่วย เ้ากล้าที่จะเป็อาจารย์ของเขาได้อย่างไร?!
ผลลัพธ์คือชายชราเริ่มกล่าวพุทธวจนะที่ยากจะเข้าใจแก่เจียงเฉิงเยว่อย่างไม่รู้จบ ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่า “จิตใจไม่หลงไม่ตกอยู่ในความเป็ตาย กรรมไม่ผูกเวรไม่มีรูปร่าง รักไม่หนักหนาไม่หมุนวน เมื่อไม่รู้ย่อมไม่รู้สึกเหนื่อยยากจากกรรม”
“หากไม่เห็นธรรมทั้งพระตถาคต จักได้นามว่าอวโลกิเตศวร เมื่อหมดกรรมจักว่างเปล่าดังเดิม หากไม่จักต้องชดใช้หนี้”
“ความคิดแห่งความโง่เขลาจะนำไปสู่ความตาย ความคิดแห่งปัญญานำไปสู่ชีวิต”
เจียงเฉิงเยว่ถูกเขาทำให้วิงเวียนศีรษะ เืในอกพลุ่งพล่าน ก่อนที่ิญญาจะหลุดลอย...สิ่งที่เขาฟังไม่เข้าใจจำนวนมาก พลันเข้าใจถึงความเป็ไปได้จากถ้อยคำนั้น
คนผู้นี้คิดว่าชะตาของหลี่อวิ๋นหังคือกรรมของเขา เป็วิบากกรรมของเขา และยังเป็พรของเขาด้วย...
หลังได้ยินเช่นนี้ เจียงเฉิงเยว่แทบอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเอ่ยอย่างขุ่นเคือง ถ้าไม่อย่างนั้นก็เอาพรนี้ของเขาให้ท่านดีหรือไม่?
โดยสรุปแล้วทัศนคติของชายชราคือ ชะตานี้เป็สิ่งที่หลี่อวิ๋นหังควรประสบ หากเข้าไปยุ่งเกี่ยวจะส่งผลกระทบต่อผลกรรม ผู้อื่นไม่ควรเข้าไปยุ่ง อีกฝ่ายมีเจตนาเกลี้ยกล่อมเจียงเฉิงเยว่ไม่ให้เข้าไปแทรกแซง
เจียงเฉิงเยว่เอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ เขาทุบหน้าอกตนเอง กล้ำกลืนเืขุ่นที่อาจกระอักออกมา หลบหนีไปด้วยความหม่นหมอง ไม่ใช่เื่เกินจริงที่จะบอกว่าเขาหลบหนี!
์เป็พยาน เขามีชีวิตอยู่มานานกว่าหนึ่งร้อยถึงสองร้อยปีแล้ว หากเขามีปัญญาก็ควรจะเหมือนกับหลิวเฟิงหรือเสวียนชิงเช่นนั้นที่ ‘กายอยู่ปรโลก แต่หัวใจมุ่งสู่์’ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็ ‘เซียนสื่อ’ ในปรโลก แล้วสําหรับผู้ที่มีความฉาวโฉ่อย่างที่เป็อยู่ตอนนี้ ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ พลังถูกริบ ติดอยู่ในร่างกายของมนุษย์ธรรมดาที่ต้องคอยเอาชีวิตรอดอย่างระมัดระวังเล่า?
เจียงเฉิงเยว่หมุนตัวเตรียมจะจากไป ทว่าชายชรายังคงกล่าวไม่พัก พยายามเรียกเขาแล้วกำชับ “ฝ่าา...ทุกสรรพสิ่งเป็เท็จ ทั้งหมดมีความคิดเดียว ความคิดก้าวหน้าและถอย ความคิดดีและร้าย ความคิดโง่เขลาและปัญญา ความคิดพระพุทธเ้าและมาร...ความคิดของชีวิต ความคิดของความตาย ความคิดที่เสียใจ คิดที่ตระหนัก ทุกอย่างแล้วแต่พระองค์จะทรงเลือก...หากสุดท้ายพระองค์เคารพในพระทัยเดิม กระหม่อมหวังว่า พระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนความตั้งใจแรก ไม่หวาดหวั่นกับความกลัว ไม่รังเกียจความยากลำบาก ไม่ตกอยู่ในกรรม ไม่ตกบ่วงมาร ไม่เสียพระทัย...”
