เด็กปรุงยาสองคนที่ทำตนยิ่งกว่าคนใบ้มาตลอดทาง แม้จะเป็ใบ้ก็ยังส่งเสียงอืออืออาอาออกมาบ้าง แต่พวกเขากลับเงียบสนิทได้อย่างน่าประหลาดใจ
เงียบมากจนผู้อื่นหลงลืมการมีอยู่ของพวกเขา สิ่งนี้ทำให้มู่จื่อหลิงยิ่งอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนทั้งสองมากยิ่งขึ้น
พวกเขาสงบดั่งสายลม แต่ไม่มีพิษมีภัยจริงหรือ?
นางเพิ่งสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าความโกรธที่ซ่อนอยู่ใต้ดวงตาของคนทั้งสองก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง นางมั่นใจว่าดูไม่ผิด
ดวงตาคู่งามของมู่จื่อหลิงกวาดมองไปมา มีแสงแวบวับวาบผ่านในแววตาที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
สาเหตุของการก่อการร้ายของพวกเขาอาจจะเป็เพราะ...มู่จื่อหลิงยังคงเพิกเฉยต่อหมอหลวงหลิน นางหยิบล่วมยาเดินตรงไปหาชายชราที่ตายไปแล้ว
“กุ่ยเม่ย ช่วยถอดเสื้อผ้าบริเวณหน้าอกของเขาให้ข้าที” มู่จื่อหลิงสั่งเบาๆ
“ขอรับ!” กุ่ยเม่ยตอบรับ หยิบชุดขาดรุ่งริ่งบริเวณหน้าอกของชายชราขึ้นมา
จากนั้น มู่จื่อหลิงจึงหยิบมีดผ่าตัดออกมากดลงตรงตำแหน่งหัวใจ ค่อยๆ เปิดออก การเคลื่อนไหวของนางก็ลื่นไหลราวกับก้อนเมฆและสายน้ำที่ไหลเอื่อย...
เมื่อเห็นว่ามู่จื่อหลิงไม่ตอบ ทั้งยังเมินเฉยต่อตนเองอย่างโจ่งแจ้ง หมอหลวงหลินก็ยิ่งหงุดหงิดยิ่งขึ้น
แต่เขาไม่ถามอะไรอีก เพียงมองตรงไปยังเล่อเทียนซึ่งยังคงล้างคราบเืออกจากตัวเด็กน้อย “ท่านหมอเล่อ ฝ่าาทรงมีความคาดหวังอย่างมากต่อทักษะทางการแพทย์ของท่าน ทำเช่นนี้เป็ความคิดที่ดีแน่หรือ?”
มู่จื่อหลิงสามารถยึดมั่นในสถานะที่สูงส่งของนางได้ และแม้ว่าเล่อเทียนจะมีเกียรติเช่นกัน แต่เขาย่อมไม่เหมือนมู่จื่อหลิงที่ไม่เข้าใจสถานการณ์จริง ในใจหมอหลวงหลินเข้าใจเช่นนั้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึงอะไร มู่จื่อหลิงไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์โรคระบาด แต่เขาสามารถถามจากเล่อเทียนได้ เล่อเทียนย่อมไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเ็าเหมือนดังมู่จื่อหลิง
แต่หมอหลวงหลินจะรู้ได้อย่างไรว่าปากของเล่อเทียนนั้นปิดแน่นกว่ามู่จื่อหลิง เขาตระหนี่มากจนไม่ยอมเปิดปากออกแม้แต่คำเดียว
เมื่อเห็นว่าเล่อเทียนยืนขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ ถอดถุงมือที่คับแน่นบนมือออก จากนั้นจึงหันไปหยิบผ้าสะอาดออกมาเช็ดนิ้วทีละนิ้วอย่างช้าๆ ราวกับไม่จำเป็ต้องรีบร้อนตอบคำถาม
หลังจากนั้นสักครู่
ยามที่หมอหลวงหลินกำลังรออย่างกระวนกระวายใจ เล่อเทียนก็โยนผ้าในมือทิ้งไป จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองหมอหลวงหลินราวกับกำลังจะพูด
ดวงตาที่ลึกล้ำของหมอหลวงหลินจ้องมองเขาอย่างมีความหวัง รอเขาเอ่ยคำอย่างใจจดใจจ่อ
แต่ใครจะรู้ว่าในท้ายที่สุด เสียงที่ออกจากปากของเล่อเทียนจะเป็เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวแสดงถึงการปฏิเสธ
ใน่เวลานี้ นอกจากการถอนหายใจอย่างไร้หนทางของเล่อเทียน ก็ไม่มีเสียงใดอีก
นอกจากมู่จื่อหลิงแล้ว ไม่มีใครเข้าใจว่าการกระทำที่อืดอาดยืดยาดของเล่อเทียนนั้นเป็การจงใจเล่นตลกกับผู้อื่น
“นี่ เป็ไปได้อย่างไร?” ในใจของหมอหลวงหลินยังคงรู้สึกไม่เชื่อ เขาไม่สงสัยเล่อเทียนเลย “ข้าผู้นี้เห็นว่าท่านสามารถรักษาเด็กผู้นี้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่ว่ามีหนทางแล้วหรอกหรือ?”
