“ไม่ต้องปิด อย่างน้อย่สองวันนี้อย่าเพิ่งปิด สองวันนี้ไม่ต้องไปคอยดูคนงานแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องระวังที่นั่น พวกเราคอยระวังรูนั้นแล้วมาดูกันว่าไอ้สารเลวที่กล้าทำเื่เช่นนี้คือใครกัน จับตาดูไอ้สารเลวนั้นไว้ พวกเราจะได้มาจัดการเื่นี้กัน ครั้งนี้ข้าจะทำให้พวกคนไม่ซื่อสัตย์เ่าั้มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น หึ อย่าว่าแต่ญาติพี่น้องเลย หากใครทำให้ชีวิตข้าไม่ราบรื่น คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ญาติของข้า”
จางเฉาิมองไปยังแววตาเ็าของภรรยา เขารู้ว่าครั้งนี้เธอไร้หัวใจอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็ญาติของผู้เป็มารดา แต่ว่า…
“เฮ้อ เ้าจัดการได้เลย เื่แบบนี้ข้าคิดว่าเจ็บระยะสั้นดีกว่าต้องเจ็บระยะยาว” จากการที่ต้องเดินทางออกไปทำการค้าขายนอกพื้นที่ในระยะนี้ การทำธุรกิจทำให้จางเฉาิต้องพบเจอผู้คนมากมาย ทำให้เขาพบเจอประสบการณ์ที่มากขึ้น
ตอนนี้โลกทัศน์ของเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน ความคิดก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วเช่นกัน
เขาในตอนนี้เป็คนที่มีพัฒนาการมากขึ้นแล้ว
ซึ่งการที่เขาเป็เช่นนั้นก็ทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกปลื้มใจ
ทั้งคู่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทำอาหารเย็นวันนั้นออกมาจนเสร็จ ครอบครัวของเธอร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข วันรุ่งขึ้นก็ยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม
เพียงแต่ว่าในตอนที่กำลังนำคนงานไปยังลานทำงาน หลังจากที่จางเฉาิจัดระเบียงคนงานและคาดคะเนถึงสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำแล้ว เขาก็เดินไปอีกฝั่งหนึ่ง และเอ่ยกับเหล่าลูกน้องเบื้องหน้าเพื่อบอกว่าเขาจะไปขึ้นเขา
“นี่ พี่จางจะขึ้นเขาหรือ เวลานี้จะขึ้นเขาไปทำอะไรกัน” มีคนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“เพราะลูกสาวที่บ้านอยากกินเนื้อน่ะสิ ข้าก็เลยว่าจะขึ้นเขาไปหาไปล่าสัตว์ให้กับพวกนางสักหน่อย พวกนางจะได้เลิกบ่น” จางเฉาิอธิบายพร้อมรอยยิ้ม
“ไอ้หยา พวกเราก็ว่ากันแล้วว่าพี่จางเนี่ยดูแลครอบครัวดีเหลือเกิน พวกเด็กๆ มีพ่อแบบท่านเนี่ย ช่างมีความสุขจริงๆ”
……
จางเหล่าต้าที่อยู่มุมหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดเ่าั้ดวงตาก็ขยับไปมา เมื่อเขาเหลือบมองเห็นจางเฉาิที่เดินห่างออกไปไกลแล้วจึงยกมือขึ้นมากุมท้อง “ไอ้หยา ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว เมื่อวานภรรยาของข้าทำอาหารอะไรเนี่ย ตอนนี้ถึงได้ปวดท้องขนาดนี้”