“ลาก่อน!” ไม่รอให้เขาพูดจบ เจียงเฉิงเยว่กรีดร้องออกมา เขาถูฝ่าเท้าด้วยน้ำมัน รีบวิ่งหนีไปก่อนได้ยินเสียงชายชราถอนหายใจอย่างคลุมเครือราวกับช่วยไม่ได้
ยามเช้า เจียงเฉิงเยว่ถูกชายชราทำให้รู้สึกหายใจไม่ออกอย่างอึดอัดใจ เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างไม่อาจสงบลงได้ รอจนหลังอาหารเช้าก็เห็นศิษย์รับใช้ผู้นั้นที่อยู่ข้างกายหลี่อวิ๋นหัง เขาเพิ่งจะรู้ว่าไฟโทสะของตนในวันนี้เพิ่งเริ่มต้น ยังมีความจริงที่เฝ้ารออยู่
เจียงเฉิงเยว่มองไปที่ท่าทางขอโทษของอิ้นไป่อย่างไร้คำพูด ฝ่ามือถือหยกคู่ที่คุ้นเคยชิ้นนั้น “องค์ชายห้าให้ข้าน้อยมากราบทูลกับฝ่าา...หยกนี้ฝ่าามอบให้ ถึงแม้พระองค์จะทรงเป็องค์รัชทายาทก็ไม่อาจมอบของให้ผู้อื่นตามใจ นอกจากนี้ องค์ชายห้าทรงไม่กล้ารับ ไม่กล้าขัดคำสั่ง องค์ชายห้าทรงรับโทษฐานนี้ไว้ไม่ไหว...ดังนั้น...ดังนั้นฝ่าาโปรดนำของสิ่งนี้กลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
ไม่ง่ายที่จะอดกลั้นผ่านวันนี้ไป เจียงเฉิงเยว่คิดว่ามันจบลงแล้ว เมื่อกลับถึงห้องพักที่บ้านพักในตอนกลางคืน เขาถึงได้รู้ว่าเขาคิดผิด ไฟโทสะของเขายังสามารถปะทุขึ้นได้อีก
หลี่อวิ๋นหังยุ่งอยู่กับการย้ายที่พัก ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งช่วยกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย หลังเห็นเจียงเฉิงเยว่ หลี่อวิ๋นหังไม่ได้ปิดบัง อีกฝ่ายประสานมือทำความเคารพอย่างเฉยเมย เรียกเขาอย่างเคารพ “เสด็จพี่”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็เวลานาน กัดฟันแน่นถามด้วยรอยยิ้มฝืน “อาหัง นี่คือ?”
หลี่อวิ๋นหังกล่าว “่นี้ข้าฝันร้ายตอนกลางคืน กลัวว่าเสียงเพ้อจะรบกวนการบรรทมของเสด็จพี่จึงย้ายออกจากที่นี่”
เจียงเฉิงเยว่พูดไม่ออก
ดังที่คาดคิด หลี่อวิ๋นหังย้ายที่พักไปยังห้องพักที่ห่างจากเจียงเฉิงเยว่อยู่สองห้อง แม้ว่าเรือนรับรองแห่งนี้จะเป็สถานที่สำหรับศิษย์ผู้ฝึกฝนอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่สถานะขององค์ชายทั้งสองนั้นแตกต่าง ด้วยเหตุนี้ ศิษย์ที่เหลือจึงอาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งห่างออกไป ห้องพักส่วนใหญ่ของที่นี่จึงว่าง หลี่อวิ๋นหังจึงสามารถอยู่ห้องไหนก็ได้ตาม้า
เจียงเฉิงเยว่เข้าไปในห้องของตนเองอย่างเงียบๆ เขาปวดใจจนต้องไปคิดบัญชีกับอาจารย์ของอีกฝ่าย แล้วผลลัพธ์เล่า...คาดว่าคงมีใครสักคนหัวเราะเยาะอย่างลับๆ ที่เขาสอดไม่เข้าเื่กระมัง?