หมอหลวงหลินยังคงคิดเกี่ยวกับคำพูดโง่ๆ ของมู่จื่อหลิงและเล่อเทียนจนถึงยามนี้ เขาไม่เชื่อว่าเล่อเทียนจะไม่รู้
ต้องมีการปกปิดบางอย่างเป็แน่ กำลังซ่อนอะไรอยู่? หมอหลวงหลินสงสัยเป็อย่างมาก
มู่จื่อหลิงกลอกตาในใจอย่างเหยียดหยาม ไม่รู้ว่ามนต์เสน่ห์แห่งการเสแสร้งของเล่อเทียนได้มาจากที่ใด ทั้งที่เขาจงใจทำให้เื่เป็เช่นนี้ แต่กลับสามารถทำให้ผู้อื่นไว้วางใจเขาไม่ต่างจากคนโง่ได้ ทั้งที่เขากำลังสวมหนังแกะ [1] หลอกลวงปิดหูปิดตาคนจนมืดบอด
เมื่อครู่เขาเพิ่งทำตามคำสั่งของมู่จื่อหลิง เขาจะมีหนทางจัดการได้อย่างไร? แม้กระทั่งคนตาบอดยังมองออก เล่อเทียนรู้สึกหมดหนทางอย่างแท้จริง
“ข้าน้อยหมดหนทางแล้วจริงๆ” เล่อเทียนยังคงส่ายหัวอย่างนอบน้อม จากท่าทางของเขาบอกได้ว่าเขาไม่ดูถูกความเพียรพยายามของหมอหลวงหลินเลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกหมดความอดทน
แต่ประโยคต่อมาของเขากลับเป็เหมือนกับการตบหน้า ทุบหมอหลวงหลินกลับไป
เล่อเทียนเหลือบมองมู่จื่อหลิงซึ่งยังคงนั่งยองๆ แล้วกล่าวอย่างขึงขัง “ท่านก็เห็นเช่นกัน สีผิวของเด็กน้อยดูดีขึ้น ล้วนเป็เพราะหวางเฟยทั้งสิ้น หากหมอหลวงหลินมีคำถามใด ท่านสามารถถามหวางเฟยได้โดยตรง”
ทุกคนรู้ว่า เล่อเทียนจะใจดีถึงขั้นบอกให้หมอหลวงหลินไปถามฉีหวางเฟยโดยตรงได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงหลินกำลังจะเข้ามาสอบถามปัญหาอีกแล้ว!
