หยางไท่ิได้บอกกล่าวกับมารดา เกี่ยวกับเื่ของซูอันที่เขายอมรับว่าพึงใจนาง แม้จะยังไม่แน่ชัดเื่คำตอบของมารดา แต่หยางไท่ิก็พอจะคาดเดาได้ว่า มารดาของตนนั้นชอบคนที่เก่งและฉลาด มิใช่คนที่เอาแต่เงียบไม่สู้คนยอมเป็ฝ่ายถูกรังแก เพราะหยางไท่ิก็ไม่ชอบสตรีเช่นนี้เหมือนกัน
ด้านจวนอิงกั๋วกงของฟงเฉิงฮ่าวนั้นกลับแตกต่างเป็อย่างมาก เขาโชคดีกว่าสหายเพราะไม่มีรถม้าตระกูลใด พาบุตรหลานมาพบมารดาของตน ทำให้ฟงเฉิงฮ่าวสามารถบอกเล่าเื่ที่เกิดขึ้น รวมถึง่เวลาที่เขาได้พบเยี่ยนหลิงให้มารดาฟัง
“ท่านแม่คราแรกที่ข้าได้เห็นดวงตาที่สุกสกาว และรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของหลิงเอ๋อร์ ข้ารู้สึกเหมือนิญญาจะหลุดออกจากร่างเลยขอรับ หลังจากนั้นก็คิดว่านางคือสตรีที่อยากปกป้อง นางต้องเป็ฮูหยินเอกเพียงหนึ่งเดียว ที่จะได้ยืนอยู่ข้างกายข้าฟงเฉิงฮ่าวผู้นี้”
ฟงฮูหยินนั่งมองบุตรชายคนรองของตน พูดถึงสตรีที่เขารู้สึกพึงใจด้วยตนเองเป็ครั้งแรก ก็แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าใดนัก แต่สายตาที่บ่งบอกถึงความสุขของบุตรชาย มิใช่เื่ล้อเล่นสำหรับนางแน่นอน “ไอหยา ในที่สุดฮ่าวเอ๋อร์ของแม่ก็อยากมีคู่กับเขาเสียที แม่ชักอยากจะเห็นหลิงเอ๋อร์ของเ้าแล้วสิ ว่าจะงดงามอย่างที่เ้าพูดหรือไม่”
เมื่อมารดาไม่มีท่าทีขัดขวาง แต่กลับอยากเจอเยี่ยนหลิง ฟงเฉิงฮ่าวย่อมกล่าวชื่นชมนางเพิ่มเติมกับมารดา “หลิงเอ๋อร์ของข้าย่อมงดงามอยู่แล้วขอรับ แม้จะไม่งามล่มเมืองแต่สำหรับข้านางงดงามที่สุด ที่สำคัญนางยังเป็บุตรสาวเ้าของร้านผ้าไหม ซึ่งข้าได้นำกลับมาฝากท่านแม่และคนอื่น ๆ แต่มีสิ่งที่สำคัญและงดงามมาก อย่างที่ท่านแม่ไม่เคยพบเห็นได้ในเมืองหลวง นั่นก็คือสิ่งนี้ขอรับ..”
ปึก แกร๊ก หลังจากฟงเฉิงฮ่าวเปิดหีบไม้ออก แสงระยิบระยับของทองคำก็สาดส่องเข้าตาฟงฮูหยินอย่างจัง ภายหลังเพ่งมองให้ชัดเจนก็กลายเป็ตกตะลึง
“ละ ละ ลูกแม่เ้าสิ่งนี้ทำจากทองคำเชียวรึ! แม่ไม่ได้ตาฝาดไปกระมังใช่หรือไม่”
คำถามของฟงฮูหยินได้คำตอบกลับมา แต่เป็สาวใช้คนสนิทข้างกายที่ช่วยตอบ “ฮูหยินเ้าคะคุณชายรองบอกว่าเป็สิ่งสำคัญ นั่นย่อมหมายความว่ามันคือถุงหอมที่ทำมาจากทองคำจริง ๆ เ้าค่ะ ยังมีผ้าไหมเนื้อดีอีกหลายพับถ้านำไปตัดชุด และเพิ่มลายปักลงไปอีกเล็กน้อย คงจะงดงามดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากนะเ้าคะฮูหยิน”
“ฮ่าวเอ๋อร์ของฝากจากเ้าช่างเหมาะเจาะอันใดเช่นนี้นะ เหลืออีกไม่กี่วันก็จะเป็วันเกิดของท่านย่าเ้าแล้ว แม่จะเก็บถุงหอมผ้าไหมทองคำนี้ มอบให้ท่านย่าของเ้าก็แล้วกัน”