หัวหน้าที่เข้ามาคุมงานแทนจางเฉาิเห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาก็เบะปาก ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาแกล้งป่วย ไม่อยากทำงาน แต่อย่างไรก็ตามเขาก็เป็ญาติของเถ้าแก่ แม้พวกเขาจะมีหน้าที่ดูแล แต่ครั้งแรกนี้เขามาทำหน้าที่เช่นนี้ เขาก็คงห้ามไม่ให้คนอื่นไปเข้าห้องน้ำได้หรอก
……
และด้วยสาเหตุนั้น เฉินเหล่าต้าก็สามารถหนีออกมาจากการบุกเบิกที่ดินรกร้างได้
เขายังไม่ได้เชี่ยวชาญถึงกรรมวิธีในการกลั่นน้ำตาลทรายขาว ของแบบนี้หากรู้แจ้งเห็นชัดแล้ว สิ่งนี้ก็สามารถสืบทอดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน คนที่กระตือรือร้นที่จะออกจากความแร้นแค้นนี้ การลักลอบเรียนขโมยเรียนถือเป็สิ่งสำคัญที่สุด
ตลอดทางที่เดินมา รอบๆ ข้างไม่มีใครให้ความสนใจตนเองเลย เฉินเหล่าต้าเดินมาถึงยังรูที่ตนเองแอบขุดเอาไว้ด้วยความชำนาญทาง
เขานำใบไม้ที่ปกปิดเอาไว้ออก เข้าไปใกล้และแนบดวงตาให้ตรง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมาจากเื้ั
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นจางเฉาิที่มองมาด้วยแววตาเ็า
“ท่านน้า ท่านช่างมีความสามารถจริงๆ เลยนะครับ” จางเฉาิเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขากำมือเอาไว้แน่น ชายผู้ซื่อสัตย์คนนี้สงสัยั้แ่แรกแล้วว่าคนพวกนี้เป็คนทำเื่นี้ แต่เมื่อมาเห็นพวกเขาทำจริงๆ ในใจของเขาก็ไม่อาจอดทนต่อความเ็ปเอาไว้ได้
ภรรยาของเขาปฏิบัติต่อคนพวกนี้อย่างไร ตัวเขารู้ชัดกว่าใคร
เพียงชั่วเวลาไม่นานครอบครัวของเขาก็ต้องรับดูแลคนที่หนีความลำบากมามากมายขนาดนี้ ภรรยาของเขาประหยัดกินประหยัดใช้เพื่อพวกเขาเ่าั้
ต่อให้เป็อาหารการกินของต้าซวงและเสี่ยวซวง ก็ถูกแบ่งออกมาไม่น้อย ในตอนที่ครอบครัวคนเ่าั้กำลังยากลำบาก พวกเขาได้หยิบยื่นทางออกให้
แต่นี่คือสิ่งที่คนเ่าั้ตอบแทนอย่างนั้นหรือ กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ยังจะมาคิดอีกว่าพวกเขาปฏิบัติต่อตนเองไม่ดีพอ การที่ไม่ได้ดูแลคนเ่าั้เหมือนญาติผู้ใหญ่ ทั้งหมดนั้นก็เป็เพราะคนเ่าั้ทำตัวเกินไป ช่างน่าขันจริงๆ
“หลาน…หลานเขย…” เฉินเหล่าต้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนเองจะถูกจับคาหนังคาเขาเช่นนี้
ตอนนี้เขาจึงมีท่าทีลนลานเป็อย่างมาก
“ท่านน้า ท่านอย่าบอกข้านะว่า ท่านเพิ่งจะมานั่งยองๆ อยู่ตรงนี้โดยบังเอิญ”
คำพูดนั้นเป็คำพูดที่กำลังเยาะเย้ยเฉินเหล่าต้า แต่เขาก็ยังกล้าที่จะพยักพเยิดหน้ายอมรับตามคำพูด
“ใช่ ใช่ ข้ามาพบรูนี้เข้าโดยบังเอิญ นี่ หลานเขย รูนี้จะต้องปิดนะ หากความลับที่ลานหลังบ้านของพวกเ้าถูกคนขโมยไป…”
เขาอยากจะเอ่ยต่อ แต่จางเฉาิกลับไม่อยากฟังคนคนนี้เอ่ยเื่ไร้สาระต่อ
