เนื่องจากการเดินทางที่ไม่ได้เร่งรีบมากนักบวกกับอาจิ่วมีใจที่อยากจะเที่ยวเล่นมากเพราะถูกท่านปู่ของเขาขังเอาไว้ตั้งหนึ่งปีเต็มจึงไม่ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกเลยเมื่อออกมาแล้วก็ลากอวี๋เคอไปเล่นสนุกด้วยกันทั่วทุกสารทิศราวกับคนบ้า แถมยังถามนั่นถามนี่ด้วยเสียงอันเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อนอีก
เมื่อทั้งสองมาถึงตีนเขาของสำนักฉิงชางก็เป็เวลาเช้าหลังจากผ่านไปได้สองวันแล้ว
ณเชิงเขาฉิงชางในตอนนี้ไม่มีภาพของผู้คนหลายร้อยคนที่ยืนต่อแถวเรียงรายกันเหมือนในตอนแรกแล้วมีเพียงแค่ศิษย์สองสามคนที่มาเก็บข้าวของพร้อมกับกวาดทำความสะอาดตีนเขาที่นี่เท่านั้น
ส่วนใหญ่ใน่นี้มีผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงมากมายต่างเดินทางผ่านสำนักฉิงชางดังนั้นอวี๋เคอจึงพาอาจิ่วเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ โดยไม่เป็ที่ดึงดูดความสนใจของคนกลุ่มนี้มากนัก
“นี่เ้าว่าทำไมศิษย์ใหม่ที่ชื่อฉียวนผู้นั้นถึงได้มีนิสัยประหลาดขนาดนั้น? ”
ขณะที่อวี๋เคอกำลังพยายามระงับความคิดในใจที่อยากจะเข้าไปถามไถ่ความเป็อยู่ของซ่งฉียวนและกำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่กลับถูกประโยคนี้ตรึงเอาไว้ที่เดิมอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังต่อไป
“เหล่าผู้าุโรวมไปถึงท่านเ้าสำนักมากมายเ่าั้ต่างแย่งกันรับเขาเป็ศิษย์ก้นกุฏิ[1] แต่เขากลับไม่ยอมรับใครทั้งนั้นหากไม่บอกว่าตนคืออาจารย์ที่ชื่อ “เยี่ยวั่งจือ” ผู้นั้น เช่นนั้นเขาจะไม่มีทางยอมรับเป็อาจารย์คนที่สองเด็ดขาด เ้าไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของท่านเ้าสำนักในตอนนั้นน่ากลัวเพียงใดหากไม่ใช่เพราะผู้าุโหร่วนห้ามเอาไว้และบอกว่าได้รับศิษย์ตัวน้อยไว้ในฐานะผู้ดูแลเตาหลอมยามาแล้วไม่อย่างนั้นคงได้ไล่เขาออกไปนานแล้ว! ”
คำพูดนี้ทำให้อวี๋เคอใจเต้นกระตุก พระเ้าช่วยอารมณ์ของเ้าหมอนี่เกรี้ยวกราดกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก...
“เ้าว่าเยี่ยวั่งจือผู้นั้นเป็ใครกัน? นอกจากสำนักฉิงชางของพวกเราแล้ว อีกสามพรรคหกตระกูลใหญ่ที่เหลือก็ไม่เคยได้ยินเื่ราวของคนผู้นี้เลยนะ? ”
ศิษย์อีกคนเค้นเสียงเ็าว่า “ใครจะไปรู้จักอาจารย์บ้านป่าที่เขาไปนับถือมาจากไหนก็ไม่รู้แล้วจะเก่งกาจเท่าท่านเ้าสำนักฉิงชางของพวกเราหรือเปล่า? ข้าว่านะ ฉียวนผู้นั้นเป็คนไม่รู้จักกาลเทศะ เป็อัจฉริยะแล้วอย่างไร? หากไม่กราบอาจารย์ แล้วยังไม่ร่ำเรียนวิชาภายในสำนักอีก ก็คงจะเป็ได้แค่คนเฝ้าเตาหลอมยาไปตลอดนั่นแหละ!”