ฉิงชางจวินผู้ที่อายุราวสองร้อยปีปิดประตูเข้ามา กลับกลั้นไว้ไม่ได้จนแทบจะด่าทอมารดา สุดท้ายเขาทานทนไม่ไหว ด่าตนเองอยู่สองประโยค “ใครให้เ้าทำชั่วกัน! ทำตัวเป็คนดีอะไร?! เ้าคิดว่าเขาเป็น้องชายของเ้าจริงๆ หรือ?!”
ในตอนกลางคืน หลังจากชำระล้างความโกรธเคืองเจียงเฉิงเยว่จึงเข้านอน เขานอนพลิกไปพลิกมา ยากที่จะหลับ
วันนี้เป็หนึ่งวันก่อนคืนเดือนดับ พรุ่งนี้เป็คืนเดือนดับ คืนนี้เมื่อเทียบกับเมื่อคืนแล้ว...พลังหยินชั่วร้ายจะแข็งแกร่งยิ่ง
คืนก่อนนอนไม่หลับอยู่แล้ว คืนนี้ความอ่อนล้าของร่างกายชัดเจนจนแทบควบคุมย่างก้าวไม่ได้ ทว่าพลิกไปพลิกมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ หลังจากหลี่อวิ๋นหังย้ายไปยังห้องที่ห่างออกไปอีกสองห้องนอน ตามที่คาดไว้ เสียงเพ้อและการเคลื่อนไหวใดเขาไม่ได้ยิน บริเวณโดยรอบล้วนเงียบสงัด
ภายในหัวใจของเจียงเฉิงเยว่มีการต่อสู้ระหว่าง์กับมนุษย์ ดิ้นรนอย่างไม่รู้จบ เสียงหนึ่งบอกว่าหากเขากังวลควรไปดู อีกเสียงหนึ่งบอกเขาอย่ามากสิ่ง เด็กคนนั้นจะอยู่หรือตายแล้วเกี่ยวอะไรกับตน? ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายเองยังไม่เต็มใจและรังเกียจ เหตุใดต้องรีบร้อนไปนำความอัปยศกลับมา?
เขาพลิกตัวไปมา...จะทอดทิ้งไปเช่นนี้และไม่สนใจจริงหรือ? ไม่ว่าอย่างไรสิบเอ็ดปีนี้ที่เขาไม่ได้พบเ้าก็รอดชีวิตมาอย่างดีไม่ใช่หรือไร? อาจเหมือนกับที่อาจารย์ของอีกฝ่ายพูด เป็กรรมของเขา เป็เหตุและผล และเป็พร
ฉิงชางจวินบังคับตนเองให้หลับตา สุดท้ายแล้ว่ที่ใกล้จะหลับกลางดึก เขาทนไม่ได้ขึ้นมา ะโขึ้นจากเตียงแล้วพูดกับตนเอง “เจียงเฉิงเยว่ เ้าผู้อายุเกือบสองร้อยปีทั้งยังโกรธเด็กน้อยอายุสิบเอ็ดปี? เ้านี่ช่างเลอะเลือนขึ้นจริงเชียว!”
เมื่อกล่าวจบ เขารีบก้าวไปเปิดประตู เดินอย่างเบามือเบาเท้าไปที่หน้าประตูของหลี่อวิ๋นหัง หลังจากยื่นมือออกไปผลักกลับพบว่าประตูถูกเด็กน้อยผู้นั้นลงกลอน เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเยาะอย่างช่วยไม่ได้แล้วกลอกตา ถึงอย่างไรเขาก็เป็าาผี ดังนั้นสิ่งกีดขวางเล็กน้อยเช่นนี้จึงขวางเขาไม่ได้ เขาร่ายเคล็ดวิชาเล็กน้อย ประตูจึงเปิดออกเป็การตอบรับ
------------------------