จึงเลิกคิ้วขึ้นเพื่อบอกให้ “หุบปาก”
“ลานหลังบ้านของข้ามีความลับหรือ เื่นี้ตัวข้าเองยังไม่รู้เลย แต่ท่านน้ากลับรับรู้อย่างชัดเจนมากเลยทีเดียว รูที่ถูกซ่อนเอาไว้บนกำแพง ข้าต้องหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจึงพบรูนี้ แต่ท่านน้ากลับมาตรงนี้และนั่งลงไปโดยไม่คิดลังเล อย่าคิดว่าผู้อื่นโง่เขลา ท่านน้าคิดว่าจางเฉาิคนนี้โง่และหลอกง่ายหรือ”
คำพูดนี้ทำให้คิ้วของเฉินเหล่าต้ากระตุกหลายต่อหลายครั้ง เมื่อมองใบหน้าเ็าของจางเฉาิ ที่ดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ ขาของเขาจึงกางออก
เฉินเหล่าต้าทรุดกายลงเบื้องหน้าของจางเฉาิ “หลานเขย ข้ามันไม่ใช่คน ข้าไม่ควรมีจิตใจที่ชั่วร้ายเช่นนี้เลย ข้า ข้าไม่ได้เรียนรู้ความลับอะไรเลย ถือว่าเห็นแก่หน้าหลานสาวข้า ให้อภัยข้าสักครั้งเถิด”
“ถุย เห็นแก่หน้าข้าหรือ สุนัขแก่อย่างท่านช่างพูดเก่งเสียจริง สามีของข้าเห็นใจข้า มันเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องปล่อยท่านไปด้วย อยากขโมยสูตรลับของข้า ทำไมไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองบ้าง”
ทั้งคู่เงยหน้าขึ้น โดยคาดไม่ถึงเลยว่าซูฉีเฉียวจะอยู่บนกำแพง พิงต้นดอกท้อและเอ่ยด่าอย่างเผ็ดร้อน
จางเฉาิขมวดคิ้วมองไปยังซูฉีเฉียวที่ยืนอยู่บนกำแพง ทำเอาเขาใจเต้นไม่หยุด
“ภรรยา เ้าลงมา เ้าใจเย็นๆ ก่อน เื่นี้ข้าจะจัดการเอง เ้าอย่าไปยืนบนนั้น หากเกิดอะไรขึ้นมันไม่ใช่เื่เล่นๆ เลยนะ”
นางเจิ้งและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างต่างก็ใที่เห็นเธอไปยืนอยู่บนกำแพง
“ไอ้หยาแม่หนู รีบลงมาเร็วเข้า ยืนแบบนั้นหากตกลงไปจะทำอย่างไรกัน โกรธอะไร โมโหอะไรลงมาสงบสติอารมณ์ก่อน”
เมื่อถูกผู้คนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเื้ัเอ่ยเช่นนี้ ซูฉีเฉียวจึงสงบลงและจับบันไดเอาไว้พร้อมกับยืนสั่งการ
“นี่พ่อ เ้าไม่ต้องเกรงใจกับคนคนนี้เลยนะ ตอนแรกที่ข้าให้พวกเขาอยู่ก็เอ่ยคำพูดไม่น่ารื่นรมย์ต่อหน้าข้า หากไม่ยอมรับการดูแลของข้าหรือไม่เคารพกฎระเบียบของข้า ก็ไล่ออกไป ท่านน้าไม่อยากทำงานอยู่ที่นี่ เขาอยากเป็คนสูงศักดิ์ เ้าอัญเชิญพวกเขาออกไปที เ้าไล่ครอบครัวของท่านน้าออกไป ข้าก็จะได้บอกกับท่านแม่ เมื่อเป็เช่นนี้ ข้าก็ไม่อยากจะเก็บใครเอาไว้เลยสักคน”
จากนั้นก็ได้เสียงะโมาจากที่ไกลๆ จากนางเฉินที่รีบตามมาเมื่อรู้ข่าวว่าคนในครอบครัวจะต้องจากไปด้วยความเศร้าโศก
นางไม่ใจแข็งพอที่จะตัดสินใจขับไล่คนกลุ่มนี้ออกไป แต่ก็ไม่สามารถก่อปัญหาให้บุตรสาวต่อไปได้
การไปจากที่นี่คือสิ่งเดียวที่นางสามารถทำเพื่อบุตรสาวได้
และครอบครัวน้าสะใภ้สามก็แทบะเิทันทีที่รับรู้ข่าวเข้า
