หลี่อันหรานคิดแล้วทำเลย นางขลุกตัวอยู่ในห้องครัวไปครึ่งค่อนวัน ใช้วัตถุดิบที่มีตอนนี้มาทำของจำพวกเต้าเจี้ยวเผ็ด เต้าเจี้ยวเค็ม และเครื่องปรุงรส ของพวกนี้ทำง่ายมาก อีกทั้งนางก็ทำได้แค่ของพวกนี้เพราะขาดวัตถุดิบ หากมีวัตถุดิบมากกว่านี้ นางคงทำของที่ดีกว่านี้ออกมาได้ เพราะถึงแม้ร่างกายจะอยู่ในยุคโบราณ แต่สมองนางล้ำหน้าไปหลายพันปีแล้ว
หลังจากทำเสร็จ นางไม่ได้สนใจหลี่อันหลินกับหลี่อันอันที่ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหน แต่นางเลือกตรงไปยังตลาดเล็กๆ ในเมืองจากความทรงจำแทน ด้านหนึ่งเป็เพราะนางไปล่วงเกินพวกหวางเถาฮวากับเหอชุนฮวาเข้า หากพวกนางไม่ให้เสบียงอาหารอีกต่อไปจะได้ไม่ถึงขั้นอับจนหนทาง อีกด้านหนึ่งคือเพราะจะได้เตรียมช่องทางค้าขายให้ตัวเอง ดูว่าจะขายเต้าเจี้ยวเผ็ดที่ทำเองพวกนี้ได้หรือไม่
นางมาถึงเมืองเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไรนัก ก่อนที่นางจะตรงเข้าไปยังภัตตาคารที่ดูมีระดับ
รอยแผลเป็บนใบหน้านางดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่เมื่อเข้ามายังภัตตาคาร แต่หลี่อันหรานหาได้สนใจไม่ นางเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาบอกถึงเจตนาในการมา
เสี่ยวเอ้อร์พิจารณาหลี่อันหรานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งขึ้นไปยังชั้นบน หลี่อันหรานไม่เร่งร้อนแต่อย่างใด นางนั่งรอบริเวณที่นั่งริมหน้าต่างอย่างสบายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ก็กลับลงมา เขาทักทายหลี่อันหรานแล้วพานางขึ้นไปยังชั้นบน
เสี่ยวเอ้อร์พานางมาส่งถึงประตูแล้วก็จากไป ครั้นหลี่อันหรานผลักประตูเข้าไปก็พบกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง นางจึงเดินเข้าไปแจ้งถึงเจตนาในการมา
บุรุษวัยกลางคนพิจารณาหลี่อันหรานเพียงแวบเดียว ถึงแม้จะชะงักเมื่อเห็นใบหน้านางแต่ก็ไม่ได้มีสีหน้าผิดปกติแต่อย่างใด เขากล่าวว่า “ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์
บอกว่าเ้านำอาหารมาขาย?”
หลี่อันหรานพยักหน้าแล้วนำเต้าเจี้ยวเผ็ดสองสามกระปุกที่นางทำเสร็จและลองชิมดูแล้วออกมาจากห่อผ้าแล้ววางบนโต๊ะ
ครั้นบุรุษวัยกลางคนเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาจึงค่อยๆ เปิดมันออก คิ้วหนาพลันขมวดเข้าหากันเมื่อกลิ่นของเต้าเจี้ยวเผ็ดเตะจมูก เขาละเลียดชิมมันแล้วใช้ลิ้นแตะเพดานปาก ก่อนให้คำตอบด้วยรอยยิ้ม “ของสิ่งนี้ พวกเราเอา!”
