เผลอแป๊บเดียว ก็ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกแล้ว
สองวันต่อจากนั้น ฉินหลางยังคงไปติวหลังเลิกเรียนอีกเช่นเคย ทุกวันตอนเช้าก็ยังคงฝึกซ้อมวิชายุทธ์อย่างอุตสาหะ ‘มีดตั๊กแตน’ ของเขา มีความคล่องแคล่วและล้ำลึกมากขึ้น จนเริ่มมีจิติญญาแล้ว มาถึงขั้น ‘ฝึกจิตกระบวนยุทธ์แล้ว’ ที่สามารถก้าวหน้ามาจนถึงขั้นนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็เพราะฉินหลางสร้างพื้นฐานมาดี และขณะเดียวกันเขาก็มี ‘ครูที่ดี’ ด้วยเช่นกัน เพราะทุกวันตอนเช้า ฉินหลางจะปล่อยตั๊กแตนสีเืออกมาเพื่อให้อาหาร จากนั้นก็จะให้มันฝึกวรยุทธ์กับตนเป็ประจำทุกเช้า แล้วเรียนรู้ ‘มีดตั๊กแตน’ จากตั๊กแตนสีเื ทำให้ฉินหลางมีความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างเขากับตั๊กแตนสีเืก็มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นด้วย
สมแล้วที่ตั๊กแตนสีเืเป็แมลงกลายพันธุ์ มีจิติญญามากกว่าตั๊กแตนทั่วไปมาก และหลังจากที่ฉินหลางให้อาหารมันมาระยะหนึ่ง ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเ้าตัวเล็กนี่เข้าใจจิติญญาของมนุษย์ เวลาส่วนใหญ่ก็ยังฟังภาษาคนรู้เื่อีกต่างหาก เพียงแต่ นั่นก็ไม่ได้ประหลาดมากนัก เพราะสัตว์และแมลงกลายพันธุ์ส่วนใหญ่ก็มักจะเคยผ่านการฝึกมาแล้วทั้งนั้น จึงมักจะมีจิติญญาเหมือนมนุษย์ ที่เป็อย่างนี้เพราะพวกมันมีพร์ที่เป็ทุนเดิมสูงมากอยู่แล้ว นอกจากนี้สัตว์และแมลงกลายพันธุ์บางชนิด ยังสามารถฝึกกระบวนยุทธ์ได้เหมือนมนุษย์ ทว่าเ้าตั๊กแตนสีเืตัวนี้จะฝึกได้หรือไม่นั้น ฉินหลางก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ฉินหลางต่อสู้กับอันเต๋อเซิ่งก่อนหน้านี้ ก็เกิดประโยชน์กับเขามากเช่นกัน ถ้าหากเขาไม่ได้ต่อสู้กับอันเต๋อเซิ่งละก็ คงยากที่ฉินหลางเข้าถึงจิติญญาที่แท้จริงของท่ามีดตั๊กแตน จนทำให้ในหมัดของเขาเริ่มมี ‘จิติญญาของหมัด’ ขึ้นบ้างแล้ว
ต้องรู้ว่า สำหรับชาวยุทธ์แล้ว การฝึกกระบวนท่านั้นเป็เื่ง่ายมาก แต่ถ้าจะฝนจนมี ‘จิติญญาของกระบวนยุทธ์’ นั้นกลับยากมาก ซึ่งสำหรับชาวยุทธ์นั้น ‘การฝึกจิตของกระบวนยุทธ์’ สำเร็จนั้น ยากพอๆกับการก้าวข้ามแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวเลยทีเดียว เพราะชาวยุทธ์จำนวนมากขอเพียงยอมลำบากล้วนสามารถก้าวไปถึง ขั้นที่หนึ่ง ‘ฝึกกำลัง’ ขั้นที่สอง ‘สร้างฐาน’ และขั้นที่สาม ‘ฝึกกระบวนท่า’ ได้ไม่ยาก แต่พอถึงขั้นที่สี่ ‘ฝึกจิตของกระบวนยุทธ์’ นั้นกลับไม่ใช่ว่าอาศัยความเพียรเพียงอย่างเดียวก็จะสามารถฝึกได้สำเร็จ เพราะนอกจากความเพียรแล้ว ยังต้องมีพร์ และความเข้าใจในกระบวนยุทธ์ที่สูงมากๆด้วยถึงจะสามารถฝึกได้สำเร็จ
ในทำนองเดียวกัน มีเพียงการฝึกกระบวนยุทธ์จนเข้าใจ ‘แก่นแท้ของกระบวนยุทธ์’ แล้วเท่านั้นถึงจะถือว่าวรยุทธ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วจริงๆ
หลายวันมานี้ ฉินหลางลองใช้มีดตั๊กแตนอีกครั้ง รู้สึกว่าลื่นไหลมากขึ้นไม่น้อย แล้วยังรู้สึกคล่องแคล่วและเป็ธรรมชาติมากขึ้นอีกด้วย
แต่ว่าสิ่งที่ฉินหลางไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเ้าตั๊กแตนสีเืถึงใช้กระบวนยุทธ์เป็ด้วย หรือว่ามันจะเป็มาั้แ่เกิด?
