หลงเซี่ยวเจ๋อตื่นตระหนก กล่าวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมา!
มุมปากของมู่จื่อหลิงโค้งเป็รอยยิ้มเย็นอย่างบางๆ ฮองเฮานั่งไม่ติดเสียแล้ว มาได้เวลาพอดี!
หากวันนั้นนางมิได้ส่งความน่าประหลาดใจไปให้ไทเฮาอย่างยิ่งใหญ่จนทำให้ไทเฮาล้มป่วยบนเตียงจนถึงบัดนี้ คาดว่าวันนี้ไทเฮาก็คงมาร่วมวงความครึกครื้นด้วยกระมัง!
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเดินเข้ามาจากด้านนอก ชุดัสีเหลืองเจิดจ้ายิ่งขับให้กลิ่นอายความสูงส่งนั้นชัดเจนขึ้นไปอีก บนกายปรากฏความทรงอำนาจอันน่าเกรงขามแม้จะไร้เพลิงโทสะก็ตาม โดยมีฮองเฮาติดตามมาด้านหลังด้วยท่วงท่าสง่างามสูงศักดิ์ ใบหน้าสุภาพอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
หลังจากทั้งสองคนเข้ามา ก็บรรจงนั่งลงบนพระที่นั่งหลัก สูงส่งจนมิอาจล่วงเกิน คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นจึงทยอยทำความเคารพ
“หลิงเอ๋อร์ วันนี้วางแผนจะเริ่มสืบจากสิ่งใด?” ฮ่องเต้ถามขึ้นด้วยความสงสัยดั่งเปิดประตูเจอูเา [1]
เมื่อวานนี้หลงเซี่ยวอวี่มาพบเขาแล้วบอกว่าคดีนี้มีเพียงมู่จื่อหลิงเท่านั้นที่สืบออกมาได้ หากเป็ผู้อื่นเขาย่อมไม่เชื่อ แต่ผู้พูดคือหลงเซี่ยวอวี่ เขาไม่เชื่อไม่ได้
ว่ากันตามเหตุผลแล้วเื่ของกู่เป็เื่ที่เขาต้องระมัดระวังและเข้มงวด แต่สามตุลาการสืบความติดต่อกันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสใด ตอนนี้แม้มีเพียงความหวังน้อยนิดเขาก็มิอาจปล่อยไปได้ มิเช่นนั้นหากปล่อยให้กู่แพร่ไปในหมู่ราษฎรอีกครั้ง ผลที่ตามมาคงเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
บัดนี้เขากลับสงสัยนักว่ามู่จื่อหลิงผู้นี้มีความลึกลับมากเพียงใดกันแน่ สามารถทำให้บุตรชายที่ปกติปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเ็าไร้ความรู้สึกของเขามาเอ่ยปากกับเขาด้วยตนเองว่าจะให้มู่จื่อหลิงสืบคดีความ
เขาอยากดูว่ามู่จื่อหลิงจะใช้วิธีการใดสืบคดีความที่แม้แต่สามตุลาการยังสืบหาเบาะแสใดออกมาไม่ได้
มู่จื่อหลิงขยับมุมปากกำลังจะอ้าปากพูด
สิงกู้เหวินอดทนรอไม่ไหวจึงชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อนราวกับกลัวว่าคำพูดเมื่อครู่ของมู่จื่อหลิงจะหลุดลอยไป เขารีบร้อนก้าวขึ้นมาข้างหน้า พูดด้วยความอ่อนน้อม “ฝ่าา เมื่อครู่นี้หวางเฟยเพิ่งพูดว่า...”
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นสิงกู้เหวินแย่งพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในใจตื่นตระหนกสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ขัดจังหวะคำพูดของสิงกู้เหวินโดยปราศจากความลังเลด้วยการตำหนิอย่างมีโทสะ “บังอาจ เ้ากล้าดูิ่เบื้องสูง เสด็จพ่อถามเ้าแล้วหรือ คำตอบของฉีหวางเฟยเ้าก็ยังกล้า่ชิง”
เ้าอ้วนนี่ยังคิดจะพูดจริงๆ น่ะหรือ? เขากล้าพูดอีกคำก็ลองดู!
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเห็นสิงกู้เหวินทะลุขึ้นมากลางปล้องย่อมไม่พอพระทัยเช่นกัน พระองค์ขมวดพระขนง สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย
สิงกู้เหวินใจนทรุดตัวคุกเข่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกริ่งเกรง “ผู้น้อยมิกล้า!”
