เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็ให้ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เป็ข้าที่โอ้อวดไปเอง ส่วนผู้อื่นก็แค่สงสัยเท่านั้น”
สำหรับวันนี้พวกเขาตัดสินใจพักค้างแรมกันที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นหลาย ซึ่งเป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอชิงเหอ ก่อนนี้อวิ๋นซีได้ฟังเพ่ยเอ๋อร์อธิบายว่า โรงเตี๊ยมอวิ๋นหลายแห่งนี้เป็กิจการของตระกูลเจียง ตระกูลที่ร่ำรวยเป็อันดับหนึ่งในแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็อำเภอเล็กๆ หรือในเมืองใหญ่ๆ ก็ล้วนพบเห็นสาขาของโรงเตี๊ยมอวิ๋นหลายได้ทั้งสิ้น
ส่วนผู้นำตระกูลของตระกูลเจียงที่รุ่มรวยเป็อันดับหนึ่งในแถบตะวันตกเฉียงเหนือนั้นหาใช่ชายชรา แต่เป็บุรุษวัยเยาว์ผู้หนึ่งที่ยามนี้คนมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปี เพราะในตอนที่เขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบปี นายท่านเจียงก็เกิดล้มป่วยจนสิ้นชีวิต เจียงเฉิงจึงต้องรับ่ต่อเพื่อดูแลกิจการต่างๆ ของตระกูล ทว่า ภายใต้เสียงคัดค้านต่อต้านมากมาย ผู้นำตระกูลหนุ่มก็ได้พิสูจน์ความสามารถของตนจนเป็ที่ประจักษ์ชัด และความเป็จริงนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเหล่าคนที่เคยดูถูกดูแคลนฉาดใหญ่จนมิมีใครกล้าพูดอะไรอีกแม้แต่ประโยคเดียว
เมื่อมาถึงตอนนี้ คนในตระกูลเจียงไม่ว่าจะเป็คนที่ยอมสยบให้นายท่านคนใหม่จริงๆ หรือจะยอมสยบแค่เพียงเปลือกนอก แต่อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีใครกล้าออกมาแสดงท่าทีต่อต้านเขาอย่างออกนอกหน้าแล้ว ทั้งยังไม่มีใครกล้าคัดค้านเขาอีก เมื่ออวิ๋นซีได้ฟังแล้ว ในใจก็ให้รู้สึกนิดๆ ว่าไม่แน่วันหน้าตนอาจจะได้คบค้าสมาคมกับเจียงเฉิงผู้นี้ก็เป็ได้
สิ่งที่ควรต้องรู้ก่อน ตระกูลเจียงนั้นเป็ตระกูลร่ำรวยอันดับหนึ่งแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือ หากว่าหานโจวได้รับการสนับสนุนจากเขา การคิดจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ย่อมง่ายดายขึ้นมาก
วันที่สองของการมาถึงอำเภอเฟิงเหอ ครอบครัวตระกูลฉินที่กำลังเตรียมตัวจะไปชมดอกบัวกลับได้รับสารด่วนจากจวนอ๋องที่หานโจวเพื่อเร่งรัดให้คนกลับไป
เมื่ออวิ๋นซีได้ยิน ในใจก็ไม่ยินดีเป็อย่างยิ่ง ทว่านางกลับทำได้เพียงต้องจำใจกลับไป
“ตกลงว่านี่มันเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดพวกเราจึงจำต้องรีบร้อนกลับถึงเพียงนี้” นางถามเสียงเบา
จวินเหยียนมองนาง จากนั้นก็กล่าวตอบเสียงเบา “สารที่จวนส่งมาแจ้งว่าหยวนอวี่ล้มป่วยหนัก ตอนนี้คนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็กลอกตา “ท่านว่านางคิดจะทำอันใดกันแน่? หรือต้องให้ปีนขึ้นไปบนเตียงท่านก่อน นางถึงจะพอใจ? ทั้งที่นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวท่านแต่งงานแล้ว เหตุใดจึงยังต้องทำเช่นนี้อีก นี่เป็การบีบบังคับท่านหรือว่าบีบบังคับข้ากันแน่? ”
