“ก็เ้าบอกเองไม่ใช่รึ ว่าจะเอาไผ่พวกนี้มาทำรั้วน่ะ ข้าก็กำลังจะสับให้มันสั้นลงหน่อย” จางเจิ้นอันตอบ
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็แย้มยิ้มอีกครั้ง กล่าวว่า “ท่านทำเช่นนี้เหนื่อยเปล่าๆ ไปขอยืมเลื่อยจากบ้านข้างๆ มาเลื่อยให้เป็ท่อนๆ ไม่ดีกว่าหรือ? จะได้เป็ระเบียบเรียบร้อย ทั้งยังทุ่นแรงด้วย"
“ก็ได้” จางเจิ้นอันวางท่อนไผ่ในมือลง อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวต่อ “ท่านไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนบ้านเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าไปยืมให้เองดีกว่าเ้าค่ะ”
“อืม” จางเจิ้นอันขานรับในลำคอ พลันรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ประโยชน์นัก แม้แต่เื่แค่นี้ก็ยังสู้ภรรยาตัวน้อยของตนไม่ได้
รอจนอันซิ่วเอ๋อร์หันหลังเดินเข้าครัวไปแล้ว จางเจิ้นอันก็เดินไปยังอ่างปลา ช้อนปลาตัวใหญ่ขึ้นมาตัวหนึ่ง เลียนแบบท่าทางของตาเฒ่าหลี่คนขายเนื้อ ลองใช้เชือกฟางร้อยผ่านเหงือกปลาแล้วมัดปม จากนั้นจึงหิ้วปลาเดินออกไปเงียบๆ
อันซิ่วเอ๋อร์กำลังง่วนอยู่กับการก่อไฟในครัว จึงไม่ทันสังเกตเห็นการกระทำของเขา เห็นเขาเดินออกไป ก็คิดว่าคงแค่เดินไปแถวลานหน้าบ้าน เลยไม่ได้เอ่ยถามอะไร
แต่จางเจิ้นอันกลับเดินออกจากประตูบ้าน ตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ประตูรั้วไม้ของบ้านหลังนั้นเปิดแง้มอยู่ เขายืนลังเลอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจยื่นมือออกไป กำลังจะเคาะประตู ก็พอดีมีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งพรวดออกมาจากในบ้าน พอเห็นหน้าเขา เด็กคนนั้นก็ใจนหน้าซีดเผือด รีบวิ่งกลับเข้าไปทันที
ครู่ต่อมา สตรีใบหน้ากลมมนอายุราวสามสิบเศษ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีครามเดินออกมา พอเห็นว่าเป็จางเจิ้นอันจริงๆ สีหน้านางก็ฉงนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างเป็มิตร เอ่ยถาม “อ้าว คุณชายจางนี่เอง มีธุระอันใดหรือ”
จางเจิ้นอันไม่ตอบ แต่ก้าวเข้าไปใกล้สองก้าว สตรีผู้นั้นเห็นเขาย่างสามขุมเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งเดาจุดประสงค์ไม่ถูก กำลังจะเอ่ยปากถาม จางเจิ้นอันก็ยื่นปลาในมือส่งให้ พร้อมกล่าวห้วนๆ ว่า “ข้าขอยืมเลื่อยจากบ้านพวกเ้าหน่อยจะได้หรือไม่”
การยื่นปลาส่งมาให้กะทันหันเช่นนี้ ทำเอาสตรีผู้นั้นใไม่น้อย พอตั้งสติได้และเข้าใจว่าเขามาขอยืมเลื่อย นางก็รีบกล่าว “โธ่ ไม่เป็ไร แค่เลื่อยอันเดียว ไม่ต้องถึงกับเอาปลามาให้หรอก คุณชายเข้ามานั่งรอด้านในก่อนนะ เดี๋ยวข้าไปหาเลื่อยมาให้”
พูดพลางนางก็เชื้อเชิญจางเจิ้นอันเข้าไปในห้องโถง จางเจิ้นอันเดินตามไปนั่งลงบนเก้าอี้ วางปลาไว้บนโต๊ะข้างๆ สตรีผู้นั้นรินน้ำชามาให้ถ้วยหนึ่ง เขาก็ไม่แตะต้อง เพียงนั่งตัวตรงแน่ว รอให้นางหาเลื่อยมาให้เท่านั้น
ลูกชายทั้งสองของนางแอบยืนซุ่มอยู่ที่ประตูหลังห้อง ชะโงกหน้ามองเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็น จางเจิ้นอันเหลือบสายตาคมกริบมองไปทางนั้นแวบหนึ่ง เด็กทั้งสองก็ใสะดุ้ง รีบวิ่งหนีหายไปอีก
ครู่ต่อมา สตรีผู้นั้นก็หาเลื่อยเจอ นางเดินกลับมายื่นให้จางเจิ้นอัน “นี่เลื่อยเ้าค่ะ”
“ขอบใจ อีกสองวันข้าจะเอามาคืน” จางเจิ้นอันรับเลื่อยมาแล้วก็ทำท่าจะลุกจากไปทันที
สตรีผู้นั้นเห็นว่าปลายังวางอยู่บนโต๊ะ จึงรีบหยิบปลาตามไปหมายจะคืนให้เขา “เดี๋ยวสิ คุณชาย ปลาของเ้าล่ะ...”