“อะไรนะ จะขับไล่พวกเราหรือ ไม่ได้นะ ไม่ได้ ข้าตั้งใจทำงานอยู่ที่นี่ ทำไมพวกเราต้องไป นางบอกให้พวกเราทำงาน ใช้แรงแลกข้าว พวกเราก็ทำตาม นี่เพิ่งจะทำมาเพียงไม่กี่วัน ก็จะมาไล่พวกเราอีกแล้วหรือ นี่ซูฉีเฉียวเป็คนที่เกิดจากตระกูลพวกเราจริงหรือ ญาติที่ไหนทำแบบนี้ ไม่ได้ ไม่ได้ ข้าจะต้องไปคุยกับนาง บนโลกนี้มีที่ไหนกันที่ผู้น้อยจะขับไล่ผู้าุโออกไปอยู่ข้างนอก แบบนี้ไม่ยุติธรรม”
ซูฉีเฉียวที่ยืนอยู่บนกำแพงได้ยินคำว่ายุติธรรม ก็ยิ้มเยาะออกมาทันที คนเกียจคร้านพวกนี้ ยังกล้าที่จะมาพูดเื่ความยุติธรรมกับเธออีกหรือ
แม่เ้า เธอยังจะต้องยุติธรรมอะไรอีก ยัง้าให้เธอปฏิบัติต่อคนพวกนี้อย่างไรอีก
“บางคน เ้าปฏิบัติดีต่อเขาหมื่นครั้ง นางก็จะรู้สึกว่ามันเป็สิ่งที่สมควร แต่หากมีเพียงครั้งเดียวที่เ้าปฏิบัติไม่ดีต่อนาง นางจะยิ่งรู้สึกว่าเ้าติดหนี้นาง ติดหนี้ไปตลอดชีวิต…”
แท้ที่จริงแล้ว คนโบราณได้กล่าวเอาไว้อย่างถูกต้อง
……
คนของครอบครัวเฉินทั้งหมดได้มารวมตัวกัน ผู้าุโของตระกูลเฉินถูกประคองออกมาเบื้องหน้า ทุกคนต่างเดินมายังที่อยู่อาศัยของซูฉีเฉียว เมื่อซูฉีเฉียวมาถึงก็พบกับมารดาของตนเองที่ประคองชายชราอยู่
แววตาของเธอแฝงความเ็ปและความรู้สึกลำบากใจ สุดท้ายแล้วเธอก็รู้สึกผิดต่อผู้เป็มารดา หากมารดาของเธอชราจนลุกไม่ขึ้น เธอก็ไม่รังเกียจเลยที่จะให้นางอยู่ต่อ ไม่ใช่ว่า…ในใจของเธอไม่รู้สึกเศร้าใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คนที่ปกป้องเธอเมื่อเธอฟื้นได้สติขึ้นมาก็คือนางเฉิน ในตอนนั้นนางเฉินยอมรับความอัปยศอดสูด้วยความเต็มใจ และร้องขอแม่สามีไม่ให้ขับไล่เธอ ความรักที่นางมีให้ไม่ใช่ว่าเธอมองไม่เห็น เพียงแต่ว่าความรักของนางนั้นมันเอ่อล้นจนกลายเป็อุทกภัยสำหรับเธอ นางรู้เพียงแค่ต้องดูแลคนเหล่านี้ไม่รู้ว่าควรจะต้องดูแลห่วงคนใกล้ตัว คนข้างกายที่ควรดูแลเอาใจใส่ที่สุดกลับถูกนางละเลย…
การอบรมบ่มสอนเช่นนี้ ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ
“ท่านพี่ ท่านบอกว่าท่านคุยกับแม่หนูฉีชัดเจนแล้วมิใช่หรือ” มีคนะโมาใส่นางเฉิน
นางเฉินมองไปยังบุตรสาวด้วยแววตาเสียใจ ก่อนที่ในท้ายที่สุดจะกวาดสายตามองญาติพี่น้องของตนเอง “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปกับพวกเ้า แต่บุตรชายและสามีของข้าไม่จำเป็จะต้องไปกับข้าด้วย ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ข้าจะขอเลิกรากับซูเหล่าอู่”
ซูฉีเฉียวชะงัก คนของครอบครัวเฉินก็ตกตะลึง พวกเขาร้องขอให้นางเฉินเป็ผู้ตัดสินให้กับพวกเขาแท้ๆ เพื่อที่จะให้นางเป็ูเาให้พึ่งพิง แต่ตอนนี้นางเฉินกลับพูดว่าจะเลิกรากับเหล่าอู่ตระกูลซูอย่างนั้นหรือ!
