ทุกเวทีประลองที่ตั้งอยู่ในลานกว้าง มีเงาคน 8 คนเดินขึ้นไปบนเวที เนื่องจากตระกูลน่าหลันเป็เ้าภาพ ดังนั้นรุ่นเยาว์ทั้ง 8 คนที่มาจากตระกูลน่าหลันจึงเดินขึ้นไปบนเวทีประลองหลักด้วยท่าทางยโสโอหัง ส่วนรุ่นเยาว์ตระกูลกู่ หลินและเหวิน ต่างก็ขึ้นไปยังเวทีประลอง ตามทิศที่ตระกูลของตัวเองนั่ง
ตอนนี้เอง ชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆ ท่านเ้าเมืองน่าหลันซยงก็ลุกขึ้นยืน แล้วกวาดสายตามองไปเวทีประลอง
“งานชุมนุมในวันนี้ คือการทดสอบความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นในเมืองหยางโจว ดังนั้นทุกคนไม่จำเป็ต้องออมมือ หากพ่ายแพ้เ้าสามารถยอมรับความพ่ายแพ้และการต่อสู้ก็จะสิ้นสุดลง แต่ถ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ การต่อสู้ก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะตายไป”
จบประโยคนี้ก็เกิดเสียงดังกระหึ่มมาจากฝูงชน หากไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ก็จะประลองกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง นี่มัน... โเี้มาก
ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่จะมีความทะนงตัวสูงมาก ทั้งยังให้ความสำคัญกับหน้าตาและชื่อเสียงของตัวเองอีกด้วย โดยเฉพาะการยอมรับความพ่ายแพ้ สำหรับพวกเขาแล้วการยอมรับความพ่ายแพ้นับว่าเป็เื่ที่น่าอับอาย ต่อให้รู้ว่าสู้ไม่ได้แต่พวกเขาก็ยังคงยืนกรานจะสู้ต่อไปอยู่ดี เพื่อปกป้องเกียรติยศของตัวเอง แม้จะรู้ว่าพ่ายแพ้ก็ตาม
แต่สิ่งที่ชายชราพูด ทำให้พวกเขาต้องพิจารณาเื่การยอมแพ้อย่างถี่ถ้วน เพราะการประลองในครั้งนี้ มันก็เหมือนการอนุญาตให้ฆ่ากันได้ ถ้าหากความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และจะสู้ต่อไปเรื่อยๆ ประหนึ่งไม่ตายไม่เลิกรา ซึ่งท้ายที่สุดก็อาจจะต้องจบลงไปด้วยความเกลียดชัง
“ปราดเปรื่องมาก” หลายๆ คนแอบนึกชมอยู่ในใจ แน่นอนว่าไม่มีใครที่ไม่เข้าใจความนัยของน่าหลันซยง การที่เขาทำแบบนี้เป็การส่งเสริมและช่วยเหลือรุ่นเยาว์ของตระกูลน่าหลันชัดๆ เนื่องจากสถานที่จัดงานชุมนุมได้ตั้งอยู่ในคฤหาสน์ของท่านเ้าเมือง ดังนั้นหากใครกล้าสังหารคนของท่านเ้าเมืองในถิ่นของเขา แน่ใจหรือว่าจะรอดไปได้??? อีกอย่างสถานการณ์ในการต่อสู้ที่ต้องใช้ชีวิตเป็เดิมพันเช่นนี้ มีแต่จะบ่มเพาะความเกลียดชังระหว่างตระกูลขึ้นมา
น่าหลันซยง้าให้สามตระกูลใหญ่ที่เหลือขัดแย้งกันผ่านงานชุมนุมในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเหล่าผู้นำของทั้งสามตระกูลจะทราบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของน่าหลันซยง แต่ทว่าก็ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจนี้ลงไป ไม่มีใครที่ไม่อยากให้ตระกูลของตัวเองอยู่เหนือกว่าตระกูลอื่นๆ ดังนั้นพวกเขาจึงกำชับรุ่นเยาว์ของตระกูลตัวเองให้คว้าชัยชนะมาให้ได้
อีกทั้งท่านเ้าเมืองก็ได้กล่าวไว้ว่า หากยอมรับความพ่ายแพ้ การต่อสู้ก็จะสิ้นสุดลง ซึ่งกฎนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร หากเห็นท่าไม่ดี ก็ให้รุ่นเยาว์ของตัวเองยอมแพ้ก็ได้ แน่ล่ะสิ ใครจะยอมให้รุ่นเยาว์ของตัวเองไปตายเปล่าบนเวทีกัน
