จวบจนหลิ่วจิ้งกินดื่มอิ่มหนำสำราญและลุกขึ้นจากโต๊ะอวี้จิ่นจึงรีบกวักมือเรียกสาวใช้รุ่นเล็กสองคนจากนอกประตูเข้ามาเก็บสำรับนางประคองหลิ่วจิ้งเดินไปนั่งที่เก้าอี้ชมทิวทัศน์ซึ่งอยู่ติดหน้าต่าง หลังจากสาวใช้รุ่นเล็กสองคนเก็บสำรับออกไปนางจึงเอ่ยปากอย่างระวังว่า “องค์หญิง ท่านมีความคิดดีๆ ใดใช่หรือไม่บอกให้บ่าวฟังสักหน่อย บ่าวจะได้คอยให้ความร่วมมือได้ทันสถานการณ์มิใช่หรือเ้าคะ?”
“เ้ามีใจภักดีต่อข้าเช่นนี้ นับว่าหายากนักน้ำใจของเ้าข้าจะจดจำเอาไว้ หากวันใดข้ามีหน้ามีตาย่อมไม่ทอดทิ้งเ้าแต่ยามนี้ข้ากลับยังไม่มีแผนใด เดินก้าวหนึ่งดูก้าวหนึ่งไปก่อน”
“องค์หญิงพูดก็มีเหตุผล ยามนี้จำเป็ต้องนิ่งคอยดูสถานการณ์ไปก่อนจะได้ไม่ก้าวพลาดองค์หญิงวางใจเถิดเ้าค่ะ สิ่งที่อวี้จิ่นตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเ้าค่ะ”อวี้จิ่นเอ่ยเบาๆ
จู่ๆ หลิ่วจิ้งก็ส่งสัญญาณให้เงียบเสียงอวี้จิ่นมองตามสายตาของนางไปนอกหน้าต่างอย่างระวังตัว
นอกหน้าต่างสามารถมองเห็นสะพานเก้าโค้งที่ปกคลุมด้วยพรมสีแดงข้างนอกอย่างชัดเจนและเห็นว่าอาหนูกำลังเดินนวยนาดมาทางหอหั่วเยี่ยน
คล้ายว่าวันนี้อาหนูบรรจงแต่งเนื้อแต่งตัวมาเป็อย่างดีนางสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน คลุมผ้าคลุมไหล่แพรบางลายปรุสีม่วงอ่อนปักปิ่นรูปนกยูงส่องประกายระยิบระยับด้ามหนึ่งอยู่บนหัว
ยามตัดเสื้อผ้าที่เข้ารูปเช่นนี้ คงต้องควบคุมขนาดของรูปร่างและเอวให้ดีทั้งต้องวัดตัดตามขนาดตัวมาเป็พิเศษจึงทำให้เสื้อผ้าเข้ากับรูปร่างและขับเอวคอดของคนที่ใส่ออกมาได้เด่นชัดถึงเพียงนี้ร่างบางอรชรของอาหนูโยกย้ายตามการก้าวย่าง ยิ่งทำให้เห็นเส้นสายโค้งเว้าบนตัวนาง
อวี้จิ่นเบ้ปากมองอาหนูที่ยักย้ายเยื้องกรายเดินเข้ามา“อวดร่างตนเพียงนี้ ไม่กลัวว่าจะบิดจนเอวหักบ้างหรือไร”
“ฮูหยินอยู่หรือไม่ อาหนูมาเยี่ยมท่านแล้วเ้าค่ะ” คนยังไม่มาถึงแต่เสียงของอาหนูกลับมาถึงก่อน
ได้ยินคำ สาวใช้รุ่นเล็กสองคนที่อยู่หน้าลานหอหั่วเยี่ยนก็รีบออกไปรับนาง
เก้าอี้ที่หลิ่วจิ้งนั่งอยู่ติดหน้าต่างพออาหนูเข้ามาในลานเรือนก็มองเห็นหลิ่วจิ้งได้ทันทีนางเองก็ไม่ได้เกรงใจแต่อย่างใด เดินผ่านสาวใช้รุ่นเล็กทั้งสองคนนั้นแล้วตรงปรี่เข้ามาที่ห้องนอน
“ตายจริง สบายใจดีเหลือเกินนะเ้าคะ”มีความร้ายกาจอย่างหนึ่งแฝงอยู่ในน้ำเสียงของอาหนู
เห็นดังนั้นหลิ่วจิ้งจึงไม่เหมาะจะเอาแต่นั่งผ่อนคลายอยู่นางส่งสายตาให้อวี้จิ่นไปรับอาหนูเข้ามาในห้อง
“ฮูหยิน อาหนูคารวะท่านเ้าค่ะ”เมื่ออาหนูเข้ามาในห้องก็คารวะหลิ่วจิ้งด้วยท่าทีแขกสลับกับเ้าของบ้าน
หลิ่วจิ้งเองก็ไม่ได้เกรงใจ และมิเอ่ยปากว่าให้อาหนูไม่ต้องมากพิธี