ดูท่าหากนางยังไม่อาจขจัดตัวปัญหาอย่างหยวนอวี่ได้ ตนเองก็คงไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างเป็สุขแน่ “ท่านไม่มีวิธีที่จะทำให้นางยอมถอนตัวถอยกลับไปเองเลยหรือไร? ”
จวินเหยียนมองท่าทางกางเล็บของนาง แล้วจึงยิ้มตอบ “ทางเมืองหลวงมีข่าวมาแล้ว” เขาเขยิบเข้าไปข้างหูนาง ก่อนจะพูดออกมาสองสามประโยค เมื่ออวิ๋นซีได้ยินแล้วก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ “เื่นี้ จริงหรือ? ”
“จริงแท้แน่นอน อีกหนึ่งเดือนให้หลังจะแต่งคนเข้าตระกูลไป” เขาพยักหน้า
นางหัวเราะหึหึ แล้วจึงกล่าวเสริม “หยวนจิ้นอ๋องผู้นี้ร้ายกาจเสียจริง หยวนอวี่เพิ่งจากเมืองหลวงมาได้ไม่นาน เขาก็พาบุตรสาวและบุตรชายของสตรีที่ชุบเลี้ยงไว้ด้านนอกเข้าจวนแล้ว มิหนำซ้ำยังจะแต่งตั้งสตรีผู้นั้นเป็ชายารอง ทั้งยังคิดจะตบแต่งชายาเอกอีก ท่านว่า หากหยวนอวี่ได้ล่วงรู้ว่าตัวนางเป็เพียงหมากในมือบิดาที่ถูกทอดทิ้งแล้ว นางจะโกรธจนกระอักเืตายไปในทันทีเลยหรือไม่? ”
“คิดว่าคงจะเป็เช่นนั้น” เขายิ้มพยักหน้า เดิมทีเื่ของหยวนอวี่นั้นตัวเขาก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายให้มากมาย ทว่าตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเกินขอบเขตไปมากแล้ว ทั้งยังกระทบต่อการใช้ชีวิตของพวกเขาขั้นรุนแรงอีกด้วย
ดูท่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือการกำจัดหยวนอวี่ให้พ้นทาง
ถึงกระนั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ เื่ราวทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เพราะเมื่อกลับมาถึงหานโจวแล้ว อวิ๋นซีและคนอื่นๆ ที่เพิ่งลงมาจากรถม้าก็เห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีเร่งรีบ “ท่านอ๋อง พระชายา ในที่สุดทั้งสองพระองค์ก็เสด็จกลับมาแล้ว หากว่าพวกท่านยังไม่เสด็จกลับมาอีกละก็ กระหม่อมอาจจะควบคุมสถานการณ์เหล่านี้ไม่ไหวแล้ว”
“เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ” จวินเหยียนอุ้มหวานหว่านลงจากรถม้า ขณะที่อวิ๋นซีตามติดอยู่ข้างกายเขา ส่วนเพ่ยเอ๋อร์และเซียงเอ๋อร์ก็ให้เอ้อนีและต้านีเอ๋อร์ตามติดอยู่ข้างกายพวกตน
อวิ๋นซีรู้สึกประหลาดใจ แม้จะยังรู้จักพ่อบ้านได้ไม่นาน แต่นางก็รู้ดีว่าเขาเป็คนสุขุมหนักแน่น ดังนั้น เื่ที่ทำให้คนใจนหน้าเปลี่ยนสีได้ย่อมไม่ใช่เื่ธรรมดาๆ ทั่วไปแน่
“ท่านสี่ [1] และซื่อจื่อ [2] แห่งจวนผิงหยางโหวมาที่จวนเราพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านพูดเสียงเบา
ตอนที่อวิ๋นซีได้ยินคำว่าท่านสี่ ฉับพลันนั้นนางก็นึกถึงองค์ชายสี่ขึ้นมา เขามาทำอันใดที่นี่?
