มู่จื่อหลิงถูกหลงเซี่ยวอวี่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน คิดเป็ร้อยเป็พันก็ไม่เข้าใจ เดิมนางคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะใช้เื่รังนกมาซักไซ้นาง ทว่าเพิ่งจะถามเพียงไม่กี่ประโยคก็ไปเสียแล้ว เป็คนประหลาดพิลึกจริงๆ
สิ่งสำคัญที่สุดก็ยังเป็ประโยคท้ายสุดของเขา ‘ถ้าไม่จำเป็อย่าได้เข้าวังหลวง’
คิดว่านางอยากเข้าวังมากนักหรือไง หากไม่เพราะมีราชโองการรับสั่งมิอาจขัดขืน ต่อให้มีกองทองกองเงินมาวางตรงหน้านาง นางก็ไม่ไปสถานที่ภูตผีปีศาจเช่นนั้นอย่างแน่นอน
แต่ว่าการมาของหลงเซี่ยวอวี่ ประกอบกับนางล้มไปยกหนึ่งเมื่อครู่ อารมณ์หดหู่แต่เดิมก็ผ่อนคลายขึ้นมา ท้องจึงหิวจนส่งเสียงร้องโครกคราก
สนใจอันใดอันหย่า องค์หญิงอันใดนั่น คนในโลกนี้ไหนเลยจะไม่เคยเสียเปรียบ ยามนี้ท้องนภากว้างแผ่นดินใหญ่ เื่กินข้าวใหญ่ที่สุด มู่จื่อหลิงคิดได้ขึ้นมา ก้าวยาวไปยังโต๊ะค่อยๆ จัดการอาหารให้หายไป
หลงเซี่ยวอวี่เดินออกไปไม่นาน เสี่ยวหานก็เข้ามา
“นายน้อย ท่านอ๋องไม่ได้ทำอันใดท่านใช่หรือไม่” เสี่ยวหานมองมู่จื่อหลิงที่กินข้าวโดยไม่รักษาภาพลักษณ์ ถามอย่างมีความนัย
นี่นายน้อยไปถูกแรงกระตุ้นอันใดเข้า เมื่อครู่ยังกินข้าวไม่ลง คนทั้งคนราวกับมะเขือม่วงแช่แข็ง เฉื่อยชา ไม่อยากแม้แต่ขยับตัว
เหตุใดแค่ท่านอ๋องมา นายน้อยกำลังวังชาเต็มเปี่ยม เริ่มกินอย่างมูมมามขึ้นมา เป็เพราะท่านอ๋องทำหรือพูดอันใดกับนายน้อยใช่หรือไม่ ทำให้นายน้อยเปลี่ยนความขุ่นเคืองมาเป็เรี่ยวแรงเช่นนี้
มู่จื่อหลิงยัดอาหารจนเต็มปาก พูดอย่างคลุมเครือ “เสี่ยวหาน ท่าทางเช่นนี้ของเ้าเหมือนอยากให้ท่านอ๋องทำอะไรข้าอย่างไรอย่างนั้น”
การแสดงออกของเสี่ยวหานในยามนี้เหตุใดจึงได้เหมือนว่ากำลังขบขันนางอยู่ นางแทบทนรอให้หลงเซี่ยวอวี่ทำอะไรเธอไม่ไหว แต่ต้องทำให้นางผิดหวังแล้ว หลงเซี่ยวอวี่จะทำอะไรเธอได้อย่างไรเล่า
“บ่าวมิได้มีความหมายเช่นนั้น” เสี่ยวหานพูดด้วยสีหน้าระมัดระวัง
ทว่าในใจนางกลับกำลังแอบขบขัน ระยะนี้คล้ายว่าท่านอ๋องจะมาหานายน้อยบ่อยๆ แล้ว ทั้งยังอยู่กับนายน้อยเพียงลำพัง ดูท่าข่าวลือที่ท่านอ๋องไม่เข้าใกล้สตรีเพศคงจะจางหายไปเองโดยมิต้องลงมือทำสิ่งใด