“แล้วแต่ท่านแม่จะตัดสินใจเถิดขอรับ ถึงอย่างไรก็มีอยู่สามใบมอบให้ท่านย่าหนึ่งใบ ที่เหลืออีกสองใบก็เป็ของท่านแม่และหลานเอ๋อร์ ส่วนผ้าไหมในหีบไม้นี้แม่นมฟางก็เลือกไปหนึ่งพับเถิด พวกท่านไม่ต้องกลัวจะไม่มีผ้าไหมมาให้ตัดเสื้อผ้า เพราะข้าจะกลับไปเมืองผู่เถียนกับอาิ เพื่อเกี้ยวพาว่าที่ลูกสะใภ้มาให้พวกท่านเอง” ฟงเฉิงฮ่าวคิดเอาไว้เช่นนี้จริง ๆ
แม่นมฟางยิ้มอย่างดีใจที่คุณชายของนาง เป็คนมีน้ำใจกับนางมาั้แ่ยังเด็ก “ขอบคุณคุณชายรองเ้าค่ะ ไว้บ่าวจะตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ให้คุณชายรองสักหนึ่งชุดนะเ้าคะ”
ฟงเฉิงเฮ่านึกขึ้นมาได้ว่าได้นัดหมายกับสหายไว้ เื่ที่ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในคืนนี้ “ขอบใจแม่นมฟาง เช่นนั้นข้ายกทั้งหมดนี้ให้ท่านแม่ดูแลนะขอรับ ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว เพราะยามห้ายข้ากับอาิยังต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าาขอรับ”
“เ้าไปพักให้หายเหนื่อยเถิด ไว้แม่จะสั่งห้องครัวเตรียมสำรับไว้ให้หลังเ้าตื่นนะ” ฟงฮูหยินมองดวงตาที่เริ่มจะปิดตลอดเวลาของบุตรชาย จึงไม่อยากรั้งให้อยู่พูดคุยกับนางอีก
“ขอบคุณขอรับท่านแม่”
“แม่นมฟางให้พ่อบ้านไปตามช่างตัดเสื้อมาที่จวนที ข้าอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าและสามีได้ใส่ชุดใหม่ จากผ้าไหมที่ฮ่าวเอ๋อร์นำมาฝาก”
“เ้าค่ะฮูหยิน บ่าวคิดว่าหากนายท่านและฮูหยิน ได้สวมชุดใหม่ไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกัน คงมีสายตาอิจฉาอยากได้ผ้าไหมเช่นนี้บ้างเป็แน่เ้าค่ะ” แม่นมฟางเห็นผ้าไหมของร้านผ้ามามากมาย แต่นั่นยังไม่สามารถเทียบกับผ้าไหมในหีบไม้ ที่คุณชายรองของนางนำมาฝากมารดา
ฟงฮูหยินมิได้ตอบแม่นมฟางนางทำเพียงพยักหน้าเห็นด้วย ซึ่งพอนึกให้ดีหลังจากงานครบรอบวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า นางและสามีอย่างแม่ทัพฟงเทียนเซิง ต้องไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนหนานผิงชินอ๋อง เป็งานเลี้ยงครบเดือนของชินอ๋องซื่อจื่อ ฟงฮูหยินจึงเพิ่มชุดสำหรับเด็กแรกเกิดอีกหนึ่งชุด เพื่อมอบเป็ของขวัญในนามของจวนอิงกั๋วกง
ด้านสองสหายอย่างหยางไท่ิและฟงเฉิงฮ่าว กว่าจะข่มตาหลับได้ก็นานอยู่พอสมควร ทั้งสองคนเอาแต่คิดถึงสตรีตระกูลจิน รวมถึงเื่งานที่จำต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อนำหลักฐานไปถวายให้ถึงพระหัตถ์โดยตรง
เมื่อถึงยามห้ายสองสหายในชุดสีดำแดง มาพบกันตามที่นัดหมายบริเวณข้างกำแพงเมือง ทางด้านทิศใต้ซึ่งอยู่ใกล้ตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ จากนั้นจึงได้ใช้วิชาตัวเบาปีนข้ามกำแพงอันสูงชัน เพื่อเข้าเฝ้าในนามของหน่วยลับส่วนพระองค์
ณ ตำหนักหนานชิ่ง
พรึ่บ! พรึ่บ!