“ก็จริงนะ เพราะเขาทำตัวแบบนี้ตอนนี้จึงไม่มีใครในสำนักอยากคบค้ากับเขาเลย ทุกคนต่างก็บอกว่าเขาโอหัง ถือตนว่ามีระดับวิชายุทธ์ขั้นจินตันได้ตอนอายุสิบสองปีจนเอาไม่อยู่แล้วจึงไม่มีใครคอยหนุนหลัง อีกไม่กี่ปีคาดว่าคงทนไม่ไหวจนต้องออกจากสำนักไปเอง”
ในที่สุดอวี๋เคอก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวจึงรีบหันหลังแล้วเดินจากไป เขากลัวว่าหากอยู่ต่ออีกสักพักคงอดที่จะขึ้นเขาไปแอบส่องดูเ้าเด็กหัวรั้นคนนั้นไม่ได้และหากเขาขึ้นไปด้วยสภาพในตอนนี้ เดาว่าคงถูกตาแก่พวกนั้นจับได้ในทันทีเป็แน่ถึงตอนนั้นหากไม่ตายก็คงต้องถูกถลกหนังออกมา
หลังจากเดินมาได้ไกลแล้วเขาก็พบสถานที่ที่ตนได้นัดพบกับสิงโตสองหัวเอาไว้ในตอนแรก และรถม้ายังคงจอดนิ่งสนิทอยู่เมื่อสิงโตสองหัวเห็นว่าอวี๋เคอมาแล้ว จึงคำรามเสียงต่ำอยู่หลายครั้งเดาว่าอาจจะไม่พอใจที่เขามาช้ากว่ากำหนดไปสองวัน
อวี๋เคอลูบลงบนแผงคอของเ้าสิงโตและพาอาจิ่วขึ้นไปบนรถ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีมาตลอดการเดินทางอาจิ่วที่เห็นแล้วก็รู้สึกร้อนใจ “นายท่าน ท่านเป็ห่วงเ้าผีน้อยนั่นหรือขอรับ? ”
“คงจะใช่กระมัง”
อารมณ์อันเบิกบานของอวี๋เคอและอาจิ่วที่มีมาตลอดทางที่เดินมาได้หายไปจนหมดสิ้นหลังจากที่เมื่อครู่ได้ยินบทสนทนาของศิษย์สองคนนั้นหัวใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึงเพราะไม่ว่าจะเป็คำพูดที่เด็กคนนั้นพูดกับตนก่อนที่จะขึ้นเขาหรือน้ำเสียงอ้อนวอนและสีหน้าที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ต่อให้คิดอยากจะลืมอย่างไรก็ลืมไม่ลง
อาจิ่วขยับเข้าไปใกล้ต้นคอของอวี๋เคอเล็กน้อยจากนั้นจึงนำขนที่อยู่บนศีรษะคลอเคลียไปกับลำคอของเขา แล้วถอนหายใจออกมา
“นายท่านท่านสร้างปัญหาให้กับตัวเองจริงๆแต่ว่าตอนนี้พวกเราทำได้เพียงรีบกลับไปที่วังปีศาจให้เร็วที่สุดเท่านั้นอีกอย่างร่างกายของท่านก็ยังาเ็อยู่พอสมควรตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาไปเยี่ยมเ้าผีน้อยนั่นหรอก”
“ข้าผู้นี้เข้าใจแล้ว” อวี๋เคอแหวกม่านบนรถออกเพื่อบอกให้สิงโตสองหัวออกเดินทางมุ่งหน้าเหินฟ้าไปจากผืนป่าแห่งนี้และพยายามอย่าทำตัวให้มีพิรุธให้ได้มากที่สุด
อวี๋เคอเอนศีรษะพิงไปบนผนังรถม้าที่ปูด้วยผ้าสักหลาดนุ่มๆเพราะจู่ๆ เขาก็รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นมา หลังจากที่เขาข้ามมิติมายังโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าจะรักษาร่างกายของซ่งฉียวนจนหายดีแล้วแต่กลับไม่สามารถลบล้างความเกลียดชังของเขาได้ มิหนำซ้ำยังคอยย้ำเตือนซ่งฉียวนอยู่เสมอว่าเขายังมีความแค้นเื่ฆ่าล้างตระกูล ทั้งยังยุยงให้เขาแข็งแกร่งขึ้นจากนั้นก็มา... ฆ่าตัวเอง
ส่วนใหญ่แล้วเด็กคนนั้นจะเชื่อฟังตนอยู่เสมอ เมื่อสั่งให้ทำอะไรเขาก็ไม่เคยคัดค้านเลยสักนิดแม้แต่ความทุกข์ทรมานจากผลคืนิญญา หรือกระทั่งสระโลหิตอสูรนั่นเขาก็ไม่เคยโอดครวญออกมาเลยแม้แต่น้อย และไม่เคยหลั่งน้ำตาออกมาให้เห็นเลยแม้แต่หยดเดียวที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยร้องขออะไรจากตนเลย มีเพียงครั้งนี้ที่เชิงเขาฉิงชางครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาอ้อนวอนตนเพื่อให้ไปรอเขาอยู่บนูเาแต่ตนกลับหลอกเขาอย่างไร้เยื่อใย
บทบาทที่เขาและซ่งฉียวนเป็อยู่นั้น ทำให้ทั้งสองคนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบปกติั้แ่แรกเพราะเขาไม่รู้เลยว่าจะเผชิญหน้ากับซ่งฉียวนในฐานะอะไร
อวี๋เคอ? หรือเยี่ยวั่งจือ? หากวันใดถอดหน้ากากออกมาและปล่อยให้ซ่งฉียวนได้รู้ความจริงเขาไม่กล้าจินตนาการถึงภาพในตอนนั้นเลยว่าจะเป็อย่างไร
เขาข้ามมิติมายังโลกนี้เพื่ออะไรกันแน่? เขาจะสามารถออกไปจากที่นี่หลังจากเดินตามเนื้อเื่จนจบได้หรือไม่?