เขาพูดจบ สายตาก็ยังลอบเหลือบมองฮองเฮา
สายตาแฝงความนัยของสิงกู้เหวินมิได้รอดพ้นไปจากสายตาของมู่จื่อหลิง นางชายตามองสิงกู้เหวินบนพื้นอย่างนิ่งสงบ มุมปากยกขึ้นเป็รอยยิ้มบางอันเรียบเฉยราวกับกำลังเยาะเย้ย และดูเหมือนกำลังมองคนปัญญาอ่อน
ฮองเฮานั้นเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าคนเป็ที่สุด ครู่เดียวก็มองออกว่าสิงกู้เหวินมีเื่สำคัญที่้าพูด ทั้งยังเป็เื่ที่เกี่ยวกับมู่จื่อหลิงอีกด้วย
ขอเพียงแค่เกี่ยวกับมู่จื่อหลิงนางย่อมยินดีฟัง ครั้งที่แล้วนางส่งมอบคนสองคนให้สิงกู้เหวินไปสอบสวนมู่จื่อหลิงในคุกหลวง สิงกู้เหวินยังไม่ทันมารายงานนาง มู่จื่อหลิงก็ออกมาไร้ร่องรอยบุบสลายแล้ว
ฮองเฮาจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “ฝ่าา บางทีใต้เท้าสิงอาจจะมีเื่สำคัญถึงได้บุ่มบ่ามไร้มารยาทปานนี้ พวกเราฟังว่าเขา้าพูดสิ่งใดกันก่อนแล้วค่อยลงโทษก็ยังมิสาย”
จะอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าหลงเซี่ยวอวี่จะลดตัวลงไปพามู่จื่อหลิงออกมาจากคุกด้วยตนเอง บัดนี้ดูท่ามู่จื่อหลิงในใจหลงเซี่ยวอวี่จะสำคัญยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก
ฮ่องเต้มีบัญชาให้มู่จื่อหลิงสืบสวนคดีความนี้ด้วยพระองค์ เพียงชั่วครู่เดียวมู่จื่อหลิงก็เปลี่ยนจากผู้ต้องสงสัยไปเป็ผู้สืบสวนคดีเสียแล้ว
แม้มู่จื่อหลิงจะไม่รู้เื่กู่ นางจึงไม่กลัวว่ามู่จื่อหลิงจะสืบอะไรออกมาได้ แต่บัดนี้ฮ่องเต้ให้มู่จื่อหลิงคลี่คลายคดีความ เช่นนี้ยังไม่เป็การล้างมลทินให้มู่จื่อหลิงอย่างอ้อมๆ หรือ? แล้วสิ่งที่นางทำมาทั้งก่อนหน้าจะไม่สูญเปล่าหรือ?
เื่คว้าน้ำเหลวประเภทนี้ นางจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเป็ครั้งที่สองอีกเป็อันขาด!
เห็นฮองเฮาพูดเช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็รู้สึกร้อนรน ในขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นมาพูดอย่างขัดใจต่อความอยุติธรรม มู่จื่อหลิงก็ลอบดึงแขนเสื้อของเขาไว้แล้วถลึงตาใส่เขา แสดงท่าทีไม่ให้เขาพูด
หลงเซี่ยวเจ๋อเด็กโง่ผู้นี้ ทุกครั้งล้วน้าออกหน้าช่วยนางโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ จนนางไม่รู้ว่าควรจะปวดศีรษะหรือควรร่ำไห้ด้วยความซาบซึ้งดี!
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหลงเซี่ยวเจ๋อขวางเอาไว้ไม่ได้ แต่ต่อให้เขาขวางไว้ได้ นางก็จะทำให้สิงกู้เหวินพูดออกมาด้วยปากตนเองอีกครั้งอยู่ดี มิเช่นนั้นหมากตาต่อไปครั้งนี้ก็หมดสนุกแล้ว
เมื่อถูกมู่จื่อหลิงดึงเอาไว้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็ร้อนรนจนแทบกระทืบเท้า แต่เขาไม่กล้าพูด เขาไม่เชื่อฟังผู้อื่นได้ แต่คำของพี่สะใภ้สามเขาต้องฟัง
ฮ่องเต้ไม่ทุกข์ร้อนแต่ขันทีร้อนรน ช่างทำให้เขาร้อนใจนัก วันนี้พี่สะใภ้สามเป็อันใดไปกันแน่ จนถึงตอนนี้แล้วยังสบายใจ ปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติอยู่ได้อย่างไร หรือจนถึงบัดนี้นางก็ยังคิดไม่ได้?