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าา/ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าา”
ฮ่องเต้เป่ยชางหลงหนานมิได้ตกพระทัย กับการปรากฏตัวของหน่วยลับทั้งสอง เนื่องจากหน่วยลับเป็หน่วยงานที่ขึ้นตรงกับพระองค์ และมีหน้าที่รับคำสั่งตามพระวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมือง
“ตามสบายเถิด พวกเ้าได้หลักฐานกลับมาหรือไม่”
หยางไท่ิในฐานะหัวหน้าหน่วยลับ หยิบหลักฐานออกมาจากอกเสื้อของตน เพื่อถวายให้กับฮ่องเต้ได้ทรงทอดพระเนตร “ทูลฝ่าาหลักฐานที่กระหม่อมนำมาถวาย เป็เพียงส่วนหนึ่งของหลักฐานทั้งหมดที่กระหม่อมและรองหัวหน้าฟงนำกลับมา พร้อมตัวบุตรชายคนโตของใต้เท้าเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”
หลักฐานในมือของหยางไท่ิ มีซุ่ยกงกงเดินมารับนำไปถวายต่อฮ่องเต้ เมื่อสายพระเนตรกวาดไปตามตัวอักษร ที่ถูกบันทึกไว้ในสมุดบัญชีในแต่ละเดือน เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเบา ๆ แต่สะท้อนก้องในความเงียบของห้อง อากาศรอบตัวเหมือนเย็นลงทุกครั้ง ที่ฮ่องเต้ทรงหยุดอ่านและเงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย
ปัง!! “เหยียนอิ่นฝู...!” พระสุรเสียงที่ฮ่องเต้ทรงตรัสบ่งบอกว่า ยามนี้พระองค์ทรงกริ้วเป็อย่างมาก
ซุ่ยกงกงเป็ห่วงพระวรกายของฮ่องเต้ จึงได้เอ่ยเตือนอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ฝ่าาโปรดระงับโทสะก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ฮ่องเต้จะพยายามลดโทสะลงแต่มิอาจระงับได้ทั้งหมด “ซุ่ยกงกงเ้าจะให้เจิ้นไม่โมโหกับเื่ที่คนเหล่านี้ กระทำการลับหลังเจิ้นได้อย่างไร เ้าลองดูว่าในแต่ละเดือนมีรายได้จากการขายผ้าไหม ยังได้มากกว่าการเก็บภาษีทั้งปีของราชสำนัก ทั้ง ๆ ที่เงินทองทั้งหมดได้มาจากการทำงานของราษฎร ที่เจิ้นพยายามดูแลมิให้ถูกขุนนางเอาเปรียบ”
ฟงเฉิงฮ่าวอธิบายเพิ่มเติม เกี่ยวกับการจับตัวผู้อยู่เื้ั “ฝ่าาเื่ที่บุตรชายคนโตของใต้เท้าเหยียนถูกจับ และนำตัวกลับมาเมืองหลวงพร้อมผู้สมรู้ร่วมคิด กระหม่อมเชื่อว่าข่าวนี้ยังไปไม่ถึงหูของใต้เท้าเหยียนพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม นักโทษผ่านเข้าประตูเมืองเข้ามา ผู้คนในเมืองหลวงต่างรับรู้กันไปทั่ว เ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเหยียนอิ่นฝูจะไม่รู้?” ฮ่องเต้ยังทรงไม่เข้าใจในจุดนี้เท่าใดนัก
“ทูลฝ่าาั้แ่พวกกระหม่อมจับตัวเหยียนโจวเฟิ่งได้ มีการวางแผนปิดบังใบหน้าโดยการใช้ถุงผ้าสีดำสนิท สวมศีรษะของนักโทษแต่ละคนไว้ และนำนักโทษคดีอื่น ๆ ของเมืองผู่เถียน ปะปนเข้ามาเพิ่มจึงช่วยปิดบังใบหน้าที่แท้จริง แม้แต่ยามทานอาหารจะเปิดถุงผ้าถึงแค่ริมฝีปาก พอให้ทานอาหารจนอิ่มเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ฟงเฉิงฮ่าวขยายความคำพูดของตน เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัยมากขึ้น
“อืม ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง”
“ฝ่าาทรงวางพระทัยเื่การส่งข่าวระหว่างพ่อลูก กระหม่อมมีคำสั่งให้สายลับที่เมืองถู่หลาน ลอกเลียนลายมือของเหยียนโจวเฟิ่ง ในการเขียนจดหมายรายงานถึงใต้เท้าเหยียนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หยางไท่ิอยากให้ฮ่องเต้จัดการเสนาบดีเหยียน ท่ามกลางสายตาของเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางในราชสำนักและราษฎรในเมืองหลวง
ฮ่องเต้ทรงพยักพระพัตร์ช้า ๆ ในเมื่อพยานหลักฐานมีพร้อม ทรงคิดว่าจะลงโทษเสนาบดีเหยียนเช่นไร ถึงจะสาสมกับความผิดที่เตรียมแผนการมาหลายปี
“พวกเ้าสองคนคิดว่าควรลงมือ กำจัดขุนนางชั่วให้พ้นราชสำนักเมื่อใดดีเล่า ยิ่งเจิ้นเห็นความผิดผ่านหลักฐานพวกนี้ ก็ยิ่งอยากลงมือเสียวันนี้พรุ่งนี้”
หยางไท่ิและฟงเฉิงฮ่าวมองหน้ากัน เพราะคิดว่าเวลาที่ควรให้ฮ่องเต้ลงมือ อาจต้องรออีกสักหน่อย เมื่อสายตาที่มองกันอย่างรู้ใจจึงเป็หยางไท่ิ ที่ตอบคำถามนี้ของฮ่องเต้
“ทูลฝ่าาพวกกระหม่อมเห็นว่า ควรลงมือในอีกสามเดือนข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใดถึงต้องรอถึงสามเดือน?”