ทว่าจางเจิ้นอันหาได้สนใจไม่ เขาก้าวยาวๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หากเป็คนอื่น นางคงกล้าที่จะวิ่งตามไปอีกสองสามก้าว พยายามยัดปลาคืนใส่มือ ยื้อยุดกันไปมาตามมารยาท แต่เพราะเป็จางเจิ้นอัน สตรีผู้นี้ััได้ถึงไอสังหารอันน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากร่างสูงใหญ่นั้น จึงทำได้เพียงถือปลาเดินตามไปแค่หน้าประตู สุดท้ายก็ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังกว้างของเขาเดินลับหายไปจากลานบ้าน
“ท่านแม่ จางตาบอดนั่นมาทำไมหรือ?” เด็กชายคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากด้านหลัง ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
สตรีผู้นั้นหันไปถลึงตาใส่ลูกชาย “เสี่ยวหลิน! แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเรียกคนอื่นแบบนี้ มันไม่มีมารยาท”
“ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านแม่” เด็กชายพอถูกมารดาตำหนิ ก็ก้มหน้างุดอย่างว่าง่าย
สตรีผู้นั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ แค่ยืมเลื่อยอันเดียว จะรับปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ไว้ได้อย่างไรกัน ไว้รอให้สามีกลับมาก่อน คงต้องให้เขาเอาปลาไปคืนแล้ว
“ท่านแม่ ข้าอยากกินปลา” แต่เหมือนลูกชายคนเล็กจะยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงจ้องปลาในมือมารดาตาแป๋ว
“ปลานี่เราต้องเอาไปคืนเขานะลูก กินไม่ได้หรอก” สตรีผู้นั้นลูบหัวลูกชายปลอบโยน ถอนหายใจอีกครั้ง
“ไม่ได้! ข้าจะกินให้ได้!” เด็กน้อยกลับงอแงขึ้นมา “เขาก็เอาปลามาแลกกับเลื่อยบ้านเราไม่ใช่รึ? ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะขอรับ?”
“ถ้าเ้ากินปลาของเขานะ ตกกลางคืนเขาจะกลายร่างเป็ปีศาจ มาดูดิญญาเ้าไป!” ลูกชายคนโตขู่เสียงเย็น
“อย่าพูดจาเหลวไหลน่า!” สตรีผู้นั้นเห็นลูกชายทั้งสองยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะ ก็อ่อนใจจะห้าม “พวกเ้าไปฟังเื่ไร้สาระพวกนี้มาจากไหนกัน?”
“ก็ใครๆ เขาก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละขอรับ” ลูกชายคนโตแย้ง “เขาว่ากันว่าตาของเขาน่ะดูดิญญาคนได้ แค่ถูกเขามองแวบเดียว ก็ถึงตายได้เลยนะขอรับ!”