มู่จื่อหลิงเหลือบมองนางอย่างอารมณ์เสีย “ยังจะมิได้มีความหมายเช่นนั้น ข้าเห็นว่า่นี้เ้าขวัญกล้าเสียเหลือเกิน ยามนี้ยังกล้าหัวเราะเยาะข้าแล้ว”
“บ่าวมิกล้า” เสี่ยวหานก้มศีรษะเล็กน้อย กล่าวด้วยความเกรงกลัว
“เอาเถิด ไม่ล้อเ้าเล่นแล้ว ข้ากินอิ่มแล้ว เอาของพวกนี้ออกไปเถิด เช้าวันพรุ่งนี้พวกเราจะไปเยี่ยมท่านแม่ข้าที่สวนจิ้งซิน” มู่จื่อหลิงวางตะเกียบ ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนพลางพูด บอกใบ้ให้เสี่ยวหานยกอาหารที่เหลือออกไป
เมื่อมู่จื่อหลิงคิดถึงระยะเวลาที่ส่งยาไปสวนจิ้งซินก็พบว่าผ่านไปราวหนึ่งเดือนแล้ว แม้จะทิ้งหรูอี้ไว้ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือดูแล หากมีเื่ใดนางก็จะถ่ายทอด
แต่ว่ามู่จื่อหลิงก็ยังต้องไป จะอย่างไร่นี้นางก็ว่างเสียจนไม่มีอะไรทำ และไม่รู้ว่ามารดานางที่แช่สมุนไพรมาจะหนึ่งเดือน ร่างกายจะดีขึ้นหรือยัง
“เ้าค่ะ” เสี่ยวหานเดินเข้ามายกอาหารออกไป
-
เช้าวันต่อมา มู่จื่อหลิงอาบน้ำแต่งตัวอย่างง่ายๆ ทานมื้อเช้าเรียบร้อยจึงพาเสี่ยวหานเตรียมตัวไปสวนจิ้งซิน เพียงแต่พวกนางเพิ่งจะขึ้นรถม้า ก็มีเงาร่างสายหนึ่งรีบร้อนะโขึ้นมา
“หลงเซี่ยวเจ๋อ เ้า” มู่จื่อหลิงเห็นผู้มาใหม่ก็ไม่พอใจขึ้นมาโดยพลัน
หมอนี่มาร่วมวงเื่สนุกอันใดอีกแล้ว นางจ้องเขาอย่างขุ่นเคือง เตรียมจะะเิอารมณ์ ก็ถูกน้ำเสียงรีบร้อนของหลงเซี่ยวเจ๋อตัดบท
“พี่สะใภ้สามไม่ว่าตอนนี้ท่านจะไปที่ใด พวกเราต้องเข้าวังก่อน ฝูหลินเลี้ยวไปทางวังหลวง เร็วเข้า”
หลงเซี่ยวเจ๋อยังไม่ทันหยุดพักหายใจ เอ่ยปากบอกมู่จื่อหลิงอย่างจริงจัง แล้วสั่งสารถีที่อยู่นอกรถม้าด้วยน้ำเสียงร้อนรนและกระวนกระวาย
มู่จื่อหลิงถึงรู้สึกว่าหลงเซี่ยวเจ๋อไม่ปกติ นางไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางเยี่ยงนี้ของหลงเซี่ยวเจ๋อมาก่อน จริงจังเข้มงวด เป็กังวลยิ่งนัก เขาในยามนี้กับพ่อพวงมาลัยหน้าทะเล้น เป็คนละคนโดยสิ้นเชิง
คิ้วของมู่จื่อหลิงขมวดน้อยๆ ถามอย่างงุนงง “หลงเซี่ยวเจ๋อ ไปวังหลวงทำอันใดกัน?”
“พี่สะใภ้สาม เกิดเื่ใหญ่ท่าไม่ดีแล้ว” หลงเซี่ยวเจ๋อถอนลมหายใจเสียงดัง พูดอย่างร้อนรน
ดวงตามู่จื่อหลิงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ลางสังหรณ์ไม่ดีก็เกิดขึ้นอย่างเลือนราง ถามต่อไป “เกิดเื่ใดขึ้น?”