หลังจากที่ตนตายไปในชาติที่แล้วก็ข้ามมิติมาที่นี่ถ้าอย่างนั้นเป็ไปได้ไหมว่าตราบใดที่ตนตายอีกครั้งก็จะสามารถกลับไปอยู่ในยุคปัจจุบันได้?
ความคิดอันกล้าหาญนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันใดอวี๋เคอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้น เขามาอยู่ที่โลกใบนี้ได้สองปีแล้วความจริงแล้วในหลายๆ ครั้ง อารมณ์ของเขามักจะเต็มไปด้วยความกังวลหากมีโอกาสได้ออกไปจากโลกนี้เขาจะไม่ปล่อยมันไปอย่างเด็ดขาด!
แม้อาจจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่ออาจิ่วอยู่บ้างแต่สุดท้ายแล้วที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่โลกของเขาอยู่ดีไม่มีผู้คนหรือเื่ราวที่เขาคุ้นเคยอยู่เลย ถึงแม้จะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังต้องใช้ชีวิตที่เหมือนแขวนไว้บนเส้นด้ายอยู่ตลอดเขาไม่้าชีวิตแบบนี้
ทว่าจะปกป้องอาจิ่วให้รอดปลอดภัยและตายไปอย่างสงบได้อย่างไรนี่เป็เื่ที่ยากพอสมควรเลยจริงๆเมื่อเวลานั้นมาถึงก็ยังสามารถส่งอาจิ่วกลับไปยังป่าภูตอสูรเพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัยได้แต่หากเป็ตัวเองเล่า... ด้วยนิสัยที่น่ากลัวเช่นนั้นของซ่งฉียวนในชาติที่แล้วเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนต้องพบกับจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอน
“นี่คือการปล้น! หยุดรถ!นี่คือการปล้น!! ”
ยามนี้ที่ด้านนอกตัวรถมีเสียงะโของเด็กหนุ่มที่จงใจดัดให้ฟังดูเข้มแม้ว่าน้ำเสียงจะมีพลังแผ่ออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังการหายใจมีไม่เพียงพอราวกับกินข้าวไม่อิ่ม
อวี๋เคอรู้สึกประหลาดใจจึงเลิกม่านบนรถและมองออกไปด้านนอกเหมือนกันกับอาจิ่วเห็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีความสูงน้อยกว่าซ่งฉียวน และสวมใส่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งกำลังยืนขวางอยู่กลางถนนในมือกำลังถือดาบกวัดแกว่งใส่สิงโตสองหัวอย่างมั่วซั่ว ราวกับ้าทำให้สารถีขนาดมหึมาตัวนี้ใกลัว
สิงโตสองหัวเอียงคอมองเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเดาว่าคงจะไม่เข้าใจความหมายของการปล้นนี้ จึงมองด้วยความงุนงงอย่างที่สุดเมื่ออวี๋เคอมองไปยังภาพเ้าเด็กที่ไม่รู้ประสีประสานี้ความหดหู่เมื่อครู่ก็หายไปได้เล็กน้อย จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กคนนี้เก่งกล้าสามารถอย่างไรกันถึงกล้ามาปล้นรถของผู้ฝึกตนได้? ”
อาจิ่วเชิดศีรษะเล็กขึ้นพร้อมกับพูดเสริมอีกว่า “เ้าเด็กผีนี่เ้าเสียสติไปแล้วหรือ? ขวางได้แม้กระทั่งรถของผู้ใหญ่เชียวหรือ? ”
เด็กหนุ่มที่ใบหน้าสกปรกมอมแมมยืดคอขึ้นเพื่อแสดงออกว่าไม่เกรงกลัวก่อนจะรีบยกดาบเล่มที่ยาวกว่าตัวเขาขึ้นชี้ไปที่อวี๋เคอ และะโว่า “หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้วทิ้งอาหารไว้ให้นายน้อยแล้วข้าจะปล่อยเ้าไป! ”
