อาลักษณ์อู๋ก่อฏเป็เหมือนเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือวังหลวง ไม่ว่าแสงแดดจะลอดผ่านมากเพียงใด ก็ไม่สามารถขจัดความเศร้าโศกในใจของทุกคนได้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไทเฮาทรงทำลาย่เวลาที่หยุดชะงักนี้ มีรับสั่งให้นางสนมในวังหลวงทุกคนไปตำหนักอี้คุนทุกวันเพื่อถวายพระพร ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของวังหลวง ทำเช่นนี้เพื่อเป็การจัดระเบียบตำหนักหลังใหม่และทุกคนต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
่หลายวันที่ผ่านมาเหยียนอู๋อวี้ได้พักฟื้นร่างกายเป็อย่างดี โดยอาศัยยาของป้าโฉ่วถือว่ายืนหยัดผ่านมาได้ เมื่อได้รับราชโองการของไทเฮา เช้าวันรุ่งขึ้นนางจึงพาป้าโฉ่วกับซูอิ่งไปตำหนักอี้คุนพร้อมกับนาง
เนื่องจากซ่งอี้เฉินยังป่วยอยู่ จึงไม่มีผู้ใดในวังหลวงกล้าสวมใส่อาภรณ์สีสันสดใสจนเกินไป
เหยียนอู๋อวี้รู้ทิศทางลม ชุดที่นางใส่จะดีกว่าของนางกำนัลในวังหลวง และใช้เครื่องประดับบางส่วนเท่านั้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานะฉายเหริน ไม่ลดเกียรติตนเอง และไม่ล้ำเส้นเกินหน้าสนมคนอื่น
ใน่ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตำหนักหลังเกิดเื่ขึ้นหลายครั้ง จนถึงตอนนี้ เหลือเพียงเต๋อเฟย ซูเฟย เหลียงเจาอี๋ เซียวเป่าหลิน และหญิงงามอีกสองคนที่องค์หญิงใหญ่ส่งมา ผู้หนึ่งประทานนามว่าฮ่วนฟาง อีกผู้หนี่งประทานนามว่าฮ่วนหนิง ครั้นเมื่อรวมกับเหยียนอู๋อวี้แล้ว มีเพียงแค่เจ็ดคน วังหลวงดูอ้างว้างไปถนัดตา
ไทเฮานั่งตัวตรงมองพวกนางถวายพระพรแล้วมีรับสั่งว่า “การเลือกซิ่วหนี่ว์ครั้งก่อน เหลือเพียงเหยียนฉายเหรินคนเดียว ตำหนักหลังของฝ่าาช่างอ้างว้างยิ่งนัก ยามนี้ยังไม่มีวี่แววผู้ใดตั้งครรภ์องค์ชายเลย ท้องของพวกเ้าเกิดอันใดขึ้น ไม่ทำงานกันเลยหรือ อายเจียปวดศีรษะนัก”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ จากที่เพิ่งยืนมั่นคงได้ครู่เดียว เป็อันต้องคุกเข่าลงอีกครั้งและเอ่ยพร้อมกันว่า “ไทเฮาทรงถนอมพระวรกาย!”
ไทเฮาโบกมือพร้อมตรัสว่า “ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
นางกำนัลข้างกายสนมแต่ละคนประคองนายหญิงของตนเองลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปยืนข้างกายทั้งสองข้างอย่างเป็ระเบียบ
“พวกเ้าบอกมาเถิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรดี” ไทเฮาเหลือบมองพวกนางพลางตรัสถามอีกครั้ง
เหลียงเจาอี๋ทูลถามอย่างระมัดระวัง “ไม่ก็......คัดเลือกซิ่วหนี่ว์อีกครั้ง”
ไทเฮาเหลือบมองนาง มิได้รู้สึกประทับใจกับนางสนมร่างเล็กนางนี้แม้แต่น้อย กระนั้นนางยังคงอธิบายอย่างอดทน “อายเจียก็คิดเช่นนั้น ทว่าฮ่องเต้ทรงไม่เห็นด้วย ฮ่องเต้ตรัสว่าเพิ่งจะคัดเลือกซิ่วหนี่ว์ไปได้ไม่กี่เดือน หากคัดเลือกซิ่วหนี่ว์อีก เกรงว่าจะไปกระตุ้นให้ขุนนางในราชสำนักต่อต้านเอาง่ายๆ หนำซ้ำยังทำให้ปวงประชาไม่พึงพอใจ”
เต๋อเฟยเอ่ยปากพูดบ้าง “ในเมื่อคัดเลือกซิ่วหนี่ว์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ใช้วิธีอื่น วังหลวงสามารถจัดงานเลี้ยง จากนั้นเชิญสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลขุนนางเข้าร่วมงาน หากชอบพอผู้ใด ก็ทรงให้ฝ่าารับนางไว้เป็สนมเพคะ”
ไทเฮาเหลือบมองนางแล้วส่ายศีรษะ ฮวารั่วซีรู้ว่าไทเฮาคิดอย่างไรจึงพูดขึ้นทันที “คำพูดของพี่เต๋อเฟยผิดไปแล้ว งานเลี้ยงวันประสูติไทเฮาจัดไปแล้วครั้งหนึ่ง และองค์หญิงใหญ่เพิ่งจัดงานเลี้ยงร้อยบุปผาไม่กี่วันที่ผ่านมา หากจัดงานเลี้ยงอีกเกรงว่าจะไม่เหมาะสมเพคะ”
เต๋อเฟยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับคำพูดโต้แย้งของฮวารั่วซี เพียงแต่นางก็รู้ด้วยว่านี่คือสิ่งที่ไทเฮามีพระประสงค์ นางจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเ้าคิดว่าควรทำอย่างไร?”