ในยามนี้มู่จื่อหลิงดึงหัวใจของชายชราที่ตายไปออกมาได้แล้ว...ภายในใจดวงนี้เก็บซ่อนตัวการก่อให้เกิดโรคระบาดเอาไว้
แน่นอนว่ายังไม่เหมาะที่จะนำออกมาใช้
ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงเก็บหัวใจที่เปียกโชกไปด้วยเืสีดำจนน่าขนลุกลงในภาชนะโปร่งใสที่ปิดสนิท
แม้เล่อเทียนจะไม่เข้าใจว่ามู่จื่อหลิงผ่าเอาหัวใจของชายชราออกมาด้วยเหตุใด แต่เมื่อเขานึกถึงกู่พิษที่มู่จื่อหลิงบอกกับเขาเมื่อครู่นี้ เขาก็เข้าใจทันทีว่าเื่นี้สำคัญมาก อีกทั้งสถานการณ์ยามนี้ยังไม่เหมาะที่จะถาม
จากการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิง ทำให้หมอหลวงหลินรู้สึกมั่นใจว่านางต้องมีทางออกเป็แน่
มีการค้นพบที่แน่วแน่ แต่ตนกลับไม่มีโอกาสรับรู้เช่นนี้ เหมือนกับการข่วนหัวใจเขาด้วยกรงเล็บ ซึ่งทำให้หมอหลวงหลินเจ็บๆ คันๆ จนแทบทนไม่ไหว
หมอหลวงหลินผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงถือได้ว่ามีฐานะสูงส่ง นอกเหนือจากเหล่าคนชั้นสูงในวัง ก็ไม่มีใครไม่ประจบประแจงและก้มหน้าให้เขา แม้กระทั่งนางสนมในวังหลังยังต้องเอาใจเขากว่าสามส่วน
เนื่องจากยามอยู่ในวังหลวง หมอหลวงหลินได้รับการคุ้มครองจากไทเฮา แต่ยามนี้ มู่จื่อหลิงพูดเยาะเย้ยเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังไม่แม้แต่จะเหลียวแลเขา สิ่งนี้ทำให้หมอหลวงหลินผู้ซึ่งคิดว่าตนเองสูงส่งรู้สึกอึดอัดมาก
เห็นได้ชัดว่าไทเฮาขอให้เขามาที่นี่เพื่อ ‘ชดใช้ความผิด’ แต่มู่จื่อหลิงกลับไม่พูดอะไรเลย แม้ว่านางจะรู้บางอย่างก็ยังปกปิดจากเขา
หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป แม้ว่าโรคระบาดจะหมดสิ้นไป แม้เขาจะสามารถกำจัดมู่จื่อหลิงได้ ผลงานเื่โรคระบาดครั้งนี้จะไม่ตกอยู่กับเขา
สายตาของหมอหลวงหลินเป็ประกาย เขาจ้องมองภาชนะที่บรรจุหัวใจเปื้อนเืดำในมือของมู่จื่อหลิง ราวกับว่าวิธีนี้จะทำให้เขาสามารถเห็นอะไรบางอย่างได้
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกเป็รอยยิ้มชั่วร้าย นางเหลือบมองหมอหลวงหลินอย่างเฉยเมย จากนั้นจึงก้าวไปหาเขาอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อยากดูหรือ?”
ก่อนที่หมอหลวงหลินจะโต้ตอบ...
“เชิญ! ท่านจงดูเสียให้พอ!” มู่จื่อหลิงเปิดภาชนะในมือออกด้วยความ ‘เมตตากรุณา’ ก่อนจะยกภาชนะนั้นขึ้นมาใกล้ตาของเขา ให้เขามองดูอย่างใกล้ชิด
การเคลื่อนไหวของนางเสร็จสิ้นในคราวเดียว ไม่มีแม้แต่ความอืดอาด รวดเร็วมาก เืดำที่อยู่ภายในกำลังจะถูกใส่ใบหน้าชราของหมอหลวงหลิน
“ไอ้หยา!” หมอหลวงหลินหลบในทันใด เขาใกลัวจนล้มลงกับพื้นอย่างน่าอับอาย เืดำคละคลุ้งยังคงกระเซ็นออกมา
อย่างไรก็ตาม การกระทำของมู่จื่อหลิงได้ยั่วยุเด็กปรุงยาทั้งสองผู้สงบเยือกเย็น หางจิ้งจอก [2] ของพวกเขาถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์
พวกเขาพุ่งเข้าช่วยหมอหลวงหลินที่ล้มลงกับพื้น จากนั้นจึงพุ่งมาข้างหน้าพร้อมเพรียงกัน แววตาของพวกเขาเปลี่ยนเป็โเี้ในชั่วพริบตา
