เล่มที่ 6 บทที่ 180 กระหน่ำซื้อ
จริงๆ แล้ว หอว่านเย่วเองก็หวังว่าจะมีลูกค้ากระเป๋าหนักเช่นนี้เยอะๆ…
แต่ปัญหาคือลูกค้าเบอร์เจ็ดสิบแปดกระเป๋าหนักเกินไป ั้แ่เข้ามาก็เอาแต่ซื้อนู่นซื้อนี่ ทำเพียงซื้ออย่างเดียวเท่านั้น จนถึงตอนนี้เปิดประมูลสิ่งของไปสามสิบเจ็ดชิ้นแล้ว ั้แ่สมุนไพรล้ำค่ายันแผนที่ค่ายกล คนผู้นี้ก็เอาแต่กวาดซื้อทุกอย่างไม่เลือกประเภท
แถมคนผู้นี้ก็มีกำลังทรัพย์ไม่น้อย ถึงกับประมูลไปได้สามสิบหกชิ้นเลยทีเดียว ชิ้นเดียวที่พลาดไป ก็เป็เพราะมาไม่ทัน ขณะที่มาถึงก็มีคนประมูลไปแล้ว…
โดยรวมก็คือั้แ่เริ่ม คนผู้นี้เข้ามาก็เอาแต่ทำเื่เดิมๆ
นั่นคือกระหน่ำซื้อเพียงอย่างเดียว!
น่าอึดอัดใจเสียจริงๆ…
เพราะั้แ่ลูกค้าคนนี้เข้ามา บรรยากาศในงานประมูลก็กลายเป็เงียบสงัดราวกับป่าช้า ช่วยไม่ได้ ก็เพราะของทุกชิ้นล้วนถูกเขาประมูลไปหมดแล้ว ผู้เข้าร่วมอีกร้อยกว่าคนที่เหลือ จึงกลายเป็แค่ผู้ชมไป แถมยังด่าไม่ได้อีกต่างหาก จะให้ด่าอะไรล่ะ จะให้ด่าว่ารวยเกินไปอย่างนั้นหรือ?
ดังนั้นงานประมูลในครั้งนี้ ศิษย์สำนักเชียนซานจึงรู้สึกว่าเป็งานที่พิสดารที่สุดเท่าที่เคยมีมา…
ทั้งที่งานดำเนินไปอย่างราบรื่น แถมของแต่ละชิ้นยังถูกประมูลไปด้วยราคาสูงลิ่ว แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกก่อกวนอยู่…
“ของชิ้นต่อไป คือพระบรมสารีริกธาตุปีศาจ ของชิ้นนี้ได้มาตอนที่เรือเซินหลัวออกล่าสมบัติ และได้พบกับซากเรืออับปางบริเวณใต้ท้องทะเลลึก ซากเรืออับปางนั้นเต็มไปด้วยิญญาอาฆาต แต่กลับมีพระอาจารย์ชั้นสูงคอยสวดส่งให้เหล่าิญญาอาฆาตเหล่านี้ให้ไปผุดไปเกิด ท่านสวดส่งิญญาเช่นนี้นานกว่าพันปี โดยพระอาจารย์ท่านนี้กลับไม่รู้ตัวว่า ตนเองก็ได้ตายไปั้แ่พันปีก่อนั้แ่ตอนที่เรืออับปางแล้ว บัดนี้จึงเป็ิญญาที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเช่นกัน แต่เพราะมีจิตมุ่งมั่นในความดี จึงทำให้เขายึดติดกับการสวดส่งเหล่าิญญาอื่นๆให้ไปสู่สุคติ หลังจากพระอาจารย์ท่านอื่นที่เป็ศิษย์ร่วมสำนักแจ้งความจริงให้ทราบ เขาก็บรรลุธรรมกระทั่งสลายไปกลายเป็พระบรมสารีริกธาตุปีศาจชิ้นนี้ และได้ขอเปิดราคาประมูลของชิ้นนี้ในราคาแปดพันหินิญญา โดยทุกครั้งจะต้องเพิ่มราคาไม่ต่ำกว่าห้าร้อยหินิญญา… ”
“…”
เมื่อสิ้นเสียงประกาศ งานประมูลก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
“ทุกท่าน โอกาสนี้นานทีปีหนเท่านั้น ปรมาจารย์ของหอว่านเย่วกล่าวไว้ว่า หากนำพระบรมสารีริกธาตุปีศาจนี้มาหลอมอาวุธ จะต้องได้อาวุธอย่างน้อยขั้นหยางฝูเลยทีเดียว ไอชั่วร้ายต่างๆก็ไม่อาจเข้าใกล้มาได้…” ศิษย์สำนักเชียนซานยังคงไม่ย่อท้อ พยายามกระตุ้นความสนใจจากทุกคน
“…”
แต่สุดท้ายก็ยังเงียบเช่นเดิม
ช่วยไม่ได้…
เพราะทุกคนกำลังรอผู้เข้าร่วมประมูลเบอร์เจ็ดสิบแปดประกาศราคาอยู่นั่นเอง…
‘บ้าเอ๊ย หากคนผู้นี้ไม่เปิดราคา แล้วใครจะกล้ากันล่ะ?’