ฮวารั่วซีมิได้โต้แย้งนางอีกและตอบว่า “วันประสูติฝ่าาเหลือเวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น ่เวลาที่เหลือเป็เวลาที่เหมาะสมเพคะ”
เต๋อเฟยตอบทันที “สองเดือน นานไปสักหน่อย เื่องค์ชายจะล่าช้าไม่ได้”
เมื่อไทเฮาเห็นว่าทั้งสองโต้เถียงกันพอสมควรแล้วจึงตรัสว่า “นางสนมของฮ่องเต้ในอดีตจะเลือกจากกลุ่มขุนนาง การเลือกพวกเขา หากเลือกอีกครั้งก็ไม่เป็อันใด อย่างไรเต๋อเฟยเองก็พูดถูก สองเดือนนั้นนานเกินไป สามารถเลือกเข้าวังหลวงมาโดยตรงก่อนสักสองสามคนไม่ใช่ว่าไม่ได้”
“ไทเฮาทรงพระปรีชา” เต๋อเฟยและฮวารั่วซีตอบรับทันที
ไทเฮามองไปที่ทุกคนอีกครั้งพลางตรัสถามว่า “พวกเ้าลองบอกมา ตระกูลเ้ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่? เพียบพร้อมด้วยจารีตสตรีข้อหนึ่ง มีความรู้และมีเหตุผลก็อีกข้อหนึ่ง ตั้งครรภ์ง่ายก็อีกข้อหนึ่ง”
ทุกคนมองหน้ากันโดยไม่เอ่ยอันใดสักคำ เหยียนอู๋อวี้เองก็ปิดปากสนิทเช่นกัน ความตั้งใจของไทเฮานั้นชัดเจนแต่แรกเริ่มแล้ว นางมีตัวเลือกอยู่ในใจแล้ว ไม่ว่าผู้ใดเอ่ยไปก็ไร้ประโยชน์ พูดมากเกินไปจะทำให้ไทเฮาขุ่นเคืองเสียเปล่า เกรงว่าจะไม่เป็ผลดีในอนาคต
เป็จริงดั่งที่คาดไว้ ทุกคนพลันได้ยินเต๋อเฟยแย้มยิ้มทูลว่า “เมื่อพูดถึงเื่นี้ หม่อมฉันเห็นแม่นางคนหนึ่งในงานเลี้ยงร้อยบุปผาเมื่อไม่กี่วันก่อน นางงดงาม อ่อนโยน สดใสน่ารักมีชีวิตชีวา นางเหมาะสมยิ่งนัก”
ไทเฮาโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยพลางตรัสถามด้วยความสนใจ “ตระกูลใดหรือ พูดมาสิ?”
เต๋อเฟยปิดปากพลางแย้มยิ้มทูลว่า “หากเอ่ยถึงคนผู้นี้ ไทเฮาทรงรู้จักเพคะ”
ไทเฮาเริ่มสนใจมากขึ้น “รีบบอกมา อมพะนำเพื่ออันใดอีก หากพูดไม่ดี อายเจียจะลงโทษเ้า!”