“ข้าได้รับรายชื่อผู้เข้าร่วมการประลองทั้งหมดแล้ว ซึ่งการจัดคู่ประลองจะเป็ไปตามที่ข้ากำหนด มีใครคัดค้านหรือไม่?” ชายชราหันหน้าไปมองเหล่าผู้นำตระกูลทั้ง 3 คน
“ฮ่าๆ ในเมื่อคฤหาสน์ท่านเ้าเมืองเป็ผู้จัดการ ข้าย่อมวางใจ” ผู้นำตระกูลกู่ กู่ชิ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“งานชุมนุมที่ผ่านมาก็ถูกจัดขึ้นโดยคฤหาสน์ของท่านเ้าเมืองตลอด และมันก็ไม่เคยมีความผิดพลาดเลยสักครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน” ผู้นำตระกูลเหวินพูด
“ข้าไม่คัดค้าน” หลินป้าต้าวตอบ
“ในฐานะตัวแทนตระกูลน่าหลัน ข้าขอขอบคุณในความไว้ใจของท่านผู้นำตระกูลทั้งสาม” ชายชราส่งยิ้มน้อยๆ ไปให้ จากนั้นก็หันมาป่าวประกาศกับทุกคนว่า “การประลองในรอบที่ 1 เป็การประลองแบบแพ้คัดออก ผู้ที่พ่ายแพ้จะตกรอบ ส่วนผู้ที่ชนะจะผ่านเข้ารอบ”
“ตอนนี้ข้าจะเริ่มประกาศชื่อคู่ต่อสู้ คนที่ข้าเรียกชื่อจะอยู่บนเวทีต่อ ส่วนคนไม่ได้เรียกชื่อให้ลงไปจากเวทีเพื่อรอเวลา เวทีประลองหลัก น่าหลันเฟิงจากตระกูลน่าหลัน พบกับเหวินซินจากตระกูลเหวิน เวทีประลองทิศตะวันออก กู่หวิ๋นจากตระกูลกู่พบกับหลินอู๋จากตระกูลหลิน เวทีประลองทิศใต้ หลินยู่จากตระกูลหลินพบกับเหวินฟงจากตระกูลเหวิน ส่วนเวทีประลองทิศตะวันตก น่าหลันจู๋จากตระกูลน่าหลันพบกับเฟิงเฉียน และเวทีประลองทิศเหนือ ตั๋วมิ่งพบกับกู่ชิงจากตระกูลกู่”
เวทีประลองมีทั้งหมด 5 เวที ซึ่งในแต่ละรอบจะมีคนขึ้นประลองถึง 10 คน หากมี 40 คนก็ 4 รอบ ต้องคัดออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้เหลือแค่ 20 คนเท่านั้น
คนที่ไม่ถูกเรียกชื่อต่างพากันทยอยเดินลงจากเวที ส่วน 10 คนที่ถูกเรียกชื่อก็เดินไปยังเวทีประลองของตัวเอง
“ฮ่าๆ เหวินซินช่างโชคร้ายจริงๆ ที่มาเจอน่าหลันเฟิงในรอบแรก ถึงแม้ว่าเหวินซินจะแข็งแกร่ง แต่นางก็เทียบน่าหลันเฟิงไม่ได้หรอก”
“ข้าได้ยินมาว่าหลินอู๋บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 แล้ว ดูเหมือนว่ารอบนี้ ชัยชนะจะต้องเป็ของเขาอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ชนะการประลองทางทิศใต้ก็น่าจะเป็เหวินฟง ทิศตะวันตกก็คงจะเป็เฟิงเฉียน ส่วนทิศเหนือ อืม… ถึงแม้ว่าเ้าหนุ่มที่สวมหน้ากากลึกลับนั่นจะดูแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามคือกู่ชิงล่ะก็ ไม่มีทางที่เขาจะเอาชนะได้หรอก”
ยังไม่ทันเริ่มการประลอง ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างก็ตัดสินกันไปเรียบร้อยแล้วว่าใครแพ้ใครชนะ เนื่องจากรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นในเมืองหยางโจวล้วนเป็คนที่พวกเขารู้จักกันดี ดังนั้นจึงสามารถคาดเดาความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์เหล่านี้ได้อย่างชัดเจน
