ม้าศึกสีดำส่งเสียงร้องและห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง พวกหลินเฟิงช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่มีทางล้มพวกเขาทั้งสามได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะร่างเงาที่มีเสน่ห์นั่น ตราบใดที่นางอยู่ใกล้ๆ ก็จะทำให้ผู้คนหายใจติดขัดและรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง ผู้หญิงคนนี้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับที่ทรงพลังอย่างมาก
คนที่สวมหน้ากากทองแดงนั้น แม้จะอ่อนแอที่สุดในสามคน แต่ก็ยังอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 นอกจากนี้เขายังสามารถควบคุมอำนาจมีดได้ และมีทักษะมีดที่แข็งแกร่ง จนทำให้บางครั้งสายลมที่แ่เบาก็ยากเกินกว่าจะคาดคะเน
ไม่นานนักนอกภัตตาคารเทียนซานก็เต็มไปด้วยร่างไร้ิญญานอนเกลื่อนอยู่ที่พื้น ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่รอดไปได้ เช่นเดียวกับทูจิ้วที่มาอย่างเย่อหยิ่งกลับต้องตายอยู่ที่นี่ รวมทั้งผู้นำอิงแห่งป้อมอีแร้งผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตลี้ลับก็เช่นกัน
“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!” ผู้คนกำลังมองพวกหลินเฟิงอย่างตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าพวกหลินเฟิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ที่สังหารคนแล้วคนเล่าราวกับเป็เื่ง่ายดาย!
ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่หนีไป ที่แท้เขาก็มีพลังแข็งแกร่งและไม่หวาดกลัวอีกฝ่าย
ดวงตาที่สดใสของหลันเจียวกำลังมองไปที่เมิ่งฉิง หญิงสาวผู้สง่างามและบริสุทธิ์ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ผ้าคลุมหน้าผืนบางนั้น… นางอยากจะฉีกกระชากเสียให้รู้รอด แม้นางจะเป็ผู้หญิงที่สวย แต่นางก็อยากเห็นใบหน้าของเมิ่งฉิงให้เต็มตา
“มิน่าเล่า…” ริมฝีปากบางสั่นระริกขณะกล่าวเสียงเบา ดวงตาคู่สวยของหลันเจียวเต็มไปด้วยความคับแค้นใจขณะมองไปที่ด้านหลังของหลินเฟิง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลินเฟิงถึงไม่หลงเสน่ห์นาง ที่แท้เขาก็มีหญิงงามขนาดนี้อยู่ข้างกายแล้วนั่นเอง
หลินเฟิงไม่แม้แต่จะปรายตามองซากศพบนพื้น แต่เขากลับเข้าไปในภัตตาคารอีกครั้ง เมิ่งฉิงและป้าเตาก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน จนกระทั่งพวกเขาทั้งสามหายลับไปจากสายตาผู้คน
ผู้คนต่างมองไปที่ภัตตาคารด้วยดวงตาเป็ประกาย ครั้งนี้คนของป้อมอีแร้งได้ตายไปเป็จำนวนมาก แม้กระทั่งผู้นำอิงก็ถูกสังหาร ศึกครั้งต่อไปจะต้องรุนแรงกว่านี้เป็ร้อยเท่าอย่างแน่นอน
“หมอนี่ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีจริงๆ เ้าคิดว่าด้วยพละกำลังของพวกเ้าจะสามารถจัดการกับป้อมอีแร้งทั้งกลุ่มได้อย่างนั้นเหรอ”
หลันเจียวแอบด่าอยู่ในใจ ไม่คิดว่าหลินเฟิงจะยังไม่ออกไปจากที่นี่อีก หรือว่าจะรอคนของป้อมอีแร้งมาฆ่าตอนนั้นแล้วถึงจะรู้สึกเสียใจ
หลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ภายในภัตตาคาร ขอบเขตผสานกับเทวโลกทำให้จิตใจของเขารวมเป็หนึ่งเดียวกับเทวโลก จากนั้นเขาก็เข้าสู่สภาวะการบ่มเพาะทันที ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งหนใด เขาก็สามารถเข้าถึงสภาวะนี้ได้เสมอ