หลังจากฝึกวรยุทธ์ตอนเช้า ฉินหลางยังคงเข้าเรียนตามเดิม
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากที่รั่วปินเว้นระยะห่างกับเขาแล้ว รู้สึกเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลับไปเป็เหมือนแต่ก่อน ตอนที่ทั้งคู่ยังไม่ได้เจอหน้ากัน
ฉินหลางรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาคิดว่านี่อาจจะเป็สิ่งที่์กำหนดไว้ ครั้งก่อนจู่ๆ ก็มีฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ อาจจะเป็การเตือนจากสรวง์ บางทีการที่เขากับรั่วปินห่างเหินกันอย่างนี้อาจจะเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะรั่วปินเก่งมากขนาดนี้ อนาคตเธอจะต้องได้เรียนในมหาลัยที่ดีที่สุดแน่นอน ส่วนอนาคตของฉินหลางนั้นเป็ได้เพียงคนเร่ร่อนในยุทธ์ภพ!
อันธพาลคนหนึ่งที่เร่ร่อนในยุทธ์ภพ!
ถ้ามันเป็สิ่งที่รั่วปินได้เลือกแล้ว ฉินหลางจะเคารพการตัดสินใจของเธอ ซึ่งไม่ใช่ไปรบกวนเธอ ถ้าเหตุนี้ทำให้เธอสอบเข้ามหาลัยในฝันไม่ได้ เธออาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่?
นอกจากนี้ การปรากฏตัวของเจียงเสี่ยวฉิงก็เป็ดั่งสายรุ้ง หลังจากที่เอาผ้าขนหนูมาให้เขาครั้งก่อนแล้ว เธอก็ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าฉินหลางอีกเลย เหมือนคำที่ว่า ‘มาเพียงครู่เดียว และเหลือไว้เพียงผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น’
เย็นวันเสาร์ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ฉินหลางกลับไปที่เมืองอันหยง ภายใต้การเรียกร้องอย่างเข้มงวดของพ่อแม่ เนื่องจากการทำงาน ทำให้พ่อกับแม่ของเขาต้องอาศัยอยู่ที่เมืองอันหยงเป็ประจำ บ้านเก่าในเมืองเซี่ยหยาง จึงไม่มีคนอยู่ และถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว
ฉินหลางรู้ว่า เื่ที่เขาโดนจับครั้งก่อน ทำให้พ่อแม่เขาเป็กังวลมาก ดังนั้นกลับไปครั้งนี้ แม่ถึงได้ทำอาหารอร่อยๆหลายอย่างให้ฉินหลางบำรุงร่างกาย จนกระทั่งเย็นวันอาทิตย์ ฉินหลางต้องกลับโรงเรียนแล้ว แต่ทว่าอาหารก็ยังคงเหลืออยู่ไม่น้อย
ตอนเที่ยงฉินหลางขึ้นรถไฟกลับไปยังเมืองเซี่ยหยาง
รถไฟวิ่งออกจากเมืองอันหยงแล้ว พวกอาคารและตึกสูงนอกหน้าต่างก็ค่อยๆจางหายไป เปลี่ยนเป็วิวธรรมชาติที่เขียวขจีราวกับภาพวาดน้ำหมึกของจีน สีเขียวที่วาดซ้อนกันเป็ชั้น เป็ชั้นราวกับขั้นบันได ั้แ่ใต้สุดขึ้นไปยังเหนือสุด มันได้ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ของการเพาะปลูกกว่าแปดพันปี—นาข้าว
ทว่าความสนใจของฉินหลางกลับไม่ได้อยู่ที่วิวธรรมชาติข้างนอกหน้าต่างนั่น เพราะว่าทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า วันเสาร์ที่ผ่านมานี้ หลังเลิกเรียนตอนเย็นแล้ว จ้าวเหว่ยได้เอาแผนธุรกิจให้เขาแล้ว แต่ฉินหลางยังไม่ได้อ่านอย่างละเอียดเลย
พูดไปแล้ว สำหรับแผนของจ้าวเหว่ย ฉินหลางไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายั้แ่ต้นแล้ว เพราะยังไงซะจ้าวเหว่ยก็ดูไม่น่าเชื่อถือ เกรดก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไร ดังนั้นแผนธุรกิจที่เขาเป็คนทำก็คงจะไม่เวิร์คเหมือนกัน
