“ูเาสุสานทวยเทพ? สถานที่ท่าท่านพ่อเสียชีวิต... พี่ชายตกเข้าไปอยู่ภายในเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างนั้นรึ? ไม่! พวกท่านคงกำลังหลอกข้าอีกอย่างแน่นอน ข้าไม่เชื่อพวกท่าน...” เย่ชิงอวี่คุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ส่ายหัวไปมาและบ่นพึมพำออกอยู่ไม่หยุด
“น้องชิงอวี่ข้าไม่ได้หลอกเ้าจริงๆ ครั้งที่แล้วเนื่องจากเ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอพวกเราเลยกลัวว่าเ้าจะได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไปดังนั้นจึงยังไม่ได้บอกเ้า พี่ชายของเ้ายังไม่ตายจริงๆ ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษเป็คนบอกเอง หากเ้าไม่เชื่อก็ถามท่านปู่ทั้งสามดู!” เย่ชิงอู่รีบพูดอธิบายขึ้นโดยเร็ว
“ข้าขอใช้เกียรติและศักดิ์ศรีของหัวหน้าตระกูลเย่รับประกันกับเ้าว่าเื่ที่หนูอู่พูดมาล้วนเป็ความจริงทั้งหมด!” เย่เทียนหลงรู้นิสัยเย่ชิงอวี่ดีกลัวว่านางจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลแล้วทำเื่ที่น่าเศร้าขึ้นอีก ดังนั้นจึงได้รีบพูดรับประกันขึ้นอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
เย่ชิงหนิวเองก็ไม่อยู่เฉยเช่นกันรีบพูดสำทับขึ้น “ข้าก็ขอรับประกันว่าเื่นี้เป็ความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษบอกแล้วว่าพี่ชายของเ้ามีโอกาสกลับออกมาได้ถึงแปดส่วน ดังนั้นเ้าไม่ต้องเป็กังวลจนเกินไป!”
เย่ไป๋หู่ไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้าออกมาอย่างสัตย์ซื่อจริงใจเช่นเดียวกัน
“ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ?” เย่ชิงอวี่ไม่เข้าใจรีบเอ่ยถามขึ้นอย่างงุนงง
“เอ่ออ...ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษก็คือเทพของตระกูลเย่ เป็เหมือนกับจ้าวเทวะผู้ปกครองของนครแห่งเทพ เป็ผู้มีพลังฝีมือระดับขอบเขตเทพ์ เ้าลองคิดดูว่าสิ่งที่เทพพูดจะเป็เื่เท็จรึ?” เย่เทียนหลงเห็นเย่ชิงอวี่เริ่มที่จะเชื่อขึ้นมาบ้างหลังจากที่ทุกคนทำการรับประกันขึ้น ครั้นแล้วจึงได้รีบพูดอธิบายเสริมขึ้นมา
“เทพ? แล้ว...ข้าอยากเจอเขาจะได้ไหม?” เย่ชิงอวี่รู้สึกใเล็กน้อยแต่ก็ยังเอ่ยถามขึ้นด้วยความร้อนรน
เย่เทียนหลงยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ แล้วเอ่ยขึ้น “อืมมม...ความจริงเ้าเคยพบเขามาแล้ว เมื่อสามเดือนก่อนตอนที่เ้าออกมาจากการเก็บตัวฝึกฝน ท่านผู้นั้นที่ปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศโดยฉับพลันคิ้วขาวยาวๆ นั่นแหละ...สำหรับตอนนี้เ้าอยากที่จะพบเขา เื่นี้...รู้สึกจะลำบากอยู่สักหน่อย!”
อืม! คิ้วเย่ชิงอวี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย อ้อจำได้แล้วคนที่เย่เทียนหลงบอกให้ตนเองและเย่ชิงอู่คุกเข่าไหว้คำนับลงนั่นเอง และคนๆ นั้นยังถามชื่อของตนเองอีกด้วย เพียงแต่ตอนนี้ไม่อาจเจอเขาเพื่อถามด้วยตนเองถึงสถานการณ์ของพี่ชายทำให้นางรู้สึกผิดหวังและเป็ห่วงกังวลอยู่เช่นเดิม
ฟิ้ว!