“เหลวไหลสิ้นดี! เมื่อกี้แม่ก็สบตาเขาอยู่ ทำไมแม่ยังไม่เห็นตายเลย?” สตรีผู้นั้นส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เื่พวกนั้นมันโกหกทั้งเพ เขาคงแค่าเ็ที่ตากระมัง เลยต้องใช้ผ้าดำปิดไว้เท่านั้นแหละ”
ขณะที่สามแม่ลูกกำลังพูดคุยเื่จางเจิ้นอันกันอยู่นั้น สามีของนางก็กลับมาถึงบ้านพอดี ได้ยินพวกเขาคุยกันเสียงดัง ก็เอ่ยถาม “คุยอะไรกันอยู่รึ เสียงดังเชียว?”
“คุยเื่จางตาบอดน่ะสิขอรับ ท่านพ่อ!” ลูกชายคนโตรีบตอบ
“เื่มันเป็อย่างไรกัน?” ผู้เป็สามี หรือก็คือ หลี่เถี่ยเกิน ถามขึ้น
“คือว่าเมื่อครู่พ่อหนุ่มจางนั่นเอาปลามาให้ตัวหนึ่ง บอกว่ามาขอยืมเลื่อย ข้าก็ให้เขายืมไปแล้ว แต่พอจะคืนปลาให้ เขากลับวางทิ้งไว้แล้วก็เดินไปเลย” สตรีผู้นั้นเล่าเื่ให้สามีฟังอย่างละเอียด “ข้าก็กะว่าจะรอให้ท่านกลับมา เอาปลาไปคืนเขา แต่เ้าสองคนนี้สิ ร้องจะกินท่าเดียวเลย”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรหรอกน่า เขาเป็คนหาปลา คงไม่มานั่งเสียดายปลาแค่ตัวสองตัวหรอก” หลี่เถี่ยเกินเป็ชาวนาซื่อๆ ค่อนข้างตรงไปตรงมา ฟังภรรยาเล่าจบก็กล่าวต่อ “แต่เขาอุตส่าห์มายืมเลื่อย แสดงว่าต้องมีงานต้องทำแน่ๆ เดี๋ยวข้าจะลองแวะไปดูหน่อยว่าพอจะมีอะไรให้ช่วยได้หรือไม่ ถ้ามี ก็จะได้ช่วยเขาสักหน่อย ถือเป็การตอบแทนค่าน้ำใจเื่ปลาไปในตัวเลยก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ” ภรรยาฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
เด็กทั้งสองคนพอได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่า กล่าวว่า “ท่านแม่ เช่นนั้นมื้อกลางวันนี้เราก็กินปลาได้แล้วสิขอรับ?”
“ได้สิๆ กินได้แล้ว” สตรีผู้นั้นลูบหัวลูกชายทั้งสอง ยิ้มอย่างเอ็นดู
หลายวันมานี้ ที่บ้านกินแต่ผักดอง ผักป่า หน่อไม้ อะไรจำพวกนี้จนเบื่อจะแย่แล้ว ปลานี่ถือเป็ของดีนานๆ จะได้กินสักที ได้กินปลาสดๆ เปลี่ยนรสชาติบ้าง นับเป็เื่ดีจริงๆ
......