หินหยวนที่อยู่รอบๆ พลันส่องแสง จากนั้นหยวนชี่เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันจิตใจของหลินเฟิงได้เข้าสู่สภาวะสงบ ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น และเริ่มฟื้นฟูพลังจิติญญาที่ได้ใช้ไป
สำหรับหลินเฟิงแล้ว การใช้หยวนชี่ฟ้าดินนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขา แต่มันกลับส่งผลกระทบต่อพลังจิติญญา นั่นจึงจำเป็ต้องฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นมันอาจส่งผลกระทบต่อการสู้ของเขาในครั้งถัดไป
การใช้ของเหลวสีม่วงหรือใช้หนวดของงูั์โจมตีนั้น ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยพลังของจิติญญา หากไม่มีพลังจิติญญาที่แข็งแกร่งล่ะก็ ยามที่ควบคุมการโจมตีของจิติญญาสีม่วงจะไม่ได้ดั่งใจนัก หากมีพลังจิติญญาที่แข็งแกร่ง จิติญญาสีม่วงของเขาก็จะโจมตีได้เป็วงกว้าง พละกำลังเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เวลาได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผู้คนบางส่วนที่อยู่ในภัตตาคารได้ฟื้นฟูพลัง ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกภัตตาคารก็ยังไม่ไปไหน พวกเขาต่างรอคอยผู้นำของป้อมอีแร้งมา และรอดูว่าผลการต่อสู้จะเป็เช่นไร
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้น พร้อมกับพื้นดินที่สั่นะเือีกระลอก แต่ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งแรกหลายเท่า เสียงที่ดังสนั่นได้เข้าสู่โสตประสาทของผู้คนในบริเวณนั้น ราวกับแก้วหูของพวกเขากำลังจะแตก
ไม่นานนักกองกำลังทหารม้าสีดำที่อยู่ไกลออกไปก็มุ่งหน้ามาทางภัตตาคารเทียนซาน กองกำลังนี้มีทหารม้าเกือบพันตัว ซึ่งทำให้ผู้คนต่างต้องใจเต้นไม่เป็จังหวะ
ทูจิ้วผู้ซึ่งอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญา และผู้นำอิงที่อยู่ขอบเขตลี้ลับต่างถูกสังหารกันทั้งคู่ และยังมีคนของป้อมอีแร้งอีกนับร้อยที่ตายไป จำนวนผู้ถูกสังหารมากขนาดนี้ มันทำให้ป้อมอีแร้งต้องโกรธเป็ธรรมดา
“มาแล้ว!”
ฝูงชนต่างหลีกทางให้พวกเขาอีกครั้ง แต่รอบนี้ถอยไปไกลกว่าเดิม กลุ่มคนที่มาใหม่มีกลิ่นอายที่ทรงพลัง จนพวกเขาไม่อาจยืนอยู่ที่เดิมได้เพราะกลัวจะโดนลูกหลง
ผู้นำกลุ่มเป็ชายหัวล้านที่มีร่างกายกำยำ บนใบหน้ามีแผลขนาดใหญ่ซึ่งดูน่าหวาดกลัว ประกอบกับดวงตาที่ดูกระหายเื มันจึงเป็ไปไม่ได้ที่เขาคนนี้จะเป็คนดี
คนคนนี้แบกง้าวไว้บนหลัง เขาเป็อีกหนึ่งรองผู้นำของป้อมอีแร้ง แล้วยังเป็คนที่แข็งแกร่งและดูลึกลับมากอีกด้วย น้อยคนนักที่จะได้เห็นเขาคนนี้ ว่ากันว่าเขาสังหารคนเพื่อเข้าร่วมกลุ่มป้อมอีแร้ง ทำให้ป้อมอีแร้งต้องยอมจำนนได้ เขามีพละกำลังแข็งแกร่งและด้วยระดับขอบเขตลี้ลับขั้นที่ 3 เขาจึงได้แทนที่ผู้นำอีกสองคน และกลายเป็ประมุขแห่งป้อมอีแร้ง
ทหารม้าสีดำนับพันเข้าล้อมภัตตาคาร เมื่อผู้นำทูเห็นซากศพที่นอนเกลื่อนพื้น จากนั้นก็จ้องไปยังภัตตาคารด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงคำรามที่บ้าคลั่งได้ออกมาจากปากของผู้นำทู ด้วยเสียงอันทรงพลังนี้ทำให้หน้าต่างของภัตตาคารต้องสั่นะเื
ทว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา พวกหลินเฟิงจะออกมาจากภัตตาคารง่ายๆ ได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีทางเป็ไปได้
ดวงตาของผู้นำทูพลันเยือกเย็นและแหลมคมราวกับมีด จากนั้นเขาได้กล่าวว่า “ผู้ที่สังหารคนของป้อมอีแร้ง ข้าจะให้เ้าได้ตายอย่างทุกข์ทรมาน พวกเ้าจงรออยู่ตรงนี้ เมื่อใดที่พวกมันออกมา ก็จงสังหารทันที!”