ในเวลานี้เอง อากาศภายในหอที่พักสั่นไหวขึ้นระลอกหนึ่ง เงาร่างสายหนึ่งปรากฏออกมากลางอากาศซึ่งก็คือเย่รั่วสุ่ย
“คำนับท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ!” ทุกคนภายในหอนอกจากเย่ชิงอวี่ต่างรีบทำการประสานมือไหว้คำนับในทันที
พูดถึงเย่รั่วสุ่ย เย่รั่วสุ่ยก็มาพอดี เย่รั่วสุ่ยเคยบอกไว้ไม่ให้คุกเข่าลงไหว้คำนับดังนั้นทุกคนจึงทำเพียงโค้งตัวลงไหว้คำนับเพียงเท่านั้น
“เ้าคือเย่ชิงอวี่ ใช่ไหม?” เย่รั่วสุ่ยใบหน้าอ่อนโยนโบกมือขึ้นให้พวกเย่เทียนหลงแล้วหันไปยิ้มให้เย่ชิงอวี่ เห็นได้ชัดว่าเย่รั่วสุ่ยติดตามเอาใจใส่สถานการณ์ของเย่ชิงอวี่อยู่ตลอด ตอนนี้ปรากฏตัวออกมาเช่นนี้ยิ่งบ่งบอกได้เป็อย่างดี
“อืม! ท่าน...ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษพี่ชายของข้าเป็อย่างไรบ้าง? ท่านสามารถบอกข้าได้ไหม?” เย่ชิงอวี่แม้จะรู้สึกสะดุ้งใต่อการมาอย่างฉับพลันของเย่รั่วสุ่ย เมื่อมองเห็นได้ชัดจึงแสดงความยินดีออกมาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
“พี่ชายของเ้าตอนนี้ยังสบายดี เมื่อสามเดือนก่อนเขาได้ทะลวงผ่านด่านแรกของูเาสุสานทวยเทพไปแล้ว ตอนนี้พลังฝีมือรุดหน้าไปเป็อย่างมากบรรลุถึงระดับขอบเขตจ้าวนักรบแล้ว! ดังนั้นเ้าไม่ต้องเป็กังวล!” เย่รั่วสุ่ยเข้าใจความคิดของนางจึงบอกเื่ราวทั้งหมดออกไปให้นางฟัง
ฮะ...!
เมื่อได้ฟังสิ่งที่เย่รั่วสุ่ยพูดออกมาทุกคนที่อยู่ภายในหอพลันใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแสดงความปีติยินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง เย่ชิงหานสามารถทะลวงด่านแรกได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เลย อีกทั้งพลังฝีมือบรรลุถึงระดับขอบเขตจ้าวนักรบแล้ว นี่มันเป็เื่มงคลน่ายินดีอย่างใหญ่หลวงเลยก็ว่าได้!
“แล้ว...พี่ชายของข้าเมื่อไหร่ถึงจะกลับมา?” เย่ชิงอวี่เห็นความสามารถของเย่รั่วสุ่ยที่สามารถทำในสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นนางจึงเริ่มเชื่อคำพูดของเขาขึ้นมาเช่นเดียวกันจึงเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้งด้วยความเป็ห่วงกังวล
“เมื่อไหร่ถึงจะกลับมา?” เย่รั่วสุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ข้าไม่สามารถบอกเวลาที่ชัดเจนต่อเ้าได้ ข้าบอกได้แค่ว่าเขามีโอกาสแปดส่วนที่จะกลับมาอย่างปลอดภัยในเวลาเดียวกันกับที่เ้าฝึกฝนจนถึงระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์!”
“แปดส่วน!” เย่ชิงอวี่กัดริมฝีปากปล่อยลมออกจากปากคำหนึ่งแล้วพูดขึ้น “แปดส่วน อืม...ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบพยายามขยันฝึกฝนให้มากๆ เพื่อบรรลุถึงระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุด แล้ว...ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ ข้าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรถึงจะฝึกฝนถึงระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์?”