หลี่อันหรานพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก เพราะต้นทุนในการทำเต้าเจี้ยวเผ็ดค่อนข้างต่ำ ถึงกระนั้น ต้นทุนที่ต่ำก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพจะไม่ดี ตรงข้าม คุณภาพของมันเทียบเท่าศตวรรษที่ 21 เลยด้วยซ้ำ
นางเจรจากับบุรุษวัยกลางคนว่าต่อไปนี้ตัวเองจะทำออกมาเท่าไรและจะส่งให้ที่นี่เท่าไร หลังจากที่นางทำสัญญาลงนามกันทั้งสองฝ่าย นางก็เดินทางกลับหมู่บ้านอย่างมีความสุข ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้กำหนดราคาเต้าเจี้ยวเผ็ด เห็นเถ้าแก่ภัตตาคารบอกว่าจะลองกินดูก่อนสองกระปุกว่าเป็อย่างไร แล้วจากนั้นค่อยตั้งราคา
หลังจากกลับถึงบ้าน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง หลี่อันหรานเห็นมารดาที่ได้มาอย่างบังเอิญกำลังคุยกับบุรุษรูปงามที่ตนช่วยเหลือไว้ ดูจากบรรยากาศแล้วเหมือนจะไม่เลวเลย
นางเดินเข้าไปใกล้ เสิ่นอิ๋นหวนยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นลูกสาวกลับมา “อันหราน เ้ากลับมาแล้วหรือ”
หลี่อันหรานพยักหน้า
ครั้นเสิ่นอิ๋นหวนสังเกตเห็นข้าวของมากมายที่ลูกสาวนำกลับมาด้วย นางก็มีสีหน้างุนงงไม่น้อย จึงเอ่ยถามว่า “นี่คือ?”
“จะให้คุณชายฉางควนลำบากไม่ได้ ข้าก็เลยไปซื้อกับข้าวจากตลาด ถึงแม้จะเป็เงินของคุณชายฉางก็ตามที”
เสิ่นอิ๋นหวนหันไปพูดกับเจียงเฉิงที่ใช้ชื่อปลอมว่าฉางควนด้วยสีหน้าละอายใจ “คุณชายฉาง พวกข้ามีเงินจะคืนให้ทันที”
เจียงเฉิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเป็เชิงปฏิเสธ “ไม่เป็ไรขอรับ ไม่ต้องใส่ใจ” สิ้นเสียง สายตาที่มองมายังหลี่อันหรานนั้นเต็มไปด้วยความลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายได้
เขาเพิ่งทราบข่าวอันน่าใจากบทสนทนาที่คุยกับเสิ่นอิ๋นหวนเมื่อครู่ ที่แท้สตรีใบหน้ามีแผลเป็ผู้นี้คือคู่หมั้นของเขานี่เอง
โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอนโดยแท้ เขานึกไม่ถึงว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะมีวาสนาขนาดนี้ เขาตกจากหน้าผา นางก็มาเจอตัว นับได้ว่ามีบุญคุณในการช่วยชีวิตกึ่งหนึ่ง ความตั้งใจเดิมที่อยากยกเลิกการหมั้นหมายพลันเจือจางลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้
พอหลี่อันหรานเห็นว่าเจียงเฉิงจ้องตัวเองไม่ละสายตาก็หน้าแดงเล็กน้อย นางก้มหน้างุด รีบเดินเข้าไปในกระท่อมเพื่อเก็บกับข้าวที่ได้มาจากการจ่ายตลาด ก่อนกลับออกมาเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสายตาของเจียงเฉิงเปลี่ยนไป แต่นางบอกไม่ถูกเช่นกันว่าเปลี่ยนไปอย่างไร
นางลังเลที่จะเอ่ยปากถาม ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้น เหอชุนฮวากับหวางเถาฮวาเดินเข้ามา