ฮ่องเต้เหวินอิ้นโบกแขนเสื้ออย่างตามใจ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็มาฟังที่ขุนนางสกุลสิงพูดเถิด”
เมื่อได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ในใจสิงกู้เหวินก็ลิงโลดขึ้นมาโดยพลัน ทว่าเขาปกปิดได้เป็อย่างดีมิได้เผยมันออกมา เอ่ยด้วยความเคารพ “ทูลฝ่าา เมื่อครู่หวางเฟยกล่าวว่าสามารถรักษาพิษกู่ขององค์ชายห้าได้”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา หลงเซี่ยวเจ๋อก็มีสีหน้าขุ่นเคือง กำหมัดจนแน่น แทบจะทนไม่ไหวซัดสิงกู้เหวินเสียสักยก
และบุคคลทั้งสองบนพระที่นั่งหลักก็มีท่าทีแตกต่างกันออกไป
แม้ฮองเฮาจะยังมีสีหน้าเช่นเดิม แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามุมริมฝีปากสีแดงสดยกขึ้นเล็กน้อยในองศาที่ยากต่อการมองเห็น คำที่สิงกู้เหวินกล่าว เป็สิ่งที่นางชอบฟังจริงๆ
สายพระเนตรของฮ่องเต้เปลี่ยนกลับไปที่มู่จื่อหลิงด้วยสีพระพักตร์ยากจะเชื่อ ถามด้วยความสงสัย “หลิงเอ๋อร์ สิ่งที่ขุนนางสิงพูดมาเป็ความจริงหรือไม่?”
หลงเซี่ยวเจ๋อในยามนี้หวังเป็อย่างยิ่งว่ามู่จื่อหลิงจะปฏิเสธ แต่น่าเสียดายที่์มิให้เป็ไปตามที่ใจเขาปรารถนา!
“เพคะ” เสียงมู่จื่อหลิงดังก้องอย่างสงบเยือกเย็น ไม่มีคำพูดเพิ่มเติมเกินความจำเป็
ดวงตากระจ่างใสของนางไร้ซึ่งความหวาดหวั่น สบสายพระเนตรของฮ่องเต้เหวินอิ้นด้วยความกล้าหาญ
หนึ่งคำเรียบง่ายก้องกังวานทรงพลัง ทำให้รอบกายตกลงสู่ความเงียบสงัด
ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อยพลางจมลงสู่ห้วงแห่งความคิด มองดวงตาสีดำขลับดั่งหยดหมึกที่ไร้ซึ่งการหลบเลี่ยงของมู่จื่อหลิง กระจ่างใสเป็ประกาย ทำให้พระองค์อดนึกถึงคนหนึ่งผู้ที่อยู่ส่วนลึกสุดในดวงหทัยมิได้
เพียงแต่มู่จื่อหลิงพูดเช่นนี้มิได้พิสูจน์ว่าวันนี้นางพูดโป้ปดต่อหน้าคนทั้งหมดหรือ
แม้นี่จะเป็เพียงครั้งที่สามที่พระองค์ได้พบหน้าสะใภ้ผู้นี้ แต่พระองค์ก็รู้สึกราวกับมีตรงใดไม่ถูกต้อง ต่อให้พระองค์ไม่รู้จักมู่จื่อหลิง แต่พระองค์ก็รู้จักบุตรชายของตนดี เกรงว่าเื่ราวคงไม่ง่ายดายเพียงนี้
หลงเซี่ยวเจ๋อเห็นฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่ตรัสวาจาอยู่นาน หัวใจทั้งดวงก็แขวนเติ่งอยู่ที่ลำคอ เกรงว่าพอเสด็จพ่อฮ่องเต้ออกพระโอษฐ์ แล้วหัวใจของเขาจะกระเด็นออกมาโดยไม่ตั้งใจ
เวลานี้เองฮองเฮาก็ส่งเสียงออกมาได้อย่างเหมาะเจาะ แสร้งทำเป็สงสัย “หลิงเอ๋อร์ เสด็จแม่จำได้ว่าวันที่เกิดเื่เหมือนเ้าจะพูดว่าไม่รู้ว่าเซี่ยวหนานนั้นต้องกู่ชนิดใด เหตุใดยามนี้ก็...” นางหยุดพูด บนใบหน้าเรียบนิ่งราวกับมีความกังวลสายหนึ่ง
วาจานี้ทำให้ฮ่องเต้เหวินอิ้นตื่นขึ้นจากภวังค์ จับจ้องอย่างสงสัยไปทางมู่จื่อหลิงด้วยสีพระพักตร์น่าเกรงขาม รอนางตอบคำถาม เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ฮองเฮาถามคือสิ่งที่พระองค์อยากจะถาม
ั์ตามู่จื่อหลิงปรากฏรอยยิ้มเยาะหยัน พระนางฮองเฮาสิ่งนี้จำเป็ด้วยหรือ แสร้งทำเป็ความจำเสื่อม พูดเสียไพเราะเพราะพริ้ง
ช่างเสแสร้งจอมปลอมเสียเหลือเกิน!