“มากสุดหกถึงเจ็ดปี น้อยสุดสี่ถึงห้าปี เื่นี้ต้องดูที่ระดับความมุมานะพยายามและสติปัญญาของเ้าด้วย!” เย่ร่วสุ่ยยิ้มออกมา คิ้วยาวทั้งสองข้างเริ่มโค้งงอขึ้นแล้วพูดขึ้นต่อ “ด้วยเหตุนี้เ้าคงต้องรีบฝึกฝนแล้วละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงแม้ว่าพี่ชายของเ้าจะสามารถทะลวงผ่านด่านทั้งหมดของูเาสุสานทวยเทพออกมาได้ แต่รับรองได้ว่าเมื่อกลับมาถึงตระกูลเขาจะต้องพบเจอกับเื่ยุ่งยากแน่นอน ถึงเวลานั้นเขาจะต้องพึ่งพาอาศัยพวกเราเพื่อช่วยต้านทานศัตรูภายนอกไว้ เทียนหลงพวกเ้าก็จงจำเอาไว้ ถ้าหากเย่ชิงหานสามารถทะลวงออกมาจากูเาสุสานทวยเทพและกลับมาถึงตระกูลได้สำเร็จละก็ ตระกูลเย่จะต้องเผชิญกับหายนะใหญ่ครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเ้าต้องรีบตั้งใจขยันฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้นแล้วละ”
“อืม!” เย่ชิงอวี่ไม่พูดอะไรออกมาอีกมีแต่สายตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เท่านั้น
“เหอะๆ พวกเ้าทานข้าวกันต่อเถอะ ข้าต้องกลับไปเก็บตัวฝึกฝนต่อแล้ว!” เย่รั่วสุ่ยยิ้มออกมาราบเรียบจากนั้นก็เลือนหายไปในอากาศ
เย่เทียนหลงและพวกเย่ไป๋หู่มองตากันครั้งหนึ่งต่างเห็นได้ถึงแววเคร่งเครียดที่อยู่ภายในดวงตาของอีกฝ่าย ในเมื่อท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษพูดออกมาว่าเย่ชิงหานกลับมาจะต้องพบเจอกับเื่ยุ่งยากอย่างแน่นอน แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพยังคิดว่าเป็เื่ยุ่งยาก แสดงว่าเื่ที่จะเกิดขึ้นต้องไม่ใช่เื่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ดั้งนั้นทุกคนจึงต่างตัดสินใจว่าหลังจากปีใหม่ผ่านไปจะเข้าเก็บตัวฝึกฝนกันโดยทันทีตั้งใจฝึกฝนทำการเลื่อนขั้นพลังฝีมือให้ได้มากที่สุดเพื่อเตรียมตัวรับมือกับหายนะครั้งใหญ่ที่จะมาเยือนในวันข้างหน้า...
.................................
เมืองเซียวหุน เกาะแห่งทะเลสาบแห่งความเงียบสงบ เยว่ชิงเฉิงไม่ได้ไปนั่งล้อมวงทานข้าวรวมญาติร่วมกับหัวหน้าตระกูลและเหล่าผู้าุโทั้งหลาย แต่นางมานั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวข้างๆ ทะเลสาบ ดีดพิณโบราณ ร่ายรำเพลงกระบี่ ขับร้องบทกลอน “พั่วเจิ้นจือ”
นางที่อยู่ชุดเสื้อคลุมยาวสีดอกท้อแดงพร้อมกับดอกท้อที่ทัดอยู่หนึ่งดอก ใบหน้าที่สวยงดงามราวกับเทพธิดา ดวงตาคู่ไข่มุกสีดำมันแวววาวที่เศร้าหมองไร้ซึ่งชีวิตชีวา บวกกับผิวน้ำของทะเลสาบที่ราบเรียบไร้คลื่นและกระแสลม ทุกสิ่งอย่างประกอบเข้าด้วยกันทำให้เกิดเป็ภาพเหตุการณ์ที่งดงามอย่างแปลกประหลาดเป็พิเศษ
เฟิงจื่อและฮวาเฉ่าล้วนออกจากการเก็บตัวฝึกฝนแล้ว ภายใต้การสนับสนุนจากทางตระกูลยาวิเศษจำนวนมากที่ใช้ในการฝึกฝนบวกกับความมุมานะเพียรพยายามของทั้งสองคน ระดับขั้นพลังฝีมือของพวกเขาพัฒนารุดหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วรวดเดียวทะลวงผ่านขึ้นมาสองระดับขั้นเล็กจนตอนนี้ระดับพลังฝีมืออยู่ที่ระดับขั้นที่สองขอบเขตนักรบแล้ว
เพียงแต่...ทั้งสองคนกลับทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาไม่ได้แสดงความยินดีออกมาแม้จะได้รับคำชมเชยจากเหล่าผู้าุโของตระกูล แต่ในใจของทั้งสองคนกลับคิดถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ภายในูเาสุสานทวยเทพคนนั้น ไม่รู้ว่า...เ้าเด็กหนุ่มที่เหมือนสัตว์ประหลาดคนนั้นถ้าตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ละก็พลังฝีมือของเขาจะบรรลุไปถึงระดับขั้นขอบเขตใดแล้ว?