การเคลื่อนไหวที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเผยออก มือขยับกริชอย่างรวดเร็ว ตั้งท่า พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
“บังอาจ!” กุ่ยเม่ยะโเสียงดัง รีบดึงมู่จื่อหลิงเข้ามาปกป้องไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว ยกกระบี่ขึ้นมาปิดกั้นพวกเขาจนไม่อาจเข้าใกล้
เฮ้อ...ทั้งสองไม่ตอบสนองยามถูกเรียกว่าสัตว์ แต่กลับเผยหางจิ้งจอกออกมาเพื่อหลินเกาฮั่น
ไม่แปลกเลยที่พวกเขามีสมาธิดีถึงเพียงนี้ และไม่แปลกที่หลินเกาฮั่นพาพวกเขามาด้วย ที่แท้พวกเขาก็เป็สุนัขที่ซื่อสัตย์มากอีกสองตัว
มู่จื่อหลิงเย้ยหยันในใจ ใบหน้าดูไม่พอใจ ดวงตาสงบนิ่งดั่งทะเลสาบ [3] ชำเลืองมองพวกเขาอย่างแ่เบา ไม่มีแม้กระทั่งความหวาดกลัวที่ทั้งสองคนนี้พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน
จากนั้น มู่จื่อหลิงจึงเอ่ยเตือนหมอหลวงหลินที่กำลังลูบอกของตนด้วยความกลัวว่า “หลินเกาฮั่นอย่าลืมว่าเหตุใดเ้าถึงมาที่นี่ จำไว้ ที่นี่เ้าเป็เพียงผู้ฟัง ไม่อาจเข้าแทรกแซงขัดขวางได้ หากเ้ากล้าพูดพล่ามถามโน่นถามนี่อีกครั้ง เปิ่นหวางเฟยจะทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่ทำกับฮู่กั๋วกง”
ในตอนท้าย มู่จื่อหลิงโบกภาชนะในมือต่อหน้าหลินเกาฮั่นอีกครั้ง ชูหัวใจเปื้อนเืขึ้นมาข่มขู่เขา ราวกับกำลังสาธิตให้ดู
มุมปากเล่อเทียนกระตุกเล็กน้อย สิ่งที่เลวร้ายกว่าคืออะไรนั้น ย่อมมีความหมายตรงตามนั้น ไม่ใช่เพียงคำขู่เป็แน่
ขัดขวาง ถามโน่นถามนี่ สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า...คำพูดเหล่านี้ไหลเข้าหูหมอหลวงหลิน ทำให้จิตใจของเขาหลุดลอย ส่งเสียงดังหึ่งหึ่ง
ผู้ที่ใช้ชีวิตมากว่าครึ่งชีวิต ได้รับความเสียหายจากยายเด็กหน้าเหม็นเอาแต่ใจเช่นนี้ หมอหลวงหลินกระอักเืจนเต็มปาก ไม่อาจไปต่อหรือถอยกลับได้ อึดอัดยิ่งนัก
เขารู้มานานแล้วว่าฉีหวางเฟยผู้นี้มีฟันแหลมคม แต่เขาไม่รู้ว่ายายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะหยาบคายได้ถึงเพียงนี้ นางเป็ดั่งงูพิษที่ยังมีชีวิตอยู่ ปากของนางจึงปนเปื้อนไปด้วยพิษร้าย สามารถบดขยี้ใจคนได้ทุกเวลา
หากไม่ขุ่นเคืองก็ไม่เป็ไร แต่ยามใดที่ขุ่นเคือง ใบหน้านั้นจะทำให้กลายเป็ขยะกากเดนที่ไม่อาจหยิบขึ้นมาใช้งานได้อีก
การระดมยิงด้วยปืนใหญ่ของมู่จื่อหลิงยังคงดำเนินต่อไป กริชในมือเด็กปรุงยาทั้งสองกลับกลายเป็กระบี่ยาวส่องแสงเย็นะเืท่ามกลางแสงไฟยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บและมืดมน
ยามนี้แม้แต่เล่อเทียนก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกต่อไป เขาไม่คาดคิดว่าคนทั้งสองที่มีสมาธิแน่วแน่เช่นนี้จะยกกระบี่ขึ้นอย่างโจ่งแจ้งเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของมู่จื่อหลิง
สองคนนี้ตกเป็เป้าหมายแล้วจริงๆ เล่อเทียนหรี่ตาลงอย่างชั่วร้าย กางพัดด้ามจิ้วในมือออก มองหลินเกาฮั่นด้วยความประหลาดใจ “หมอหลวงหลิน นี่คือคนที่ท่านพามาด้วยเช่นนั้นหรือ? ช่างกล้าเสียจริง!”