ท่าทีโอ้อวดเย่อหยิ่งของทั้งสองลดลงทันทีที่เห็นเจียงเฉิง หลี่อันหรานและเสิ่นอิ๋นหวนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
หวางเถาฮวาไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด นางตรงเข้าประเด็นทันที “หลี่อันหรานเติบใหญ่แล้ว มีความสามารถในการหาเลี้ยงตัวเอง พวกข้าปรึกษากันแล้วว่าถึงเวลาสมควรต้องแยกบ้าน เพราะลูกๆ ของพวกเราเองก็เติบใหญ่แล้วเช่นกัน จะให้เอาแต่เลี้ยงดูคนว่างงานของครอบครัวน้องสามก็คงไม่ใช่เื่”
เหอชุนฮวาเองก็รีบพยักพเยิดถึงสามครั้งสามคราด้วยกัน
หลี่อันหรานคาดเดาเหตุการณ์นี้ไว้ก่อนอยู่แล้ว นางไปล่วงเกินคนเหล่านี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกนางจะไม่ยอมเลิกราแต่โดยดีแน่นอน นี่จึงเป็เหตุให้นางแสยะยิ้ม ทั้งยังตอบกลับไปว่า
“ข้าเห็นด้วย”
คำตอบของนางทำให้ป้าสะใภ้ทั้งสองงุนงงเล็กน้อย ตอนแรกพวกนางคิดว่าวันนี้คงต้องคุยกันนาน นึกไม่ถึงว่าจะออกมาราบรื่นขนาดนี้
ส่วนเสิ่นอิ๋นหวนมีสีหน้าเศร้าหมอง แต่เนื่องด้วยนิสัยยอมคนของนาง นางจึงปิดปากเงียบ ไม่คิดโต้แย้งอะไร
ครั้นได้ยินสิ่งที่ตน้า เหอชุนฮวากับหวางเถาฮวาจึงไม่พูดอะไรต่อ พวกนางจึงหันหลังจากไปทันที
เจียงเฉิงมองเงาหลังของพวกนางทั้งสอง ภายในใจเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าชีวิตความเป็อยู่ของคู่หมั้นซึ่งเคยพบหน้าเพียงคราเดียวเมื่อครั้งยังเด็กจะไม่น่าพึงพอใจเอาเสียเลย
เขามองหลี่อันหรานที่นิสัยต่างจากตอนเด็กราวกับคนละคน เมื่อครั้งยังเด็ก สตรีนางนี้ยโสโอหังและไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ทว่าดูจากตอนนี้ เหมือนว่าอุปนิสัยแย่ๆ พวกนั้นจะสูญสลายไปตามกาลเวลาหมดแล้ว
หลี่อันหรานหันตัวเดินเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไร เจียงเฉิงกับเสิ่นอิ๋นหวนเองก็ไม่คิดจะรบกวนนางแต่อย่างใด ทุกคนมารวมตัวกันหลังจากที่หลี่อันหลินกับหลี่อันอันกลับมาในตอนเย็น หลี่อันหรานเข้าครัวไปทำมื้อเย็นที่เรียกได้ว่าหรูหราเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แม้เสิ่นอิ๋นหวนจะไม่เชื่อว่าลูกสาวทำกับข้าวเป็ แต่ปฏิเสธไม่ได้สักนิดว่าลูกสาวที่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อนคนนี้กลับทำออกมาได้จริงๆ อีกทั้งยังอร่อยและมีหลายอย่าง
หลี่อันหรานขึ้นเขาไปเก็บพริกทุกวัน เจียงเฉิงยืนยันจะตามไปด้วย ตอนที่เห็นพริกครั้งแรกเขามีปฏิกิริยาแบบเดียวกับหลี่อันหลิน ร้องห้ามว่ามีพิษและไม่ให้จับ
แต่หลี่อันหรานไม่สนใจ
พริกที่เติบโตบนูเามีไม่มาก หลี่อันหรานจะลงจากเขาก็ต่อเมื่อเก็บจนเต็มตะกร้า แม้เจียงเฉิงจะไม่อยากแตะต้องของสิ่งนี้ แต่ทุกครั้งที่เห็นหลี่อันหรานแบกตะกร้าจนหลังโค้ง เขาก็รับมาแบกแทนอยู่ดี