เมื่อเป็เช่นนั้น การที่นางเฉินมาอยู่กับพวกเขา มันจะไปช่วยอะไรกัน
“พวกเ้าร้องขอข้ามาตลอดไม่ใช่หรือว่าให้ข้าใช้ความเป็แม่มากดดันบุตรสาวเพื่อขอให้นางช่วยเหลือพวกเ้า รับพวกเ้าเอาไว้ ข้าก็ช่วยพวกเ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้มันเป็เื่อื่นแล้ว ไม่ว่าเื่ที่น้องชายทำไว้จะเป็อย่างไร แต่พวกเราก็ไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ครอบครัวของสามีข้าและลูกชายทั้งสองและบุตรสาวคนเล็ก พวกเขาไม่จำเป็จะต้องเดินทางไปกับข้า ดังนั้น…ข้าขอเลิกรากับเหล่าอู่ ฉีเฉียวร่างหนังสือหย่าขึ้นมาเถิด”
นางเฉินหลับตาลง เอ่ยคำตัดสินใจของตนเองด้วยความเ็ปอีกครั้ง ซูเหล่าอู่ผู้เป็บิดาของซูฉีเฉียวที่อยู่ไม่ไกล ชายผู้ซื่อสัตย์คนนี้จ้องมองไปที่ภรรยาด้วยดวงตาแดงก่ำ เื่นี้มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป
เขามีอะไรอยากจะพูด แต่ต้าหล่างกลับเข้ามาพูดอย่างแ่เบาใกล้หูของเขา “ท่านพ่อ เอ้อหลางของพวกเรา…ใกล้จะถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานแล้ว แต่…แต่ว่า พวกเราในตอนนี้จะไปสู่ขอผู้หญิงได้อย่างไรกัน ท่านแม่กำลังทำเพื่อพวกเรา ทำตามที่ท่านแม่บอกเถิดครับ พวกเราไม่อยากร่อนเร่อีก…” เขาเกลี้ยกล่อมซูเหล่าอู่ และบีบมือเบาๆ ในตอนที่ไม่มีคนสังเกตต้าหล่างกดเสียงต่ำ “รับปากทำตามท่านแม่ไปก่อน เมื่อเลิกรากันแล้ว…พ้นจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้แล้ว ท่านพ่อก็สามารถกลับมาอยู่กับท่านแม่ได้อีก”
มารดาของเขาตอนนี้คงกำลังผิดหวัง ญาติพี่น้องที่ไม่เอาการเอางาน นางไม่สามารถสลัดให้หลุดพ้นออกไปได้ จึงทำได้เพียงสละตนเองเพื่อกำจัดพวกเขาเ่าั้ออกไป
ในเมื่อมารดาของพวกเขาตัดสินใจที่จะตัดเนื้อร้ายออกไป พวกเขาก็ต้องทำตาม
ซูเหล่าอู่ก้มศีรษะครุ่นคิด ในเวลานั้นเขาไม่รู้ว่าตนเองควรหรือไม่ควรตอบรับ ภรรยาที่อยู่กับเขามาเกือบสามสิบปี เอ่ยด้วยปากที่สั่นเครือว่า้าเลิกรากับเขา เพียงแต่ว่าภรรยาของเขาเป็คนขี้ใจอ่อน ปฏิบัติต่อคนจากครอบครัวของตนเองด้วยความไม่ค่อยสมเหตุสมผล และเพราะเหตุนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดนั้นส่งผลทำให้ครอบครัวพบเจอกับความยากจน หากเป็เช่นนี้ต่อไปต้าหลางและเอ้อหลางรวมไปถึงบุตรสาวอีกสองคน ก็คงไม่สามารถมีครอบครัวดีๆ ได้
เพราะในปีนั้นครอบครัวลำบากยากแค้น พวกเขาจึงให้ซูฉีเฉียวออกเรือน…
—-----------------------------------------------------------