เห็นชัดว่างานประมูลในวันนี้ถูกเ้าคนรวยน่าหมั่นไส้คนนี้เหมาไปหมดแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็ทำหน้าที่เป็ผู้ชมที่ดีก็พอ จะสู้ราคาหรือไม่นั้นล้วนไม่สำคัญ เพราะสุดท้ายเ้านี่ก็จะเกจำนวนหินิญญาทับและชนะประมูลไปอยู่ดี
และก็เป็อย่างที่คิด…
เพียงครู่เดียวหลินเฟยก็ยกป้ายเบอร์เจ็ดสิบแปดขึ้นอีกครั้ง
“สองหมื่น…”
‘บ้าเอ๊ย ใครก็ได้ช่วยบอกที ว่างานประมูลนี้ยังควรมีต่อหรือไม่…’
ศิษย์สำนักเชียนซานได้ยินก็แทบจะหันหลังลงจากเวทีเลยทีเดียว ‘ต่อให้ร่ำรวยแค่ไหนก็ไม่ควรทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็เหลือโอกาสให้คนอื่นบ้าง หากเป็เช่นนี้ต่อ งานประมูลในวันนี้ ก็แทบจะเรียกว่าเปิดมาเพื่อคนคนเดียวเลยด้วยซ้ำ เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้าร่วมบ้างเถอะ…’
สำหรับผู้เข้าร่วมประมูลคนอื่นๆนั้น…
แน่นอนว่าอยากจะร้องไห้ตั้งนานแล้ว
เพราะคนที่มาชั้นหนึ่งส่วนมากก็ไม่ได้มีพื้นเพอะไร ที่มาก็เพราะเห็นว่าของชั้นนี้ราคาไม่แพง เพียงหลักร้อยหลักพันเท่านั้น บางทีอาจจะลาภลอย ได้สมบัติล้ำค่าขึ้นมาก็ได้ นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประมูลในชั้นหนึ่งต่างก็มีพื้นเพพอๆกัน ดังนั้นการแข่งขันจึงไม่ดุเดือดเท่าไรนัก ไม่มีเหตุการณ์ เช่น ของราคาแค่หลักร้อยแต่กลับถูกปั่นราคาจนถึงหลักหมื่น…
แต่ใครจะคิดว่ากลับจะต้องมาเจอคนรวยเช่นนี้เข้า
เขากวาดทุกอย่างั้แ่ต้นจนจบ
เพียงยกป้ายก็เพิ่มราคาเป็เท่าตัว หากราคาประมูลอยู่ที่หนึ่งพัน คนผู้นี้ก็จะให้ราคาสองพัน หากราคาอยู่ที่สองพัน ก็จะให้ราคาสี่พัน นี่มันกดข่มจนแทบโงหัวไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นผู้เข้าร่วมประมูลกว่าร้อยคน จึงกลายเป็ผู้ชมไปทั้งหมด ‘ช่วยไม่ได้ ในเมื่อสู้ไม่ไหว ก็นั่งดูนิ่งๆเอาแล้วกัน ชอบซื้อนักใช่ไหม ก็ซื้อไปสิ พวกเขาแค่ดูเพื่อความบันเทิงก็พอแล้ว…’
และคนนับร้อยก็มีความคิดเช่นเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย…
หลังจากนั้นเมื่อเปิดประมูลของชิ้นใด ก็ไม่มีใครกล้าแข่งราคาอีกเลย ทั้งงานประมูลจึงกลายเป็งานของหลินเฟยแต่เพียงคนเดียว ทำให้การแข่งเสนอราคาไม่ดุเดือดเท่ากับครั้งแรกๆ…
“บ้าจริง…” ศิษย์สำนักเชียนซานรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที
เขาจึงอาศัย่เวลารอยต่อระหว่างการประมูล แอบเรียกศิษย์น้องคนหนึ่งให้เข้ามา จากนั้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหู หลังจากศิษย์น้องผู้นั้นจากไปแล้ว จึงเริ่มประกาศประมูลสินค้าชิ้นถัดไป
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ จู่ๆก็มีศิษย์สำนักเชียนซานผู้หนึ่งก้าวเข้ามาที่ชั้นหนึ่ง
“ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าขอคุยด้วยได้หรือไม่?” ศิษย์สำนักเชียนซานที่เข้ามาทักทายดูอายุไม่มาก น่าจะประมาณยี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ กิริยาท่าทางดูสุภาพเรียบร้อย น้ำเสียงที่พูดก็เต็มไปด้วยความเคารพ
“ตัวข้าชื่อหวังซิน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ชื่ออะไรหรือ?”
“ข้าชื่อหลินเฟย มาจากสำนักเวิ่นเจี้ยน…” หลินเฟยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เขารู้ดีว่าสิ่งที่ควรมา จะช้าจะเร็วก็ต้องมาอยู่ดี เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ขยับตัวไปด้านข้างเพื่อเว้นที่ให้อีกฝ่ายนั่ง
พอได้ยินว่าสำนักเวิ่นเจี้ยน หวังซินก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็หนึ่งในศิษย์สำนักใหญ่ ย่อมเคยเจอเื่น้อยใหญ่มาไม่น้อย หลังจากชะงัก ก็ปรับสีหน้าเป็ปกติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์พี่หลินนี่เอง ไม่ทราบว่าสนใจจะขึ้นไปร่วมประมูลที่ชั้นสองหรือไม่ ที่จริงที่ชั้นหนึ่งนี้นอกจากจะมีพระบรมสารีริกธาตุปีศาจแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย ในเมื่อศิษย์พี่หลินได้พระบรมสารีริกธาตุปีศาจไปแล้ว ของชิ้นอื่นเกรงว่าจะไม่เข้าตา…”
“เอาสิ” หลินเฟยลุกขึ้นตอบด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นหลินเฟยออกไป ศิษย์สำนักเชียนซานที่กำลังจะประกาศสินค้าประมูลชิ้นถัดไปถึงกับต้องปาดเหงื่อ เพราะในที่สุดเ้าเพี้ยนนี่ก็จากไปเสียที ดูท่าวันหลังคงต้องไปขอบคุณศิษย์พี่หวังเสียแล้ว…
น่าเสียดายที่หวังซินไม่รู้ตัว ว่ากำลังหาเหาตัวใหญ่ใส่หัว…
เวลาผ่านไปเร็วมาก หลังจากหลินเฟยออกมากับหวังซิง ก็ผ่านไปถึงสองชั่วยามแล้ว
ภายในงานประมูลชั้นสอง ใบหน้าของหวังซินในตอนนี้มีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่ว เวลานี้เขารู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองเป็อย่างมาก ‘บ้าจริง หากรู้ว่าหลินเฟยมีสมองไม่สมประกอบเช่นนี้ ให้ตายเขาก็ไม่ลากอีกฝ่ายขึ้นมาที่ชั้นสองแห่งนี้หรอก ชั้นหนึ่งรอดตายก็จริง แต่ชั้นสองที่เขาดูแลอยู่ กำลังเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว…’
เพราะตลอดสองชั่วยามนี้ ั้แ่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ หายากหรือหาง่าย ขอแค่ถูกยกออกมาประมูล หลินเฟยก็กว้านซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า แถมยังให้ราคาแบบเท่าตัวอีกด้วย ทำให้ผู้เข้าร่วมประมูลคนอื่นแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว…
---------------------------------------------------------------------------------------------------