อาหนูบอกว่าคารวะหลิ่วจิ้ง แต่กลับจงใจอยู่นิ่งๆรอให้หลิ่วจิ้งเอ่ยคำตามธรรมเนียม นางจะได้ไม่ต้องย่อตัวลงคารวะแต่นึกไม่ถึงว่าหลิ่วจิ้งเอาแต่นิ่งเฉย อาหนูจึงต้องย่อเข่าลงคารวะอีกฝ่าย
หลิ่วจิ้งรอจนอาหนูคารวะนางเสร็จ จึงจงใจพูดว่า “อาหนูแม้จะว่ากันว่ามากพิธี ผู้คนไม่ถือโทษแต่ในเมื่อพวกเราล้วนเป็คนที่ปรนนิบัติท่านแม่ทัพเช่นกันอาหนูเข้าจวนมาก่อนข้าหกเจ็ดปีทีเดียว ข้าจะกล้ารับการคารวะจากเ้าได้อย่างไรคราหน้าไม่ต้องคารวะจนเต็มพิธีเช่นนี้หรอก”
อาหนูได้ยินคำพูดตามธรรมเนียมของหลิ่วจิ้งเบื้องหน้านางแย้มยิ้มรับคำ แต่ในใจกลับด่าทอหลิ่วจิ้งไปหลายตลบ
“อวี้จิ่น รีบไปยกชาอ่อนๆ มาให้อาหนูคลายร้อนสิ”หลิ่วจิ้งแสร้งทำทีต้อนรับอย่างกระตือรือร้นขึ้นมา
เห็นอยู่แล้วว่านี่เป็เื่ที่หากไร้เื่ร้อนใจก็คงไม่ถ่อไปวัดหลิ่วจิ้งจึงนิ่งรอดูว่าอาหนูจะมาไม้ไหน
“ฮูหยินเ้าคะ อาหนูได้ยินมาว่าคืนวานท่านถูกฮูหยินผู้เฒ่าส่งตัวไปขังในห้องเก็บฟืน…”
“โธ่เอ๊ย ฮูหยินดูปากอาหนูสิเ้าคะ ไม่รู้จักพูดเลยเสียจริงฮูหยินจะถูกส่งไปขังในห้องเก็บฟืนได้อย่างไร ต้องเป็เพราะพวกบ่าวลื่อกันไปเรื่อยแน่ๆเ้าค่ะ ฮูหยินก็มิใช่ว่าอยู่ดีมีสุขในเรือนหลักหรอกหรือ? ฮูหยินโปรดอย่าถือโทษที่อาหนูพูดผิดเลยนะเ้าคะ”
อาหนูพูดจบก็ใช้สองตาโตของนางจับจ้องไปยังหลิ่วจิ้งด้วยแววตาไร้เดียงสา
อวี้จิ่นที่ไปเอาน้ำชาเข้ามาในห้องบังเอิญได้ยินคำเอ่ยนั้นพอดี จึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงกระทบดัง ‘กริ๊ง’ นางอยากปรี่เข้าไปฉีกปากอาหนูแทนหลิ่วจิ้งเสียจริงๆ
“เฮ้อ ฮูหยินเ้าคะ ให้อาหนูลองพูดกับท่านแม่ทัพดูหรือไม่เ้าคะว่าให้เปลี่ยนสาวใช้ที่มือไม้คล่องแคล่วสักคนสองมาปรนนิบัติท่าน เห็นหรือไม่เ้าคะสาวใช้พวกนี้มือไม้หนักเหลือทน เงอะๆ งะๆ จะมารับใช้อยู่ในเรือนหลักได้อย่างไร”
อาหนูพูดจบก็ปรายตามองอวี้จิ่นอย่างคล้ายทั้งจงใจและไม่จงใจ
หลิ่วจิ้งเจตนาทำเป็ไม่ได้ยินหรือเห็นอากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆเ่าั้ของอาหนู “อาหนูมาหาข้ามีเื่ใดหรือไม่? หากไม่มี ข้ากำลังจะไปดูทางฮูหยินใหญ่สักหน่อยเพราะวานนี้ฮูหยินใหญ่หมดสติไป ไม่ว่าอย่างไรคนเป็ฮูหยินเช่นข้าก็ควรต้องไปดูหาไม่ท่านแม่ทัพก็จะบอกว่าข้าดูแลเหล่าฮูหยินในจวนแม่ทัพไม่ทั่วถึงหากท่านแม่ทัพมาโทษข้าด้วยเื่นี้แล้วกลางคืนไม่ยอมเข้าห้องก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี”
อาหนูสะกดกลั้นไฟโทสะในอกเค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดกว่าใบหน้าร้องไห้ออกมา
“ฮูหยินเ้าคะ อาหนูมานี่มิได้มีเื่ใด เพียงมาดูว่าฮูหยินอยู่ดีมีสุขหรือไม่เท่านั้นได้ฮูหยินเตือนอาหนูก็คิดว่าควรจะไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่สักหน่อยอาหนูไปเยี่ยมนางกับฮูหยินก็แล้วกันเ้าค่ะ”