“มาแล้วก็มาไปสิ ให้เ้าเลี้ยงรับรองเป็อย่างดีก็เพียงพอแล้ว” จวินเหยียนพูดเรียบๆ จากนั้นก็หมุนกายไป พูดกับอวิ๋นซี “พวกเราเข้าไปด้านในกันก่อนเถิด”
เมื่อพูดจบ พวกเขาก็เดินมุ่งหน้าเข้าจวนไป ทว่าเพิ่งจะถึงเรือนชั้นหนึ่ง เงาของคนผู้หนึ่งก็เร่งร้อนวิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของอวิ๋นซี บุรุษผู้นี้สวมอาภรณ์ยาวที่ทำมาจากแพรพรรณชั้นดีสีท้องฟ้า รูปลักษณ์ของเขาทั้งสดใส หล่อเหลาและสง่างามในเวลาเดียวกัน และในตอนที่เขามองเห็นจวินเหยียนก็มีทีท่าตื่นเต้นอย่างยากจะควบคุมตน “พี่รอง ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอแล้ว”
เมื่อก่อนอวิ๋นซีเคยได้ยินมาว่า องค์ชายสี่และองค์ชายรองนั้นมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็อย่างมาก อีกทั้ง ในตอนที่ฮ่องเต้มีรับสั่งเนรเทศหานอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็แค่องค์ชายรองให้มาอยู่ที่หานโจว องค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานก็ได้นั่งคุกเข่าอยู่หน้าห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ถึงสองวันสองคืนเต็มๆ สุดท้ายร่างกายคนกลับรับไม่ไหวและเป็ลมไป จึงได้ถูกส่งกลับจวน
ยิ่งกว่านั้น ในตอนที่นางเป็เฉียวอวิ๋นซีก็ยังเคยเห็นมากับตาว่าองค์ชายสี่มีท่าทีเป็ปฏิปักษ์ต่อองค์รัชทายาทอย่างไร ทั้งยังถูกฮ่องเต้สั่งลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้หลายคนพากันพูดว่า หากไม่ใช่เพราะตระกูลของพระมารดาขององค์ชายสี่กล้าแข็งเพียงพอ หรือหากไม่ใช่เพราะพระมารดาของเขาเฉลียวฉลาดเพียงพอจึงได้ช่วยปกป้องให้เขารอดพ้นภัยมาได้หลายครั้งหลายครา เด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องถูกกลลวงแผนชั่วเข้าทำร้ายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“เ้าวิ่งโร่มาถึงนี่เพื่อการใด? ” จวินเหยียนมองอีกฝ่าย เลิกคิ้วถาม หากจะถามว่า ในเมืองหลวงโอ่อ่านั้นยังมีใครบ้างที่ยังห่วงใยระลึกถึงเขาอยู่ ก็คงตอบได้เพียงน้องสี่ตรงหน้าที่เหมือนว่าผ่านไปหลายปีแล้วคนก็ยังคงไม่โตสักที
ตอนนั้นเป็เพราะเื่นั้น จวินเหยียนจึงถูกเสด็จพ่อสั่งลงโทษด้วยการโบยถึงร้อยที ในตอนหลังก็ได้แต่พักรักษาาแอยู่เพียงในจวน ดังนั้น กว่าจะรู้ข่าวว่าน้องสี่คุกเข่าอยู่กับพื้นที่หน้าห้องทรงพระอักษรก็เข้าวันที่สองแล้ว อีกทั้ง ไม่ว่าใครจะไปเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอย่างไรก็ไม่มีทางทำให้ชายผู้นี้ลดละความพยายามไปได้ ในตอนนั้นตัวเขาเองก็ยังมึนงง และยังไม่ได้สติดีนักด้วยอาการาเ็ที่หากต้องทนเจ็บอีกเพียงนิดก็ไม่แน่ว่าชีวิตเขาอาจดับสูญไปแล้วก็เป็ได้ ด้วยเหตุนี้ คนจะไปมีเวลาให้ไปสนใจใครที่ไหนกัน และใครจะไปรู้ว่า น้องรักจะยอมคุกเข่าถึงสองวันสองคืน