แต่ผู้ที่ได้รับความสนใจจากทุกคนมากที่สุดก็คือ ตั๋วมิ่ง เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาและระดับการบ่มเพาะของเขา ซึ่งมองรวมๆ แล้วตั๋วมิ่งก็น่าจะมีพร์ที่ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่ต้องมาพบกับกู่ชิงในรอบแรก ดังนั้นตั๋วมิ่งจะต้องแพ้อย่างแน่นอน ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าระดับการบ่มเพาะของกู่ชิงนั้นอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขอบเขตแห่งจิติญญาทุกคนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นอกจากนี้กู่ชิงยังเป็รุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหยางโจว จึงเป็ธรรมดาที่หลายๆ คนจะเชื่อว่ากู่ชิงเป็ฝ่ายชนะ
ก็เป็ไปตามที่ทุกคนคาดเดา เหวินซินยอมรับความพ่ายแพ้ทันที ถึงแม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะให้ความสำคัญในเื่หน้าตาและศักดิ์ศรี แต่การยอมแพ้น่าหลันเฟิงก็ไม่นับว่าขายหน้าแต่อย่างใด อีกอย่างหากดันทุรังต่อสู้นั่นจะเรียกว่า ‘รนหาที่’
ส่วนทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ผู้ชนะก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา หลินอู๋กับเหวินฟงเป็ฝ่ายชนะ ซึ่งตรงตามที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด และทางด้านทิศตะวันตก เฟิงเฉียนใกล้จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แล้ว การประลองเกือบทั้งหมดแทบจะรู้ผลแล้ว ยกเว้นแค่การประลองทางทิศเหนือเท่านั้นที่การต่อสู้ยังไม่ได้เริ่ม และทุกคนก็ดูจะตื่นเต้นมาก
โดยเฉพาะกู่ชิง แน่นอนว่าเขาไม่เห็นตั๋วมิ่งอยู่ในสายตา สำหรับเขาแล้วตั๋วมิ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากธาตุอากาศ แต่การมีอยู่ของมันทำให้เขากลายเป็ที่สนใจของทุกคน ซึ่งมันทำให้กู่ชิงรู้สึกพอใจมาก ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าตัวเองจะต้องผ่านเข้าสู่รอบต่อไปแน่ๆ
“ขอแค่ไม่เจอน่าหลันเฟิง ข้าก็จะไม่แพ้ จนกว่าจะเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ส่วนหลินอู๋ เหวินฟงหรือแม้แต่เฟิงเฉียน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตราบเท่าที่ไม่เจอตัวเต็งของปีนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
กู่ชิงคิดในใจอย่างเงียบๆ เขาเมินตั๋วมิ่ง ชายปริศนาที่สวมหน้ากากสีเงินตรงหน้า และเอาแต่ครุ่นคิดถึงการต่อสู้ในรอบถัดไป
ในที่สุดเฟิงเฉียนก็สามารถเอาชนะน่าหลันจู๋ได้ น่าหลันจู๋เล็งเห็นว่าสู้ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี จึงตัดสินใจยอมแพ้ ทำให้สายตาของทุกคนหันไปมองที่เวทีประลองทางทิศเหนือทั้งหมด
“ผ่านไปครู่เดียว การประลองรอบแรกก็จบซะแล้ว” ทุกคนคิดในใจเงียบๆ
“กู่ชิง เลิกทำให้ทุกคนเสียเวลาได้แล้ว” ผู้นำตระกูลกู่ะโขึ้นมาอย่างเ็า น้ำเสียงของเขาฟังดูจองหองมาก ราวกับว่ากู่ชิงสามารถจบการประลองได้ทุกเมื่อ ตราบเท่าที่เขา้า
“ขอรับ ท่านผู้นำ” กู่ชิงตอบกลับ จากนั้นก็หันไปหาหลินเฟิงแล้วพูดอย่างเ็าว่า “ไสหัวลงไปซะ ข้าี้เีลดตัวลงมาสู้กับเ้า”
หลินเฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ดวงตาภายใต้หน้ากากของเขาฉายแววเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครเห็น