แต่เมื่อฉินหลางเปิดแผนธุรกิจนี้ออก ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เพราะดูไปแล้วองค์ประกอบของแผนธุรกิจนี้เป็มืออาชีพมาก ดูไม่ออกเลยว่าคนทำเป็เด็กมัธยม แสดงว่าจ้าวเหว่ยต้องตั้งใจทำมากเลย หรือจ้าวเหว่ยจะเป็อัจฉริยะในการทำธุรกิจ เหมือนผู้ก่อตั้งหลายๆบริษัท ที่ยังเรียนไม่จบม.ปลายก็สามารถออกมาจัดตั้งบริษัทจนประสบความสำเร็จได้
ดังนั้นฉินหลางจึงทนอ่านต่อไปเรื่อยๆ โดยรวมแล้วรู้สึกว่าแผนธุรกิจนี้จะดีกว่าที่คิดไว้เยอะมากๆ อย่างน้อยเขาก็มองว่าแผนธุรกิจนี้สามารถทำจริงได้ พูดขึ้นในใจ ‘ดูไปแล้วจ้าวเหว่ยนี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน’
ในตอนนี้รถไฟเริ่มชะลอความเร็ว แล้วหยุดอยู่ที่สถานีรถไฟเล็กๆแห่งหนึ่งนานหลายนาที
แม้จะเป็เพียงสถานีรถไฟเล็กๆ แต่กลับมีผู้คนจำนวนมากที่ขึ้นรถไฟจากสถานีนี้
เพียงแต่ ความสนใจของฉินหลางจดจ่ออยู่ที่แผนธุรกิจในมือของเขา จึงไม่ได้สังเกตคนที่เพิ่งขึ้นรถไฟ
“ขอโทษนะคะ—เลขคี่นั่งติดหน้าต่าง!”
ในเวลานี้เอง มีน้ำเสียงที่เ็าทว่ากลับรู้สึกคุ้นเคยดังขึ้นข้างๆฉินหลาง เขาเงยหน้าขึ้นมาดู ทว่าเขากลับชะงักทันทีที่เห็น
เพราะคนที่บอกให้ฉินหลางขยับที่นั่งก็คือรั่วปิน!
ที่นั่งของฉินหลางเลขที่ 26 แต่ที่นั่งของเถารั่วเซียงเลขที่ 25 ซึ่งมีเครื่องหมายเล็กๆ ว่าเลขคี่ติดอยู่บนขอบหน้าต่าง ซึ่งน่าจะแสดงว่าที่นั่งติดหน้าต่าง นั้นเป็เลขคี่ล่ะสินะ
“ขอโทษครับ” ฉินหลางรีบลุกขึ้นทันที
“ไม่…ไม่เป็ไร นายนั่งเถอะ” รั่วปินเห็นว่าคนที่นั่งอยู่คือฉินหลาง ก็รู้สึกอายขึ้นมาเฉยเลย
“ไม่เป็ไร เธอเข้ามาเถอะ ยังไงซะฉันก็ไม่มองบรรยากาศข้างนอกนั่นอยู่แล้ว” ฉินหลางยืนยันที่จะให้รั่วปินนั่งติดหน้าต่าง เพราะเขาสังเกตเห็น ั้แ่รั่วปินขึ้นมาแล้ว สายตาไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่ของผู้ชายในโบกี้นี้ ล้วนจับจ้องอยู่ที่รั่วปิน แต่ถ้าฉินหลางนั่งอยู่ข้างนอก อย่างน้อยก็ยังสามารถบังสายตาของผู้ชายพวกนั้นได้บ้าง
อาจเพราะวันนี้เป็วันหยุดสุดสัปดาห์ รั่วปินจึงไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบของโรงเรียน เธอสวมชุดเดรสลายดอกสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อสีฟ้าบางๆ ปล่อยผมสยายไปตามหัวไหล่ เสื้อคอกว้างเผยให้เห็นเนินอกขาวเนียนละเอียดราวกับผิวหยกสีขาว มีพระสีเขียวที่ทำขึ้นจากหยกห้อยอยู่ที่คอ และมีกระเป๋าแฟชั่นใบเล็กๆ สะพายอยู่บนบ่า ชายกระโปรงยาวจนเกือบถึงพื้น กับรองเท้าบูทสั้นสีเหลืองที่ถูกซ่อนอยู่ใต้กระโปรง ทั่วทั้งเรือนร่างของเธอเปล่งออร่าของความอ่อนเยาว์ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ฉินหลางมองว่า การปรากฏตัวของเธอ ทำให้บนรถไฟที่แสนน่าเบื่อนี้กลายเป็วิวทิวทัศน์ที่สวยงามได้ในชั่วพริบตา
แต่ผู้ชายก็ต้องเห็นแก่ตัวเป็ธรรมดา ฉินหลางไม่จะอยากแบ่งปันวิวทิวทัศน์ที่สวยงามนี้กับคน ดังนั้นเขาจึงพยายามบังเธอเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้