“เสด็จแม่คิดจะถามหม่อมฉันว่าเหตุใดจึงมารู้ว่าองค์ชายห้าต้องกู่ใดเอายามนี้?” มู่จื่อหลิงสีหน้าราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ กล่าวเสริมคำพูดที่ฮองเฮามิได้พูดด้วยความหวังดี
เมื่อได้ยินคำพูดตอบกลับมาโดยไม่หวาดหวั่นเช่นนี้ ในใจฮองเฮาก็มิได้ยินดีแม้แต่น้อย กลับกันแล้วในใจก็เริ่มไม่สงบสุขขึ้นมา ดูเหมือนกับว่าเื่ราวจะค่อยๆ ออกไปจากการควบคุมของนางอย่างช้าๆ!
สิงกู้เหวินเงยศีรษะขึ้นมาราวกับเข้าใจโดยพลัน ดวงตาขีดของเขาก็ถ่างออก พูดสนับสนุน “ในเมื่อหวางเฟยรู้ว่าองค์ชายห้าต้องพิษกู่ใดแล้ว เหตุใดวันนั้นจึงพูดว่าไม่รู้ นี่ นี่มิใช่...”
มู่จื่อหลิงชายตามองสิงกู้เหวินด้วยรอยยิ้มก้ำๆ กึ่งๆ สงสัยงงงวย “มิใช่อันใด?”
เสิ่นซือหยางยิ้มเงียบๆ ในใจ เขาว่าแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา! ยามนี้เตรียมลงมือแล้ว!
สิงกู้เหวินเหลือบไปเห็นสายตาของมู่จื่อหลิงก็ตื่นตระหนก ก้มหน้าลงทันทีไม่พูดจา
“ใต้เท้าสิงท่านพูดว่ามิใช่อันใด?” มู่จื่อหลิงมิได้หวาดหวั่นเพราะเื้ัยังมีที่พึ่งพิง บีบคั้นทีละขั้น ราวกับ้าทำให้สิงกู้เหวินพูดออกมาให้ได้
สิงกู้เหวินก้มหน้าให้ต่ำลงกว่าเดิม กลืนน้ำลายอย่างกังวล ในที่สุดก็รวบรวมความกล้าพูดด้วยน้ำเสียงแ่เบา “หลอก...หลอกลวงเบื้องสูง”
แม้เสียงพูดจะแ่เบา ทว่าคนในที่แห่งนั้นล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
มู่จื่อหลิงเหมือนจะถูกทำให้ใ ถามทวนอีกรอบด้วยความตื่นตระหนก “ใต้เท้าสิง ท่านพูดว่าเปิ่นหวางเฟยหลอก...หลอกลวงเบื้องสูง?”
เห็นมู่จื่อหลิงเป็เช่นนี้ หลงเซี่ยวเจ๋อก็คิดไปว่าพี่สะใภ้สามของเขาเพิ่งสำนึกขึ้นมาได้ จึงใเสียแล้ว!
ทว่าบัดนี้เหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เขายังจะช่วยอันใดได้อยู่อีก?