ไม่ใช่แค่กู่ชิงที่ไม่เห็นหลินเฟิงอยู่ในสายตา แม้แต่ตัวหลินเฟิงเองก็ไม่เห็นกู่ชิงอยู่ในสายตาเช่นกัน หลินเฟิงใช้่เวลาที่การต่อสู้ยังไม่เริ่ม สำรวจเวทีประลองด้านอื่นๆ อย่างไม่รีบร้อน อย่างไรเสียความเย่อหยิ่งจองหองของพวกอัจฉริยะ หลินเฟิงก็คุ้นเคยเป็อย่างดี
“หูหนวกหรือไง??? ข้าบอกเ้าให้ไสหัวไปซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ถ้าหากเ้ายอมลงจากเวทีดีๆ ข้าจะยอมไว้ชีวิตเ้าก็ได้”
ทางด้านกู่ชิง เมื่อเห็นหลินเฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ก็ขมวดคิ้วแน่น เดิมทีรุ่นเยาว์จากตระกูลใหญ่ ก็ไม่เห็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่อยู่ในสายตา ยิ่งหลินเฟิงเป็รุ่นเยาว์ที่ไม่มีชื่อเสียงใดๆ ก็ยิ่งไม่เห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นกู่ชิงจึงดูแคลนหลินเฟิงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ ไส-หัว-ลง-ไป-ซะ” หลินเฟิงมองหน้ากู่ชิงแล้วพูดย้ำออกมาทีละคำอย่างช้าๆ ทำให้ทุกคนล้วนตกตะลึงก่อนจะมีบางคนหลุดหัวเราะออกมา ไอ้หมอนี่มันบ้าดีเดือดจริงๆ ที่พูดแบบนี้กับกู่ชิง
นอกจากชิวหลันแล้ว คนอื่นๆ ต่างลอบหัวเราะเยาะหลินเฟิงทั้งนั้น ในสายตาของพวกเขา ชายลึกลับคนนี้อาจจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกู่ชิงได้
“กู่ชิง เ้า... ซวยแน่ๆ” หลังจากที่เฟิงเฉียนเอาชนะน่าหลันจู๋ได้ เขาก็หันไปมองสถานการณ์ของเวทีประลองข้างๆ เมื่อเห็นพฤติกรรมของกู่ชิงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลอบด่าอีกฝ่ายในใจว่า ‘หาที่ตาย’
กู่ชิงได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมขึ้นมา คาดไม่ถึงจริงๆ ว่า ไอ้คนไม่มีชื่อเสียงอย่างมันจะกล้าพ่นประโยคต่ำๆ แบบนี้ใส่เขา กู่ชิงเป็รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด ในลำดับที่ 2 ของตระกูลกู่ เขาเป็รองเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาเท่านั้น ไม่มีใครที่ไม่ยกย่องเขา!!!
“จัดการมันซะ” กู่ชิ่งะโออกมาอย่างเ็า ทำให้ทุกคนพากันตื่นใขึ้นมา ในใจของพวกเขาล้วนคิดไปในทางเดียวกันว่า ไอ้หมอนี่จบเห่แล้ว!!! เห็นได้ชัดว่า คำว่า ‘จัดการ’ ของกู่ชิ่งมันหมายถึงให้กู่ชิงฆ่าหลินเฟิงซะ
“ขอรับ” กู่ชิงรู้สึกได้ถึงความเดือดดาลผ่านทางน้ำเสียงของผู้นำตระกูลได้ ร่างของกู่ชิงทะยานไปหาหลินเฟิงอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้หลินเฟิงได้มีโอกาสพูดคำว่า ยอมแพ้
“หมัดคลั่ง” กู่ชิงะโออกมาเสียงดังลั่น ขณะที่ชกหมัดออกไปอย่างรวดเร็ว เสียงหมัดแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็วดูแล้วน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก
แต่ทว่าหลินเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ประหนึ่งเป็ูเาไท่ซานก็ไม่ปาน แม้ว่าด้านหน้าจะมีหมัดพุ่งเข้ามาหาก็ตาม
ประกายแสงแพรวพราวสว่างขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนที่ลำแสงดาบจะถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็ว