เต๋อเฟยก้าวไปข้างหน้าพลางแย้มยิ้มทูลว่า “นางเป็บุตรสาวของอดีตรองเ้ากรมการคลังฝ่ายซ้าย คุณหนูเฮ่อ เป็หลานสาวของฮูหยินเหยียน ชื่อรองนางคือเสี่ยวซือ”
เมื่อเหยียนอู๋อวี้ได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางเต๋อเฟย รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
เฮ่อเสี่ยวซือ! ลิงตัวเมียที่รักใคร่อยู่กับเ้าลิงน้อยมิใช่หรือ?
พวกเขาบีบบังคับนางจริงๆ!
ไม่น่าแปลกใจที่คืนนั้นเ้าลิงน้อยถึงกับดื่มสุราจนเมามาย!
ไม่ถูกต้อง เขาดูไม่พอใจเมื่อเฮ่อเสี่ยวซือให้สิ่งของบางอย่างกับเขาในวันนั้น เห็นได้ชัดว่าเขามิได้สนใจเฮ่อเสี่ยวซือนัก คล้ายแม่นางผู้นั้นคิดเองอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า หรือว่าแม่นางผู้นั้นรู้สึกว่าไม่มีความหวังในตัวเ้าลิงน้อยแล้วจึงยอมแพ้?
แม้ว่าเหยียนอู๋อวี้จะรู้สึกแปลกใจ ทว่านางยังคงก้มศีรษะและฟังอยู่เงียบๆ
ไทเฮาทรงแย้มยิ้มตรัสว่า “อายเจียเคยเห็น ถือว่าเป็สตรีที่เพียบพร้อมจริงๆ ดีดพิณเก่ง ทั้งยังมีนิสัยอ่อนโยนและมีจรรยามารยาท”
เต๋อเฟยแย้มยิ้มทูลว่า “หากไทเฮาทรงคิดว่าดี เช่นนั้นเื่นี้ก็สำเร็จ ไทเฮาทรงอย่าลืมตอบแทนหม่อมฉันด้วยเมล็ดแตงโมทองหนึ่งกำมือนะเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าแย้มยิ้มตรัสว่า “หลายปีมานี้ เ้าไม่เคยเปลี่ยนอุปนิสัยซุกซนเอาแต่ใจเช่นนี้เลย”
เต๋อเฟยไม่รังเกียจที่จะแสดงท่าทีเอาแต่ใจต่อหน้าไทเฮา นางทูลด้วยรอยยิ้มว่า “รายจ่ายในวังหลวงสูงนัก หากได้รับรางวัลจากไทเฮาถือว่ามีค่ายิ่ง หม่อมฉันขอบพระทัยไทเฮาล่วงหน้าเพคะ!”
เช่นนี้ ถือว่าตัดสินใจได้แล้ว
หลังจากนั้นไทเฮาทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์หันไปมองสนมทุกคนแล้วตรัสว่า “ถึงแม้จะมีคนมาใหม่แล้ว พวกเ้าก็ยังต้องพยายามด้วย อย่ามัวคิดแต่จะหาเื่ทะเลาะวิวาทกันทุกวัน ใช้เวลากับองค์ฮ่องเต้ให้มากขึ้น”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ไทเฮาเหลือบมองอีกครั้ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่เหยียนอู๋อวี้ นางตรัสเสียงเ็า “เหยียนฉายเหริน”
หัวใจเหยียนอู๋อวี้เต้นระรัว นางแอบรู้สึกว่าแย่แล้ว นางก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมพร้อมตอบรับเสียงต่ำ “เพคะ”
“าแบนใบหน้าของเ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?” สายตาของไทเฮาหยุดมองที่ใบหน้านาง ยังมีรอยแผลเป็สองรอยบนแก้มนวลของนาง ทว่ารอยแผลจางลงไปมากแล้ว เหยียนอู๋อวี้มิได้ปกปิด นางเปิดเผยให้เห็น ไทเฮาดูไม่สบายพระทัยเป็อย่างยิ่ง
“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ ขอบพระทัยไทเฮา” เมื่อได้ยินคำถามนี้ เหยียนอู๋อวี้ก็รู้ทันทีว่านางจะถามเื่อันใด นางเตรียมคำตอบอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เครียด
“อายเจียมอบครีมหยกบำรุงผิวให้ไป เ้าได้ใช้หรือไม่?” ไทเฮาตรัสถามเสียงเ็าด้วยสายตาเคร่งขรึม
เหยียนอู๋อวี้ตอบอย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันไม่กล้าใช้เพคะ”
สีหน้าของไทเฮาแปรเปลี่ยนไปทันที แม่นมซูเอ่ยปากแทนไทเฮา “เ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร? หรือเ้าคิดว่าไทเฮาจะทำร้ายเ้าหรือ!”