หลงเซี่ยวเจ๋อมองสิงกู้เหวินอย่างโมโหดุดัน ตวาดเสียงกร้าว “สิงกู้เหวินสามหาว! อาจหาญพูดจาเลื่อนเปื้อน บิดเบือนความจริง ไม่เคารพฉีหวางเฟย” สิ้นเสียงพูด เพลิงโทสะในใจพลันข่มไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ยกขาเรียวยาวขึ้นมาโดยพลัน
กระบวนท่าเท้าไร้รูปแห่งฝอชานก็ถีบเข้าไปที่สิงกู้เหวินอย่างโเี้
มู่จื่อหลิงคิดจะห้ามปรามก็ไม่ทันแล้ว นางพลันปวดศีรษะจนมือก่ายหน้าผาก!
เื่ในครั้งนี้อยู่เหนือการควบคุมของนาง ทันทีที่เท้านี้ของหลงเซี่ยวเจ๋อถีบลงไป คนไม่มีตาคงดูออกแล้วว่าหลงเซี่ยวเจ๋อนั้นเป็ดั่งที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง [2] ลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด
ลูกเตะที่มิได้คาดมาก่อนนั้นทำให้สิงกู้เหวินป้องกันไม่ทัน หรืออยากปัดป้องก็มิกล้าปัดป้อง ร่างอวบอ้วนของเขากลิ้งอยู่บนพื้นเป็วงกลมใหญ่
สิงกู้เหวินตะกายขึ้นมาคุกเข่าอย่างหวาดกลัวและวิตกกังวล “ขอประทานอภัยฝ่าา! ขอประทานอภัยฝ่าา! ข้าน้อยเพียง...เพียงพูดตามความเป็จริง”
แม้เขาจะหวาดกลัว แต่จากท่าทางบันดาลโทสะขององค์ชายหกที่ยิ่งปกปิดยิ่งชัดเจนในยามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงของมู่จื่อหลิงคงเป็ที่แน่นอนแล้ว ขอเพียงสามารถชำระแค้นความอัปยศในคุกหลวงวันนั้นได้ ยอมรับความน้อยเนื้อต่ำใจในยามนี้เสียหน่อยจะเป็อันใดไป!
ฮ่องเต้เหวินอิ้นทอดพระเนตรเห็นหลงเซี่ยวเจ๋อหุนหันหยาบคายเช่นนี้ก็ขมวดพระขนงน้อยๆ ถลึงพระเนตรจ้องหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างคาดไม่ถึง ตรัสเสียงเย็น “เ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่ นับวันยิ่งหยาบคาย”
“เสด็จพ่อ เขา...” ในใจหลงเซี่ยวเจ๋อไม่ยินยอม คิดพูดสิ่งใดอีก ก็ถูกสายพระเนตรเ็าของฮ่องเต้จ้องกลับไปด้วยโทสะ
ในใจเขาไม่ยินยอม น้อยใจเป็ที่สุด เ้าอ้วนนี้กล้าพูดจาเลอะเทอะไร้สาระ เขาเห็นแล้วไม่ถูกลูกตา เตะไปเสียหน่อยจะเป็ไรไป
ฮ่องเต้มองมู่จื่อหลิง ั้แ่ต้นจนจบดูเหมือนสีหน้านางล้วนสงบนิ่ง ไม่มากไม่น้อยไป ปราศจากความกระวนกระวายอันเนื่องมาจากคำพูดของสิงกู้เหวินโดยสิ้นเชิง ดูท่าสิ่งที่พระองค์คาดเดาไว้คงไม่ผิด
มู่จื่อหลิงมองใบหน้าบึ้งตึงของหลงเซี่ยวเจ๋ออย่างขบขัน เ้าหมอนี่อั้นเอาไว้จนเหม็นเสียยิ่งกว่าส้วมเสียอีก นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดกับเขาแล้วจริงๆ
บัดนี้สิ่งที่ควรพูดสิงกู้เหวินก็พูดไปหมดแล้ว ย่อมต้องถึงคราวของนางบ้างแล้ว
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันพูดเพียงว่าสามารถรักษาองค์ชายห้าได้ และไม่รู้ว่าองค์ชายห้าต้องกู่ใดเข้า เหตุใดจึงพูดว่าหลอกลวงเบื้องสูงเล่าเพคะ?” มู่จื่อหลิงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกไป คนทั้งหมดต่างก็งงงวยไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวหนานถูกกู่ชนิดใด แล้วควรรักษาเช่นใด?
------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เปิดประตูเจอูเา หมายถึง ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
[2] ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง ยิ่งปกปิดยิ่งเผยพิรุธ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้