เมืองั หลงผี่ฟูในตอนนี้อยู่ในอารมณ์ปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาหลงไซ้หนานเมื่อหนึ่งเดือนก่อนฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับขอบเขตาาจักรพรรดิได้สำเร็จ กลายเป็บุคคลผู้ที่มีพร์คนที่สองในรอบร้อยปีที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีแต่สามารถบรรลุถึงระดับขอบเขตาาจักรพรรดิได้ ส่วนคนแรกนั้นไม่ต้องสงสัยก็คือเย่เตานั่นเอง หลงผี่ฟูปลื้มปีติยินดีเป็อย่างมากจัดงานเลี้ยงฉลองให้นางอย่างยิ่งใหญ่
หลงไซ้หนานกลับไม่ได้รู้สึกยินดีอะไรมาก ภายในใจรู้สึกว้าวุ่นไม่เป็สุขจึงรีบปลีกตัวจากมา
นางมานั่งอยู่คนเดียวภายในห้องจ้องมองดูตนเองภายในกระจก คิ้วรูปกระบี่พลันขมวดขึ้นภายในหัวกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับคำถามข้อหนึ่งว่า สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเื่อารมณ์ความรักสำคัญกว่าหรือกิจการของตระกูลสำคัญกว่ากันแน่?
.................................
นครแห่งเทพก็คึกคักเช่นเดียวกัน! เพราะว่า...วันนี้นครแห่งเทพมีปรากฏการณ์วิเศษอัศจรรย์ที่เกี่ยวกับเทพขึ้น “นิมิตแห่งเทพ” ซึ่งทำให้ประชาชนของนครแห่งเทพมีโอกาสได้ัักับพลังอานุภาพสูงส่งศักดิ์สิทธิ์และความวิเศษมหัศจรรย์ของเทพ
นิมิตแห่งเทพแน่นอนว่าต้องเป็เทพเท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นมาได้ แม้ว่านครแห่งเทพจะไม่ได้มีเทพเพียงแค่คนเดียว แต่เทพที่มีคุณสมบัติสามารถทำให้เกิดนิมิตแห่งเทพได้นั้นมีเพียงคนเดียวคือ จ้าวเทวะ “ถู”
นิมิตแห่งเทพสีสันพร่างพราวงามตา แสงหลากสีสันห้าสีส่องสว่างลงมายังหอใหญ่ที่เป็หอหลักของนครแห่งเทพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงคงอยู่เป็เวลายาวนานถึงครึ่งชั่วโมง เกิดเป็พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่มหาศาลน่าเกรงขามกลุ่มหนึ่งครอบปกคลุมทั่วทั้งนครแห่งเทพเอาไว้อย่างเนิ่นนาน
ประชาชนของนครแห่งเทพต่างพากันหันหน้าไปยังทิศทางที่แสงว่างสาดส่องลงมาพร้อมกับคุกเข่าไหว้ลงไปสวดอ้อนวอนพูดพรรณนาถึงความเคารพศรัทธาและจงรักภักดีที่ตนเองมีแต่เทพของนครแห่งเทพ
องครักษ์แห่งเทพทั้งสี่พร้อมทั้งทูตนับร้อยของนครแห่งเทพไม่ได้ไปนั่งล้อมวงกินข้าวรวมญาติกันแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดมารวมตัวกันที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายด้านหน้าของหอหลักและคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงเมื่อภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏลำแสงสาดส่องลงมา
พวกเขารู้ดีว่าแสงสว่างพร่างพราวหลากสีสันทั้งห้าสีนี้ไม่ใช่นิมิตหมายแห่งเทพหรืออะไร แต่เป็แสงสว่างที่เกิดขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้าย แต่ไอพลังศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่มหาศาลน่าเกรงขามที่แผ่กระจายออกมานี้กลับมาจากบุคคลคนหนึ่ง บุคคลผู้นี้คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในใต้หล้า – จ้าวเทวะ “ถู”
แสงสว่างพร่างพราวค่อยๆ หดหายไป พลังศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามค่อยๆ หดหายไป ภายในค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ที่ดูราวกับร่างของเทพมารร่างหนึ่งออกมา
เงาร่างนั้นมีลักษณะหัวโล้นพร้อมทั้งมีรอยสักที่แปลกประหลาดอยู่บนศีรษะ เงาร่างนั้นค่อยๆ หมุนตัวกลับมาปรากฏให้เห็นดวงตาคู่ที่แปลกประหลาด คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีดวงตาหยินหยางเหมือนกับเสว่อู๋เหิน เพียงแต่ดวงตาหยินหยางของเขากลับเป็ข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งแดง มองดูแล้วทั้งดุร้ายและน่าหวาดกลัว
“คำนับท่านจ้าวเทวะ ท่านจ้าวเทวะยิ่งใหญ่เกรียงไกร ท่านจ้าวเทวะหนึ่งในใต้หล้าไร้คู่ต่อกร!” พวกถูเสินเว่ยเมื่อมองเห็นดวงตาคู่ที่แปลกประหลาดนั้นจึงรีบคุกเข่าลงโดยทันที ทั้งหมดหมอบต่ำอยู่กับพื้นลักษณะท่าทางเคารพนอบน้อมอย่างถึงที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้