“อวี้จิ่น ไปเอาเห็ดหลินจือที่ท่านแม่ทัพนำกลับมาเมื่อวานมาที ยามนี้ร่างกายของฮูหยินใหญ่้าการบำรุงให้มาก”
“เ้าค่ะฮูหยิน อวี้จิ่นจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
อวี้จิ่นเข้าไปในห้องทางด้านข้าง ไม่นานก็นำของกล่องหนึ่งเข้ามา
“ให้ข้าดูซิ วานนี้ท่านแม่ทัพบอกว่าข้าเหนื่อยอ่อนนักจึงเตรียมเอาไว้ให้ข้าบำรุงร่างกาย คืนวานท่านแม่ทัพเอาแต่กวนข้า จนข้ายังไม่ทันได้ดูเลยด้วยซ้ำ”
อาหนูได้ยินว่าหั่วอี้มีน้ำใจกับหลิ่วจิ้งเพียงนี้ นางก็ขบฟันจนแทบกัดปากตนเองแต่กลับทำได้แค่โกรธอย่างไร้ทางระบาย
ทว่าโกรธก็ส่วนโกรธ แต่อาหนูสงสัยนักว่าท่านแม่ทัพจะเตรียมของใดให้หลิ่วจิ้งบำรุงร่างกายนางจึงเบิกสองตากว้าง มองหลิ่วจิ้งค่อยๆ เปิดกล่องใบนั้นออก
เมื่อหลิ่วจิ้งเปิดกล่องในมือ กลิ่นหอมสดชื่นก็พวยพุ่งไปทั่วห้องทันใดอาหนูมองเห็ดหลินจือในมือของหลิ่วจิ้ง พลันอ้าปากค้าง “โอ้โห…” นางอดใจไม่ไหวรีบแย่งเห็ดหลินจือที่อยู่ตรงหน้ามาดู
เห็ดหลินจือนี้ไม่ใช่เห็ดหลินจือทั่วไป แต่เป็เห็ดหลินจือเื แม้ชื่อจะฟังดูน่าใแต่กลับเป็ของที่สตรี้าเป็ที่สุดยิ่งไปกว่านั้นเห็ดหลินจือเืที่มีขนาดใหญ่เพียงนี้หาก้าหาจากในท้องตลาดทั่วไปก็เป็เื่ที่ทำได้แค่คิดเท่านั้นดูขนาดของมันแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ต้องอายุเกือบร้อยปี ได้กินเห็ดหลินจือเืที่อายุมากกว่าร้อยปีผิวพรรณก็จะเต่งตึงเนียนนุ่มดั่งทารกทีเดียว
คิดไม่ถึงว่าฮูหยินถึงกับเอาของเช่นนี้ไปมอบให้แก่จ้าวไฉ่เอ๋อร์แสดงว่าในมือของฮูหยินจะต้องมีของที่ดียิ่งกว่านี้เป็แน่ หาไม่แล้วฮูหยินก็คงไม่นำเห็ดหลินจือเืดอกนี้ไปมอบให้นางผู้นั้นหรอก
อาหนูร้อนรนใจเป็ที่สุด รู้สึกริษยาในความลำเอียงของท่านแม่ทัพ และชิงชังในความโชคดีของจ้าวไฉ่เอ๋อร์ด้วย
“ฮูหยินช่างมีวาสนาดีนัก ถึงกับได้รับของล้ำค่าเช่นนี้ เกรงว่าฮูหยินใหญ่คงจะรับไว้ไม่ไหวกระมังเ้าคะ”
อาหนูเผลอพูดความในใจออกไป
ชั่วอึดใจนั้นพลันไม่มีใครพูดต่อ ในห้องเงียบงันดั่งสายน้ำนิ่ง
จื่อเซียวรีบเอาข้อศอกแตะตัวอาหนูเบาๆ อย่างระมัดระวังหนหนึ่งอาหนูจึงได้รู้ตัว
อาหนูเม้มปากคล้ายอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่นางกลับมิเอ่ยปากอีก
“เอาเถิด แม้เห็ดหลินจือเืนี้จะเป็ของล้ำค่า แต่ก็มิได้มีค่ายิ่งกว่าบุตรของท่านแม่ทัพฮูหยินใหญ่สมควรได้รับสิ่งนี้แล้ว พวกเราไปกันเถิด”หลิ่วจิ้งพูดไปแต่ในใจกลับแอบยินดี สมองเช่นอาหนูยังไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสียบ้างไม่ช้าก็เร็วนางต้องเสียท่าเพราะปากของนางเองเป็แน่
จื่อเซียวรีบเข้าไปประคองอาหนู อวี้จิ่นเดินนำไปข้างหน้าก่อน ต่อด้วยหลิ่วจิ้งกับอิ๋งเหอซึ่งเดินตามห่างอยู่ก้าวหนึ่งและมีอาหนูเดินตามหลังมา ทั้งหมดพากันเดินไปทางเรือนเฉินจื่อของนางจ้าว
_____________________________