วันนี้หลังจากที่พวกนางลงจากเขา หลี่อันหรานนำเงินไปซื้อถั่วเหลืองสองถุงจากในตลาด แน่นอนว่าเจียงเฉิงเป็ผู้รับหน้าที่แบกกลับมา ถึงเขาจะาเ็ แต่เขาเป็คนรูปร่างสูงใหญ่ ถั่วเหลืองเพียงสองถุงจึงเป็งานง่ายๆ สำหรับเขา
เมื่อกลับถึงบ้าน หลี่อันหรานลงมือทำเต้าเจี้ยวเผ็ดทันที เต้าเจี้ยวเผ็ดทำไม่ยากเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีมันสมองจากศตวรรษที่ 21 อยู่ทั้งคน งานนี้จึงง่ายเหมือนปลาได้น้ำ เจียงเฉิงคอยมองอยู่หน้าห้องครัว หนึ่งคือกลัวว่าหลี่อันหรานจะถูกพิษจากเมล็ดพริกเข้า สองคือเพราะอยากมองคู่หมั้นที่ไม่เจอกันหลายปีให้มากหน่อย
เขาเป็คนหน้าตาหล่อเหลาประณีตก็จริง ทว่าจิตใจเขาเปิดเผยใจกว้างมาก ไม่เคยรู้สึกว่าแผลเป็บนใบหน้าหลี่อันหรานเป็เื่ใหญ่แต่อย่างใด เขาเพียงแต่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่นางประสบพบเจอมาก็เท่านั้น
เขากำลังรอจังหวะสืบหาว่าผู้ใดเป็คนลงมือทำลายโฉมของหลี่อันหราน เอาไว้ช่วยนางแก้แค้นเสร็จแล้วค่อยคิดเื่อื่น คิดดูแล้ว เจียงเฉิงรู้สึกละอายใจยิ่งนัก ถึงแม้คู่หมั้นคนนี้จะยังไม่แต่งเข้าบ้านแต่ก็มีศักดิ์เป็คู่หมั้น เขาจะยอมให้คนมารังแกนางได้อย่างไร!
แต่เดิมเขาตามหานางเพื่อถอนหมั้น ทว่าตอนนี้การถอนหมั้นอาจน่าเสียใจยิ่งกว่าการเสียโฉมเสียอีก
ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ เสียงของหลี่อันหรานก็ดังขึ้น
“ฉางควน ช่วยเทใส่โถหน่อย” หลี่อันหรานทำเต้าเจี้ยวเผ็ดเสร็จแล้วหนึ่งหม้อ รอก็แต่ฉางควนมาช่วยเทใส่โถที่ล้างเตรียมไว้ก็เป็อันเสร็จ
ครั้นได้ยินเสียงเรียก เจียงเฉิงจึงเดินเข้าไป ทั้งสองคนยกกระทะขึ้นจากเตาและค่อยๆ เทลงใส่โถสีดำบนพื้น
หลังจากที่เต้าเจี้ยวเผ็ดเย็นตัวลง หลี่อันหรานจึงทำการปิดฝาและนำไปเก็บในอุโมงค์ใต้ดิน ตอนนี้อากาศร้อนอบอ้าว เก็บไว้ใต้ดินที่เย็นกว่าด้านนอกจะได้ไม่เสียง่าย เพราะตอนนี้ไม่ได้มีของจำพวกสารกันบูดให้ใช้เสียด้วยสิ
นางตกลงกับเถ้าแก่ภัตตาคารเซิ่งเต๋อแล้วว่าจะรับหน้าที่นำเต้าเจี้ยวเผ็ดไปส่ง จากนั้นเถ้าแก่จ่ายเงินมาก็พอ ตอนนี้นางทำเต้าเจี้ยวเผ็ดไว้ทั้งหมดสามโถ พรุ่งนี้จะนำไปส่ง
ยามราตรีอันเงียบสงัด หลี่อันหรานสะดุ้งตื่นจากฝันอีกครั้ง นางลุกขึ้นหอบหายใจคำโต
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก หลายวันมานี้นางนอนฝันทุกคืน ฝันถึงเื่ในศตวรรษที่ 21 นี่ทำให้สภาพจิตใจนางย่ำแย่มาก ต้องตื่นนอนพร้อมกับขอบตาดำคล้ำขึ้นทุกวัน
นางนั่งสะลึมสะลืออยู่บนเตียงเกือบครึ่งค่อนคืนก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เช้าวันนี้ เสิ่นอิ๋นหวนเห็นลูกสาวมีสีหน้าอิดโรยก็ถามไถ่ด้วยความเป็ห่วง แต่ทว่าหลี่อันหรานทำเพียงยิ้มและตอบว่าไม่ได้เป็อะไร เพราะหากนางเล่าให้แม่ฟังว่าตัวเองฝันถึงเครื่องบิน เกรงว่าท่านแม่จะคิดว่านางสติฟั่นเฟือนก็เป็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้