แต่หมอหลวงหลินยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขาทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เล่อเทียนพูด
มู่จื่อหลิงกะพริบตาเบาๆ ยามนี้นางแน่ใจแล้วว่าเด็กปรุงยาทั้งสองเชื่อฟังเพียงหลินเกาฮั่นเท่านั้น เป็เฉกเช่นหุ่นเชิดสองตัวที่จงรักภักดีอย่างไม่น่าเชื่อ
นางไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด แต่นางเชื่อว่ากุ่ยเม่ยมีความสามารถมากเกินพอที่จะจัดการได้
หรือไม่นางก็ยังสามารถให้เสี่ยวไตกูช่วยแก้ปัญหาได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น แต่นางไม่อยากทำ เนื่องจากกำลังคนขาดแคลน ใน่เวลาคับขัน นางถึงจะใช้คนของนาง
เมื่อเห็นว่ากุ่ยเม่ยกำลังจะต่อสู้กับพวกเขา
มู่จื่อหลิงโบกมือส่งสัญญาณให้กุ่ยเม่ยอย่าเพิ่งขยับ
จากนั้นน้ำเสียงเย้ยหยันของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หมอหลวงหลิน หากเ้ายอมเชื่อฟัง บางทีเปิ่นหวางเฟยอาจจะอารมณ์ดีจนยอมบอกเ้าเกี่ยวกับโรคระบาดก็เป็ได้ จากนั้นเ้าก็จะใช้มันเพื่ออ้างสิทธิ์ในภายหลัง นั่นเป็หนึ่งในเหตุผลที่เ้ามาที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งไม่ต้องบอกก็รู้กันดี
หมอหลวงหลินถูกสะกิดตรงจุดเข้าอย่างจัง ทั้งร่างของเขามืดมน จับจ้องมู่จื่อหลิงอย่างแน่วแน่
อย่างไรก็ตาม หลังจากมองนางอย่างเ็า ท่าทีของเขาก็กลับมาสงบอีกครั้ง
นางพูดชัดถ้อยชัดคำ แทงใจดำยิ่งนัก มีอะไรผิดปกติกับนางหรือไม่?
มู่จื่อหลิงชำเลืองมองเด็กหนุ่มทั้งสองซึ่งเป็ดั่งนักฆ่าหั่นศพอย่างเฉยเมยโดยไม่สนใจการจ้องมองของหลินเกาฮั่น ก่อนจะเผชิญหน้ากับหมอหลวงหลิน แล้วเอ่ยถึงการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
“ว่าอย่างไร? การค้นพบของเปิ่นหวางเฟยอาจทำให้์และพื้นดินสั่นะเื สั่นคลอนได้แม้กระทั่งภูตผีและเทพเซียน [4] เมื่อถึงยามที่ฮ่องเต้ทรงเลื่อนยศให้เหล่าขุนนางก็จะกลายเป็เื่ง่ายราวกับการทานอาหาร ไม่เช่นนั้น ถึงมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเปิ่นหวางเฟย แม้จะถือได้ว่าเป็เื่เล็กน้อย แต่เื่ใหญ่อย่างโรคระบาดยังไม่ได้รับการแก้ไข ในเวลานั้นจะเป็ตัวท่านผู้อยู่ในฐานะหมอหลวงที่จะไม่คุ้มกับการสูญเสีย”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สวมหนังแกะ (披着羊皮) เป็วลี มีความหมายว่า สร้างภาพหรือแกล้งทำเป็คนดี ประโยคเต็มคือ 披着羊皮的狼 แปลว่าสุนัขจิ้งจอกภายใต้หนังแกะ
[2] หางจิ้งจอก (狐狸尾巴) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า เจตนาร้ายหรือมีพฤติกรรมชั่วร้ายที่แอบแฝงไว้
[3] ดวงตาสงบนิ่งดั่งทะเลสาบ (目光平静得如同镜湖般) เป็วลี มีความหมายว่า มีความสงบมากจนไม่มีอะไรมากระทบได้
[4] ์และพื้นดินสั่นะเื สั่นคลอนได้แม้กระทั่งภูตผีและเทพเซียน (惊天地泣鬼神) เป็วลี มีความหมายว่า น่าทึ่งและน่าประทับใจมาก