“เป็พี่ห้า โรคทางสมองพี่ห้ากลับมากำเริบอีกแล้ว ทั้งดูเหมือนว่าจะสาหัสยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ยามนี้ผู้ใดก็เข้าใกล้ตัวเขาไม่ได้” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดต่อด้วยจิตใจที่ร้อนรนเป็ไฟ
ขณะนี้ในใจเขากระวนกระวาย ครั้งที่แล้วพี่สะใภ้สามมิได้บอกว่าโรคทางสมองของพี่ห้าหายเป็ปกติแล้วหรือ เหตุใดตอนนี้จึงได้กำเริบขึ้นมาแล้วเล่า
แต่ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อก็มิทันได้คิดพิจารณา เขาต้องอาศัยตอนนี้ที่เื่ยังไปไม่ถึงหูไทเฮา รีบตามพี่สะใภ้สามไปดูอาการ
มิเช่นนั้นถ้าไทเฮารู้เื่นี้ ต้องนำเื่นี้มาหาเื่พี่สะใภ้สามอีกเป็แน่ และเขาก็ยังเป็ห่วงพี่ห้านัก
ได้ยินเช่นนี้มู่จื่อหลิงก็เต็มไปด้วยความน่าเหลือเชื่อ ปฏิเสธอย่างไม่คิดแม้แต่น้อย “เป็ไปไม่ได้”
ครั้งที่แล้วนางจัดการเนื้องอกจนหมดแล้ว จะกลับมากำเริบได้อย่างไร ต่อให้มีก้อนเนื้อเล็กๆ เหลืออยู่ก็ไม่มีทางกลับมาสาหัสกว่าเมื่อก่อน
ไม่พูดถึงที่ว่านางไม่เคยละเลยคนไข้มาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นระบบซิงเฉินก็ไม่มีทางผิดพลาดเป็แน่ ต่อให้นางวินิจฉัยผิด ระบบซิงเฉินก็ไม่มีทางวินิจฉัยผิด
“จริงๆ ยามนี้พี่ห้าปวดจนเกือบจะทำลายตำหนักหนานเหออยู่แล้ว” หลงเซี่ยวเจ๋อคิดว่ามู่จื่อหลิงไม่เชื่อคำที่เขาพูด เอ่ยปากอีกครั้ง คำพูดนี้ของเขามิได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
์รับรู้ เมื่อเช้าเขาไปหาพี่ห้า ตอนเห็นพี่ห้ากุมศีรษะอย่างเจ็บจนไม่อยากมีชีวิตกลิ้งอยู่บนพื้น เขาหวาดกลัวมากเพียงใด ก่อนหน้านี้ยามพี่ห้าโรคกำเริบก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง แต่ว่าตอนเช้าเขาเรียกอย่างไรพี่ห้าก็ไม่สนใจ มีเพียงเสียงร้องคำราม
มู่จื่อหลิงไม่สงสัยคำพูดหลงเซี่ยวเจ๋อ นางเพียงไม่เชื่อว่าการผ่าตัดครั้งที่แล้วจะเกิดปัญหา ไม่เชื่อว่าระบบซิงเฉินจะวินิจฉัยผิด นอกจากนี้หลงเซี่ยวเจ๋อไม่นำเื่นี้มาล้อนางเล่น
หัวคิ้วนางขมวดแน่นอย่างไตร่ตรอง เกรงว่าเื่จะมิง่ายดายแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่คิดมาก กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างฉับไว พูดอย่างเย็นเยียบ “หยุดรถ”
“พี่สะใภ้สาม เป็อันใดไป” หลงเซี่ยวเจ๋อถามอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าพี่สะใภ้สามไม่อยากไปแล้ว?
