เหนียนเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเหนียนแข็งค้าง ทว่าเพียงครู่หนึ่งก็หวนกลับมาเป็ปกติอีกครั้ง "เยวี่ยเอ๋อร์ เดี๋ยวนางก็มา"
“หึ บอกว่าจะมาขอโทษ กลับยังให้คนต้องรอนานเยี่ยงนี้ หนานกงเยวี่ยและตระกูลเหนียนมิใช่ไร้ความจริงใจไปหน่อยหรือ” จิ้นหวางเฟยพ่นลมหายใจเสียงเ็า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ทันทีที่หนานกงเยวี่ยเดินมาถึงหน้าประตู นางบังเอิญได้ยินคำพูดของจิ้นหวางเฟยเข้าพอดี ในใจนางที่เดิมทีอึดอัดอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
จริงใจหรือ? นางจิ้นหวางเฟยสองแม่ลูกที่วางแผนเื่พวกนี้ออกมา ยัง้าความจริงใจจากนางอีกหรือ?
"ฮูหยินเ้าคะ... " สาวใช้ที่ยืนข้างกาย ครั้นเห็นสีหน้าของหนานกงเยวี่ย จึงเอ่ยเรียกออกมาอย่างระมัดระวัง "ไม่สู้รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงมาถึงก่อน แล้วเข้าไปพร้อมกันจะดีกว่าหรือไม่เ้าคะ?"
หนานกงเยวี่ยขมวดคิ้ว ทว่าเพียงครู่หนึ่ง ปมคิ้วนางค่อยๆ คลายออก สูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับเชิดคางขึ้น "รอหรือ พวกเรารอได้ ทว่าคนข้างในคงมิน่ารอไหวเสียแล้ว"
เมื่อครู่นี้ระหว่างทาง นางก้าวเดินอย่างเชื่องช้า พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อถ่วงเวลา ยามนี้อีหลานควรจะไปถึงจวนหนานกงแล้ว
เช่นนั้นต่อจากนี้...
ครั้นนึกคิดอะไรบางอย่างได้ มุมปากของหนานกงเยวี่ยพลันยกยิ้มขึ้น พลางก้าวไปข้างหน้า มุ่งไปยังโถงใหญ่...
"จิ้นหวางเฟย ฮูหยินทุกท่าน ขออภัยที่ทำให้ทุกท่านต้องรอนาน" ทันทีที่หนานกงเยวี่ยเข้าประตูมา นางปรับเปลี่ยนอารมณ์จากที่ไม่พอใจยามที่อยู่หน้าประตูเมื่อครู่นี้ เป็เติมแต่งรอยยิ้มบนใบหน้า
ตัวของหนานกงเยวี่ยเป็คุณหนูตระกูลหนานกง นางมีทัศนคติที่ไม่ธรรมดา เวลานี้ นางเก็บโทสะของตัวเองได้ดี จนดูเหมือนเ้านายที่อบอุ่นดั่งสายลมหน้าร้อน มิใช่ธรรมดา ปากบอกว่ามิใช่ตน สีหน้าก็ยังแสดงออกถึงการโทษตัวเองเล็กน้อย
เหล่าฮูหยินที่เห็นทุกสิ่งในสายตา เพียงจ้องมองต่างรู้สึกกันว่าหนานกงเยวี่ยในวันนี้ดูแตกต่างจากปกติเล็กน้อย
ส่วนจิ้นหวางเฟยผู้นั้น...ดูเหมือนว่านางจะทำเพียงเหลือบมองหนานกงเยวี่ยอย่างราบเรียบ มิปกปิดความเกลียดชังที่ฉายชัดในดวงตาคู่นั้นเลย
ปฏิกิริยาของจิ้นหวางเฟยไม่เกินจากสิ่งที่หนานกงเยวี่ยคาดการณ์ ทว่าแม้จะเป็เช่นนี้ การถูกปฏิเสธทั้งชีวิต ใบหน้าของหนานกงเยวี่ยยังคงทนไม่ไหว
ในห้องโถง ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศเริ่มดูจะอึมครึมขึ้นมาเล็กน้อย
"ที่ไหนที่ไหนกัน พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างดี"
ในห้องโถง ไม่เพียงแต่ฮูหยินคนหนึ่งเท่านั้นที่เอ่ยปาก หนานกงเยวี่ยตระหนักได้ถึงสิ่งที่เรียกว่า "พยาน" ในใจของนางพลันสั่นสะท้าน ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับอบอุ่นสนิทสนมเช่นเมื่อครู่
“ไม่ได้ต้อนรับอย่างดีเลย มิได้ต้อนรับดี ข้า...” หนานกงเยวี่ยที่กำลังเอ่ยปาก ครั้นเหลือบเห็นคนจำนวนหนึ่งที่นั่งอยู่ ครานี้รอยยิ้มบนใบหน้านางพลันพังทลาย จนลืมแม้กระทั่งสิ่งที่ตัวเอง้าจะพูด นางแข็งค้างชะงักงันอยู่เยี่ยงนั้น ความโกรธเกรี้ยวในใจราวกับถูกจุดไฟขึ้นมาอีกครั้งและแผดเผาทันที
พวกนาง...ในบรรดาสตรีเหล่านี้ นางรู้ดีว่าพวกนางทุกคนเป็ใคร
ฮูหยินหลี่ชื่อ ภริยารองเ้ากรมผังเมือง...ฮูหยินที่เป็เ้าของกิจการสุราแห่งตระกูลเฉิน...ยังมีฮูหยินโจว...ฮูหยินหลิน...