“ท่านพี่เก่งจริงๆ นะเ้าคะ ไปยืมเลื่อยมาเองได้ด้วย” อีกด้านหนึ่ง อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเสียงเลื่อยไม้ดังมาจากลานหลังบ้าน ก็เอ่ยชมจางเจิ้นอันออกมา
“ก็แค่เลื่อยอันเดียว เ้าคิดว่าข้าจะไร้น้ำยาถึงขั้นยืมมาไม่ได้เชียวรึ?” จางเจิ้นอันตอบกลับขณะก้มหน้าก้มตาเลื่อยไผ่ต่อไป
“ข้าถึงได้บอกว่าท่านพี่เก่งอย่างไรเล่า” อันซิ่วเอ๋อร์พูดพลางยกสำรับกับข้าวออกมา “พักก่อนเถอะเ้าค่ะ กินข้าวก่อนนะ”
จางเจิ้นอันวางเลื่อยในมือลง เหลือบมองรอยเลื่อยบนท่อนไผ่ที่ยังดูคดๆ งอๆ อยู่บ้าง เขาวางเลื่อยพิงไว้ข้างฝา ใช้เท้าเขี่ยท่อนไผ่ที่เลื่อยแล้วไปกองรวมกันไว้ข้างๆ แล้วจึงเดินเข้าครัวไปตักน้ำล้างมือ
อันซิ่วเอ๋อร์ตักข้าวให้เขาแล้ว รอจนเขาเดินออกมา จึงยื่นตะเกียบส่งให้ กล่าวว่า “ท่านพี่ วันนี้คงเหนื่อยแย่เลย ต้องกินข้าวเยอะๆ สักสองชามนะเ้าคะ”
จางเจิ้นอันใช้ตะเกียบคุ้ยเขี่ยในชามกับข้าวอย่างชำนาญ คีบเนื้อปลาส่วนท้องที่ไร้ก้างชิ้นหนึ่งส่งไปใส่ในชามของอันซิ่วเอ๋อร์อย่างแม่นยำ “เ้าก็เหมือนกัน กินเยอะๆ หน่อย เท้าเสียเืไปตั้งเยอะ”
“ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านพี่ใจดีกับข้าที่สุดเลย” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเนื้อปลาขาวๆ ในชาม ก็ส่งยิ้มกว้างจนตาหยีให้จางเจิ้นอัน นางคีบเนื้อปลาเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างมีความสุข
จางเจิ้นอันมองแก้มป่องๆ ที่ขยับตุ้ยๆ ของนางแล้วก็รู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูยิ่งนัก แค่ได้นั่งมองนางกินข้าว เขาก็คล้ายจะรู้สึกอิ่มทิพย์ขึ้นมาแล้ว
“ท่านมองข้าทำไมเล่า? ท่านก็กินด้วยสิเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ถูกเขามองจ้องจนชักจะเขิน คีบกับข้าวชิ้นหนึ่งส่งไปใส่ในชามของเขาแก้เก้อ
จางเจิ้นอันจึงเริ่มลงมือกินข้าวบ้าง ทั้งสองกินมื้อเที่ยงกันเงียบๆ พอเสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บโต๊ะ อันซิ่วเอ๋อร์เก็บถ้วยชามไปล้าง แล้วก็ทำท่าจะออกมาช่วยจางเจิ้นอันจัดการกับกองไผ่ต่อ
“ไม่ต้องๆ” พอมีอันซิ่วเอ๋อร์มายืนมองอยู่ข้างๆ จางเจิ้นอันก็ชักไม่กล้าลงมือเลื่อยต่อ หากนางเห็นฝีมือเลื่อยไม้ห่วยๆ ของเขาเข้า คงได้หัวเราะเยาะเป็แน่
“ข้ามาช่วยจับไม้ให้ก็ได้นี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าว “เมื่อก่อนตอนท่านพ่อกับพี่รองเลื่อยไม้ ข้าก็คอยช่วยจับให้แบบนี้แหละ ท่านจะได้เลื่อยง่ายขึ้นอย่างไรเล่าเ้าคะ”
“ข้าใช้เท้าเหยียบเอาก็ได้แล้ว เ้าเชื่อฟังกันหน่อย ไปนั่งปักผ้าในห้องนู่นไป” แววตาจางเจิ้นอันเข้มขึ้นเล็กน้อย โบกมือไล่ให้นางไปให้พ้นๆ
“เช่นนั้น ข้ายกงานมานั่งปักตรงนี้ก็ได้นี่เ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าเขาไม่ยอมให้ช่วยจริงๆ จึงต่อรอง “ข้าจะได้อยู่เป็เพื่อนท่านด้วย ท่านจะได้ไม่เหงาอย่างไรเล่า”
“ก็ตามใจเ้า” จางเจิ้นอันพยักหน้า จากการอยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ เขาก็พอจะรู้ว่านางค่อนข้างติดคน ปากบอกว่ากลัวเขาเหงา แต่ความจริงคือตนเองนั่นแหละที่ไม่ชอบอยู่คนเดียว
แต่ครั้งนี้ อันซิ่วเอ๋อร์เป็ห่วงจางเจิ้นอันจากใจจริง เหตุการณ์ที่จู่ๆ ตาก็มองไม่เห็นเมื่อเช้านั้น ทำให้นางใกลัวไม่หาย นางเพียงแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆ เขา เผื่อว่าหากอาการนั้นเกิดขึ้นอีก นางจะได้อยู่ดูแลเขาได้ทันท่วงที
อันซิ่วเอ๋อร์เดินกลับเข้าห้องไปหยิบตะกร้างานฝีมือออกมา กำลังจะหาที่นั่ง ก็พลันได้ยินเสียงคนเคาะประตูรั้ว พร้อมเสียงเรียกดังมาจากด้านนอก “สหายจางอยู่บ้านรึเปล่า?”