“ฝ่าาอย่าทรงลืมสิพ่ะย่ะค่ะ ว่าอีกสามเดือนคือการคัดเลือกตระกูลพ่อค้า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบหาผ้าไหมชั้นเลิศให้กับราชสำนัก”
ฟงเฉิงฮ่าวที่เห็นด้วยกับหยางไท่ิ จึงกราบทูลฮ่องเต้อีกคนถึงเหตุผลที่ต้องลงมือในเวลานั้น “ฝ่าาที่พวกกระหม่อมเห็นว่า ทุกครั้งที่มีการคัดเลือกตระกูลพ่อค้าเหล่านี้ มักมีบางตระกูลติดสินบนเ้าหน้าที่ หรือขุนนางระดับสูงเพื่อที่ตนจะได้เป็ผู้ถูกเลือก
ถ้าการทุจริตนี้ถูกจับได้พร้อมหลักฐาน พระองค์สามารถเพิ่มข้อหาในการกระทำผิดของใต้เท้าเหยียน และมีราชโองการตัดสินโทษขั้นสูงสุด นี่จะได้เป็ตัวอย่างให้คนที่ยังอยู่รู้สึกยำเกรง และไม่กล้าทำผิดอีกก็เป็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเ้าพูดมาก็มีเหตุผลไม่น้อย หากเจิ้นลงมือยามนี้เหยียนอิ่นฝูอาจกล่าวหาว่าถูกกลั่นแกลง ซึ่งในราชสำนักมีไม่กี่คนที่กล้าลงมือกับเขากระมัง จริงหรือไม่ิเอ๋อร์” ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดี และท่าทางนี้ช่างตรงกันข้ามกับพระอาการก่อนหน้าอย่างมาก
หยางไท่ิยกยิ้มเล็กน้อย เมื่อถูกเสด็จลุงกล่าวชื่นชมกับงานที่เขารับผิดชอบ “พ่ะย่ะค่ะ ปล่อยให้ใต้เท้าเหยียนหลงระเริงกับแผนการที่คิดว่ากำลังจะสำเร็จต่อไปอีกสักหน่อย เมื่อถึงเวลาลงโทษทุกคนในตระกูลก็ไม่สามารถรับมือฝ่าาได้ทันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมขอแสดงความยินกับฝ่าาล่วงหน้า ที่ครั้งนี้พระนัดดาและสหายช่วยพระองค์ ทำความสะอาดราชสำนักครั้งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ” ซุ่ยกงกงรู้สึกโล่งใจมากที่ปัญหานี้จะได้รับการสะสางเสียที
“อืม ขอบใจซุ่ยกงกง เช่นนั้นเจิ้นจะทำตามแผนของพวกเ้า ระยะเวลาสามเดือนนับจากนี้เป็ต้นไป จงส่งสายลับคอยจับตามองกลุ่มขุนนางของเหยียนอิ่นฝูไว้ หากมีความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย จงรีบส่งรายงานกลับมาหาเจิ้นโดยเร็วที่สุดเข้าใจหรือไม่”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ/ รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ก็ดึกมากแล้วพวกเ้าก็กลับไปพักผ่อนเถิด ส่วนเงินรางวัลไว้เจิ้นจะให้ชิงฉางนำไปมอบให้เอง” ฮ่องเต้ยังไม่ลืมเื่เงินรางวัลแม้จะพูดคุยเื่งานสำคุยกันอยู่ก็ตาม
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าา พวกกระหม่อมทูลลา”
ยามเข้ามาในตำหนักด้วยวิธีใด ตอนกลับออกไปย่อมทำวิธีเดิมเช่นกัน หยางไท่ิและฟงเฉิงฮ่าวได้นัดหมายกันอีกครั้ง เนื่องจากยังต้องหารือวางแผนเพื่อส่งคนเข้าไปสืบข่าว พวกเขาจึงตกลงนัดกันไว้ว่าจะไปยังหอสุราฉางชุนเก๋อ ซึ่งที่นั่นมีห้องลับใต้ดินเป็หอส่งข่าวของหน่วยลับ ไม่ว่าจะเป็ข่าวจากหัวเมืองใด หน่วยลับทุกคนล้วนส่งข้อมูลมาที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้น