โอวหยางเทียนหลานยิ้มมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่จวินเหยียนอุ้มไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะเบิกตาโตขณะมองนาง “พี่รอง นี่คือบุตรสาวของท่านหรือ? ”
จวินเหยียนพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับหวานหว่าน “นี่คือเสด็จอาสี่”
“หวานหว่านคารวะเสด็จอาสี่” หวานหว่านยื่นมือไปให้โอวหยางเทียนหลาน เพื่อแสดงออกว่าคน้าให้เขาอุ้ม เมื่อโอวหยางเทียนหลานได้เห็นท่าทางเช่นนี้ก็รับตัวหวานหว่านไปด้วยความยินดี “พี่รอง เหตุใดท่านถึงร้ายกาจเพียงนี้ ถึงกับมีบุตรสาวแล้วคนหนึ่ง”
“นี่คือพี่สะใภ้รองของเ้า” จวินเหยียนมองโอวหยางเทียนหลานไปทีหนึ่งราวกับกำลังมองคนที่มีสติปัญญาไม่เต็ม จากนั้นก็เดินไปข้างกายอวิ๋นซี แล้วพูดกับเขา
โอวหยางเทียนหลานมองดูอวิ๋นซีที่งดงามน่ารักเสียจนอดไม่ได้ให้ต้องพูด “เหตุใดเมื่อพิศแล้ว ดูเหมือนพี่รองของข้าจะเป็โคแก่กินหญ้าอ่อน เพราะพี่สะใภ้รองน่าจะยังเด็กกว่าข้าอยู่มากทีเดียว”
แม้พี่รองจะแต่งงานแล้วก็ช่างเถอะ แต่สตรีที่แต่งเข้าเบื้องหน้าเขานี้ยังดูเด็กนัก เช่นนั้นมารดาของหวานหว่านจะเป็ใครเล่า? เพราะคนตรงหน้านี้คงมิใช่ผู้ให้กำเนิดหรอกกระมัง?
เมื่ออวิ๋นซีและโอวหยางเทียนหลานคารวะกันและกันแล้ว นางก็หันไปพูดกับหวานหว่านต่อ “เ้าจะกลับไปกับแม่หรือไม่? ปล่อยให้เสด็จพ่อและเสด็จอาสี่ของเ้าได้สนทนากัน ส่วนตัวเ้านั้นก็กลับไปอาบน้ำชำระกายให้ดี และผลัดเปลี่ยนเป็อาภรณ์สะอาดสะอ้านแล้วค่อยมาใหม่เถิด”
“เ้าค่ะ” หวานหว่านยิ้มแล้วขยับกายยุกยิก จากนั้นก็ตามอวิ๋นซีกลับไปยังเรือนของตน
โอวหยางเทียนหลานมองดูเงาหลังของอวิ๋นซี จากนั้นจึงพูดเสียงเบา “พี่รอง ท่านร้ายกาจจริงๆ ” เมื่อพูดจบ เขาก็ยกนิ้วโป้งไปทางพี่รองของตน “เสด็จพ่อเห็นสารของท่านแล้วนะ ข้าได้ยินพระมารดาตรัสว่า พระองค์ไม่แม้แต่จะกริ้ว ทั้งยังมีรับสั่งให้คนไปสลักนามของพี่สะใภ้ลงบนอวี้เตี๋ยของราชวงศ์”
ถึงกระนั้นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวงมา สารของพี่รองยังส่งไปไม่ถึง มิเช่นนั้นตัวเขาคงจะได้ชมสีพระพักตร์ของพระบิดาด้วยตนเอง
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ท่านสี่(四爷)เป็คำเรียกองค์ชายสี่
[2] ซื่อจื่อ(世子)เป็คำที่ใช้เรียกลูกชายผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ของผู้เป็พ่อ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือผู้สืบทอดทอดนั่นเอง ซึ่งส่วนมากจะเป็บุตรชายคนโตของอ๋อง หรือโหวผู้มีบรรดาศักดิ์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้