อันซิ่วเอ๋อร์เดินไปเปิดประตูรั้ว พบว่าเป็หลี่เถี่ยเกิน เพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก ใบหน้าฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มอย่างเป็มิตรตามประสาชาวบ้าน เอ่ยทักทาย “อ้าว พี่ใหญ่หลี่ มาได้อย่างไรเ้าคะ? มาหาสามีข้าหรือ? เขาอยู่หลังบ้าน เชิญเข้ามานั่งข้างในก่อนเ้าค่ะ”
“น้องซิ่วเอ๋อร์นี่นับวันยิ่งสะสวยขึ้นนะ” เพราะเป็คนหมู่บ้านเดียวกัน หลี่เถี่ยเกินเดินเข้ามาในประตู ก็เอ่ยชมตามมารยาท อันซิ่วเอ๋อร์ฟังแล้วก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย เดินนำหน้าไปพลางกล่าว “พี่ใหญ่หลี่อย่าล้อข้าเล่นเลยเ้าค่ะ อีกไม่กี่ปีข้าก็แก่แล้ว”
“เหลวไหลน่า อีกสิบปีน้องสะใภ้ก็ยังเป็ดอกไม้งามของหมู่บ้านเราอยู่ดี” หลี่เถี่ยเกินหัวเราะร่า พูดหยอกเย้าสองสามประโยค แต่แล้วก็สังเกตเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์เดินขากะเผลกเล็กน้อย จึงถามขึ้น “น้องสะใภ้ เท้าเ้าเป็อะไรไปรึ?”
“พอดีวันนี้ขึ้นเขาไปตัดไผ่ ไม่ทันระวัง เลยเหยียบโดนกับดักที่นายพรานวางไว้น่ะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ตอบพลางพาหลี่เถี่ยเกินเข้ามาในห้องโถง รินน้ำชาส่งให้ถ้วยหนึ่ง แล้วหันไปะโเรียกทางลานหลังบ้าน “ท่านพี่! มีแขกมาหาเ้าค่ะ!”
น้ำเสียงนางใสกังวาน เจือแววยินดีอยู่หลายส่วน ปกติจางเจิ้นอันไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนบ้านเท่าไหร่นัก การที่มีคนมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านเช่นนี้ ทำให้นางอดรู้สึกดีใจแทนเขาไม่ได้
จางเจิ้นอันได้ยินเสียงเรียก ในใจก็แปลกใจเล็กน้อย เขาวางเลื่อยลงแล้วเดินออกมา พอเห็นว่าเป็หลี่เถี่ยเกิน ก็เพียงพยักหน้าให้เป็เชิงทักทาย ดูประหลาดใจอยู่ไม่น้อยว่าเขามาทำไม
เห็นเขาเดินออกมาแล้วแต่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไร อันซิ่วเอ๋อร์จึงรินน้ำชาส่งให้เขาอีกถ้วย แล้วเอ่ยกระตุ้น “พี่หลี่อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่ เหตุใดท่านยังยืนนิ่งอยู่อีกเล่าเ้าคะ?”
แล้วนางก็หันไปกล่าวกับหลี่เถี่ยเกิน “สามีข้าเขาเป็คนพูดน้อยแบบนี้แหละเ้าค่ะ ไม่ทราบว่าวันนี้พี่หลี่มาหา มีธุระอันใดหรือเ้าคะ?”