“เ้าเด็กผีคนนี้กล้าพูดกับผู้ใหญ่เช่นนี้เชียวหรือ? สงสัยคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม? ” ท่าทางอารมณ์ร้อนของอาจิ่วดูน่ากลัวมาก อวี๋เคอจึงรีบห้ามเขาเอาไว้และบอกให้เขาหยุดหุนหันพลันแล่น ส่วนตนเองก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่แท้การหายใจที่ไม่เต็มกำลังเมื่อครู่ก็เพราะหิวอย่างนั้นหรือ? เขาไม่กลัวว่าจะถูกตนฆ่าด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวหรอกหรือ? ช่างมีความกล้าหาญที่น่ารักเสียจริง
อวี๋เคอหันไปรื้อหาขนมอบบางส่วนที่อยู่ภายในรถม้าแล้วะโลงจากรถ เดินไปข้างๆ เด็กคนนั้นโดยไม่สนใจดาบเล่มยาวของเด็กหนุ่มที่กำลังชี้มาที่ตนเองก่อนจะส่งอาหารในมือให้กับเขา แล้วเอ่ยถามอย่างเป็มิตรว่า “อาหารเหล่านี้ข้าให้เ้าแล้วบอกข้าได้หรือไม่ว่าเ้าชื่ออะไร? ” เหตุผลที่ถามชื่อ ก็เพราะเมื่อขยับเข้าไปใกล้แบบนี้แล้ว ตนกลับรู้สึกว่าคุ้นหน้าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้ามากแต่นึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงอยากจะลองถามดู
เด็กน้อยคว้าขนมมาด้วยความระแวดระวังแล้วเดินออกห่างไปสองสามก้าว ก่อนจะกินเข้าไปอย่างตะกละตะกลามจากนั้นปากก็พูดอย่างคลุมเครือว่า “เ้าจำเอาไว้เลยนะ นายน้อยย่อมเดินไม่เปลี่ยนชื่อ และนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ [2] ข้าก็คือเซียวอวิ๋นผู้เลื่องลือ! ”
“...” บ้าเอ้ย!นี่มันเซียวอวิ๋นคนนั้นชัดๆ ! เซียวอวิ๋นผู้ที่จะเป็มือขวาของซ่งฉียวนในอนาคต!คนที่กู้จิ่นเฉิงปลอมตัวเป็เขาเพื่อพาตนออกมาจากคุกน้ำในตอนนั้น!
มุมปากของอวี๋เคอกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ช่างบังเอิญจริงๆ มหาอุปราชผู้นี้ถูกตนพบเข้าแล้ว
เซียวอวิ๋นกินขนมหมดไปหลายคำ จากนั้นก็เรอออกมาแล้วมองไปที่อวี๋เคอที่กำลังยืนนิ่งอย่างรู้ความ พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “เมื่อครู่นายน้อยไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องทำการปล้นเช่นนี้ในเมื่อตอนนี้ข้ากินของของท่านแล้ว ก็ต้องช่วยท่านทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็การตอบแทน!ท่านว่ามาได้เลย ตราบใดที่ข้าทำให้ได้ ข้าก็จะทำหมดเลยขอรับ! ”
อวี๋เคอเลิกคิ้วขึ้นรู้สึกแปลกประหลาดในใจเนื่องจากเซียวอวิ๋นผู้นี้ช่างเป็เด็กประหลาดเสียจริงเขากลอกตาไปมา ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงหยิบหน้ากากออกมาจากแหวนหยกแล้วสวมมันบนใบหน้าก่อนจะยิ้มอ่อนให้เซียวอวิ๋น “ข้าขอร้องให้เ้าไปตามหาศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อ ‘ฉียวน’ ที่สำนักฉิงชาง แล้วบอกเขาว่าเ้าเห็นคนที่สวมหน้ากากสีแดงเข้มคนผู้นี้ให้เ้ามาบอกกับเขาว่า ‘หลังจากที่เ้าฆ่าอวี๋เคอแล้วอาจารย์ก็จะกลับมาหาเ้า’ ”
......
เชิงอรรถ
[1] ศิษย์ก้นกุฏิ หมายถึง ศิษย์คนสุดท้ายที่อาจารย์รับไว้หลังจากนั้นก็ปิดสำนักไม่รับศิษย์สายตรงแล้วโดยทั่วไปศิษย์ก้นกุฏิเป็ศิษย์ที่อาจารย์โปรดปรานมากที่สุด
[2] เดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ หมายถึง ภาคภูมิใจในตัวเอง กล้าเปิดเผยตัวเองอย่างองอาจ