“รับทราบ!” ผู้คนะโออกมาด้วยเสียงแหลมสูง
ผู้นำทูไม่ได้วางแผนมาเช่นเดียวกับผู้นำอิงที่พุ่งเข้าไปในนั้น ทว่าเขาเลือกที่จะรออยู่ด้านนอก เพื่อทำให้หลินเฟิงได้รับความทุกข์ทรมาน
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงจะได้รับความทุกข์ทรมานจริงๆ น่ะหรือ? ขอบเขตผสานกับเทวโลกนั้นเป็สภาวะของจิตใจที่แข็งแกร่งราวกับขุนเขา ขณะที่อยู่ในสภาวะนี้แล้ว หัวใจก็ราวกับหยุดเต้น ไม่มีสิ่งใดทำให้จิตใจสั่นคลอนได้
ผู้นำทูลงมาจากม้าศึกสีดำ แล้วเดินไปยังซากศพด้านหน้า ซึ่งตอนนี้เขามีใบหน้าที่ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เย็น... เย็นมาก! ทุกอย่างภายในร่างของผู้นำอิงล้วนถูกแช่แข็งไปหมด การไหลเวียนเืก็กลายเป็แข็งตัว พร้อมกับกล้ามเนื้อที่หยุดทำงาน
“ช่างเป็เจตจำนงที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!” ผู้นำทูเงยหน้าและมองไปยังภัตตาคารเทียนซาน ทำให้เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะคอยผู้นำอีกคนมาแล้วค่อยบุกโจมตี
ผู้นำทูคนนี้ แม้ภายนอกจะดูหยาบกร้านและไม่มีสมอง ทว่าคนที่รู้จักเขาจะทราบดีว่าเขาฉลาดกว่าผู้นำอิงมาก เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูชั่วร้าย มักทำให้คนสับสนได้ง่ายๆ
คนคนนี้เก่งกาจกว่าผู้นำอิงมาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีคนนับพัน แต่เขาก็ไม่ยอมเสี่ยงเหมือนผู้นำอิง ผู้ที่อยู่ด้านในสามารถสังหารผู้นำอิงได้ นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นต้องแข็งแกร่ง เขาจึงไม่อาจเข้าไปเสี่ยงได้ แม้จะมีพวกเขานับพันก็ตาม
ข้างนอกภัตตาคารเทียนซานกลายเป็เงียบสงัด ราวกับเป็ความสงบก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำ ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าพันคนของป้อมอีแร้ง ได้แต่ล้อมรอบภัตตาคารอย่างอดทนและไม่จู่โจมแต่อย่างใด
เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ บรรยากาศขณะนี้ทั้งเงียบสงัดและหดหู่ แต่ผู้คนก็ไม่ไปไหนและยังคงยืนรออยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะรอคอยการเปิดศึก
อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้รอคอยมาทั้งวัน คนของป้อมอีแร้งแม้จะล้อมรอบภัตตาคารไว้ แต่ก็ไม่ได้ลงมือ และฝูงชนก็ยืนรอมาทั้งวันแล้ว จนกระทั่งบางคนก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย
บรรยากาศยังคงเงียบสงัด…
ทว่าในขณะนั้น เหมือนมีเสียงที่ดังและหนักแน่นมาจากที่ไกลๆ จนพื้นดินสั่นะเืเล็กน้อย
นอกจากนี้ เสียงมันก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินเองก็ยิ่งสั่นรุนแรงขึ้น
นี่คือเสียงกีบเท้าม้า... มีใครบางคนกำลังมา!
ฝูงชนต่างตกตะลึงและมองไปที่ไกลๆ พวกเขาจึงเห็นคนกำลังควบม้ามาทางนี้ พวกเขาต่างเยือกเย็นราวกับหิมะและมีกลิ่นอายเย็นที่ทรงพลังมาก
ราวกับเทพเซียนมาเยือน...!
“คนของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน... มาแล้ว!”
ม่านตาของฝูงชนหดแคบลง ชั่วครู่พวกเขาก็เดาได้ว่าคนกลุ่มนั้นเป็ใครมาจากไหน
ปิงหยวน ซึ่งเป็ศิษย์หลักอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานได้ถูกสังหาร แล้วหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานจะไม่แก้แค้นได้อย่างไร
“พวกเขามาเร็วเสียจริง” ทุกคนต่างใจเต้นแรง คราวนี้หลินเฟิงคงหมดทางรอดแล้ว ผู้คนจากป้อมอีแร้งและหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานต่างมาที่นี่เพื่อสังหารเขา
“ไปให้พ้น!” น้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากผู้ที่อยู่บนหลังม้าศึกสีขาวที่อยู่หน้าสุด และด้านหน้าของเขาตอนนี้ก็คือผู้นำทู
ฝูงชนต่างตกตะลึง คนของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานช่างระห่ำยิ่งนัก แม้แต่ผู้นำทูก็ไม่อยู่ในสายตาพวกเขา
ดวงตาของผู้นำทูเยือกเย็นขึ้นขณะมองผู้ที่มาใหม่ ก่อนกล่าวว่า “เ้าเป็ใครในหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน?”
“ปิงเหอเถิง!” ผู้ที่มาใหม่กล่าวอย่างไม่แยแส ทำให้ม่านตาของผู้คนพลันหดแคบลง ปิงเหอเถิง... ซึ่งเป็ผู้าุโใหญ่ของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน ถึงกับต้องมาด้วยตัวเอง...!