มู่จื่อหลิงไม่ได้ตอบคำถามหลงเซี่ยวเจ๋อ และพูดกับเสี่ยวหานด้วยใบหน้าระมัดระวังรอบคอบ “เสี่ยวหาน เ้าลงไปจากรถ กลับจวนไปเอง”
มู่จื่อหลิงรู้ว่าเื่ครั้งนี้ตึงเครียดยิ่งนัก แต่ว่านางก็ยังไม่ลืมว่ามิอาจพาเสี่ยวหานไปด้วยได้ ไปครั้งนี้เกรงว่าจะไม่อาจถอนตัวได้โดยง่าย นางมิอาจดึงเสี่ยวหานเข้ามาพัวพันได้
“นายน้อย บ่าวอยากไปกับท่าน” เสี่ยวหานเข้าใจความหมายในคำพูดเมื่อครู่ของหลงเซี่ยวเจ๋อ ดูเหมือนจะเกิดเื่ใหญ่ขึ้นจริงๆ แล้วยังเกี่ยวข้องกับนายน้อย ยามนี้นางไม่อยากละไปจากข้างกายนายน้อย
ครั้งที่แล้วฮองเฮาใส่หนอนกู่อันใดนั่นลงไปในรังนก ้าทำร้ายนายน้อย ครั้งนี้นายน้อยก็้าเข้าวังไปเพียงลำพังอีก ทั้งยังเกิดเื่ใหญ่ขึ้น นางจะปล่อยให้นายน้อยเข้าไปลำพังอย่างสบายใจได้อย่างไร
“ไม่ได้ ลงไป” มู่จื่อหลิงไม่พูดพล่าม ตอบปฏิเสธอย่างเ็า
น้ำในวังหลวงไม่สมควรแตะต้อง รับรองไม่ได้ว่าจะถูกคนกำจัดจุดอ่อนไว้หรือไม่ นางกระทำการครอบคลุมไว้ทั้งหมด รักษาโรคของหลงเซี่ยวหนานหายั้แ่แรกแล้ว ครั้งนี้ไม่แน่ว่าหลงเซี่ยวหนานจะอาการกำเริบขึ้นมาจริงๆ หรือมีคนเจตนาทำขึ้น นางจำต้องระมัดระวังไว้ก่อน
“นายน้อย” แม้เสี่ยวหานจะใกับน้ำเสียงเย็นของมู่จื่อหลิง แต่นางก็ยังคงไม่ยอมแพ้
“อยากไปก็ได้ ครั้งนี้ไปแล้ว ภายหน้าก็อย่าได้ติดตามข้าอีก” มู่จื่อหลิงตัดบทวาจาของเสี่ยวหานอย่างเคร่งขรึมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
มู่จื่อหลิงก็รู้ว่าเสี่ยวหานเป็ห่วงนาง แต่ว่านางมิอาจใจอ่อนพาเสี่ยวหานเข้าวัง เสี่ยวหานเข้าวังไม่เพียงช่วยอะไรไม่ได้ แล้วยังจะได้รับการพัวพันไปด้วย
“บ่ะ...บ่าวจะลงไปเดี๋ยวนี้ นายน้อยต้องระวังตนเองนะเ้าคะ” เสี่ยวหานมองสีหน้าเคร่งขรึมของมู่จื่อหลิง ราวกับจะไม่้านางจริง ท้ายที่สุดนางจึงยอมอ่อนข้อ ลงจากรถไปอย่างน่าเห็นใจ
หลังจากมู่จื่อหลิงเห็นเสี่ยวหานลงไปจึงวางใจ นางนึกถึงคำพูดเมื่อวานของหลงเซี่ยวอวี่ขึ้นมา ไม่จำเป็มิต้องเข้าวัง นางยิ้มขื่นอย่างหมดทางเลือก เพิ่งพูดไปเมื่อวาน วันนี้นางก็เข้าวังเสียแล้ว ทั้งยังมิอาจไม่เข้า ช่างกลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็มาจริงๆ
หลังจากเสี่ยวหานลงจากรถ รถม้าก็แล่นต่อไปอย่างรวดเร็ว
“พี่สะใภ้สาม ยามนี้เื่ยังไปไม่ถึงไทเฮา พวกเราต้องไปดูอาการพี่ห้าก่อนหนึ่งก้าว” หลงเซี่ยวเจ๋อพูดเตือนด้วยใบหน้าจริงจัง
มู่จื่อหลิงย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของหลงเซี่ยวเจ๋อ นางมิได้สนใจมาก หลงเซี่ยวหนานมีการเคลื่อนไหวครึกโครมเช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องลอยไปถึงไทเฮาทางนั้นแน่
ยิ่งไปกว่านั้นเื่นี้ไม่ง่ายดาย อาจจะมีคนเจตนาทำออกมา ผู้ที่สร้างเื่จะทนรอแทบไม่ไหวโวยวายให้คนรู้โดยทั่วกันน่ะสิ
“ดูก่อนหลังล้วนไม่สำคัญแล้ว” มู่จื่อหลิงบีบมืออย่างจนปัญญา หัวเราะเสียงขื่น
ครั้งที่แล้วต่อหน้าคนทั้งหมด นางให้คำมั่นต่อไทเฮาว่าเปิดศีรษะของหลงเซี่ยวหนาน เป็เพราะต้องรักษาเขาให้หาย ไม่มีโทษฐานใดทั้งนั้น แล้วยังปฏิเสธไทเฮาไปเช่นนั้น ทำไทเฮาเสียหน้า สุดท้ายพระนางจึงข่มโทสะแล้วจากไป
ครั้งนี้อาการเจ็บป่วยของหลงเซี่ยวหนานกลับมากำเริบอีก ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว คนทั้งหมดคงคิดว่าวันนั้นนางหลอกลวงเบื้องสูงแล้ว
และครั้งที่แล้วหลังจากให้คำมั่นต่อไทเฮา ไทเฮาชิงชังนางเพียงนี้มานานแล้ว ครั้งนี้จะไม่ใช้โอกาสอันดีเช่นนี้ล้างแค้น กัดนางนานไม่ปล่อย
เื่ที่จะเกิดย่อมต้องเกิด ไร้วิธีจะหลีกหนี!
วันนั้นหลงเซี่ยวอวี่พูดว่าจะคุ้มครองนางให้นางปลอดภัย ทว่านั่นก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่หลงเซี่ยวหนานปลอดภัย หากหลงเซี่ยวอวี่รู้ว่าโรคของหลงเซี่ยวหนานกำเริบจะคิดอย่างไร จะคิดว่านางหลอกเขา แล้วจะช่วยนางหรือไม่?
มิหนำซ้ำต้องเป็เพราะเหตุผลนี้ ไทเฮาคงโหมเื่เล็กให้เป็เื่ใหญ่ ลากโยงไปถึงหลงเซี่ยวอวี่ หลงเซี่ยวอวี่จะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดมาไว้ที่นาง?
“พี่สะใภ้สาม ท่านมิได้บอกว่าอาการป่วยของพี่ห้าดีขึ้นแล้วหรือ? ยังกลับมากำเริบได้อย่างไร” หลงเซี่ยวเจ๋ออดถามด้วยความสงสัยมิได้
แม้ยามนี้มู่จื่อหลิงจะไม่มีอารมณ์อะไรมาพูด แต่หลงเซี่ยวเจ๋อก็ห่วงใยนาง นางยังตอบคำถามของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างใจดี
“หายแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดยังกำเริบขึ้นมาใหม่ได้ ยามนี้ต้องไปตรวจดูก่อนจึงจะรู้”
“อืม ต้องไปดูก่อน” หลงเซี่ยวเจ๋อผงกศีรษะอย่างใช้ความคิด และถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ยามนี้พี่สามก็ไม่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว มิอาจช่วยพวกเราได้ หวังว่าไทเฮาจะไม่มาจับผิด”
เมื่อวานกุ่ยหยิ่งไปหาเขาบอกว่าพวกพี่สาม้าออกจากเมืองหลวงไปสืบเื่ราวบางอย่าง เขาถามกุ่ยหยิ่งว่าไปสืบที่ใด สืบเื่อันใด
กุ่ยหยิ่งก็ไม่พูดกับเขา ราวกับคนหัวแข็ง คำพูดไร้สาระก็ล้วนไม่ยอมพูดกับเขา เพียงให้เขารับรู้ไว้เสียหน่อย ยามนี้ที่นี่เกิดเื่ คิดไปพบพี่สามก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนแล้ว
หลงเซี่ยวอวี่ไม่อยู่ในวังหลวง? ได้ยินคำนี้หัวใจมู่จื่อหลิงก็เต้นรัวขึ้นมาทันที เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าที่พึ่งของนางไม่มีแล้ว ตนเองกำลังจะโชคร้าย ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ดีนัก นางไม่ชอบ
รถม้าของพวกมู่จื่อหลิงเพิ่งวิ่งเข้ามาในวังก็ถูกคนดักเอาไว้เสียก่อน......