พวกนางทุกคนต่างเคยมีความแค้นกับนางมาก่อน
รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกนางที่ประหนึ่งว่ากำลังรอชมงิ้วของนางนั้น ยิ่งกระตุ้นหนานกงเยวี่ยมากขึ้นไปอีก
มือข้างหนึ่งใต้แขนเสื้อที่ถือผ้าเช็ดหน้าปักดิ้นกำแน่นขึ้นในทันที ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง
จ้าวอิ้งเสวี่ย...นางสารเลวนั่นต้องจงใจแน่
นางคิดว่าจ้าวอิ้งเสวี่ยคงแค่เชิญฮูหยินมาตามใจ เพราะคิดอยากจะเหยียบย่ำหน้าตาของตนต่อหน้าคนพวกนี้ ทว่านางทำอย่างไรก็มิคิดมาก่อนเลยว่า นางจ้าวอิ้งเสวี่ยจะใช้อุบายเช่นนี้กับนาง
นางต้องไปสืบเื่นางมาแน่ จึงเลือกเชื้อเชิญฮูหยินที่เคยมีเื่กับนางมาเยือนที่นี่ นาง้าทำอะไรกันแน่
วันนี้เกรงแต่จ้าวอิ้งเสวี่ยผู้นี้จะทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าคนพวกนี้!
“เหนียนฮูหยิน ท่านมิต้อนรับพวกเราหรือ?” ฮูหยินหลี่ชื่อของจวนรองเ้ากรมผังเมือง เห็นท่าทีตอบสนองของหนานกงเยวี่ย ในใจพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา มิใช่ว่านางเชื้อเชิญพวกนางมาหรอกหรือ ทว่าเมื่อครู่นี้ ใบหน้าของหนานกงเยวี่ยบ่งบอกชัดเจนว่านางประหลาดใจ หลังจากนั้น...
แม้มีประกายบางอย่างวาบผ่านใบหน้านางไปอย่างรวดเร็ว ทว่ายังมิอาจพ้นสายตาของทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้
ในเมื่อพวกนางมาชมงิ้วสนุกๆ เช่นนั้น พวกนางจะต้องจับจ้องทุกรายละเอียดอย่างดี จึงจะคู่ควรเหมาะสมแก่การมาเยือนจวนเหนียนแห่งนี้ มิใช่หรือ?
ส่วนจิ้นหวางเฟยที่ได้ยินฮูหยินหลี่เอ่ยคำว่า "ไม่ต้อนรับ" นั้นพลันขมวดคิ้ว ลมหายใจเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ทำให้ในใจฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างพลันสั่นสะท้าน นางจึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ต้อนรับอะไรกันเล่า ในเมื่อเยวี่ยเอ๋อร์เป็คนเชิญพวกท่านมา เช่นนั้นจะเอ่ยว่าไม่ต้อนรับได้อย่างไร ใช่หรือไม่ เยวี่ยเอ๋อร์?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนเอ่ยแย้มยิ้มพลางหัวเราะขำขัน พยายามช่วยไกล่เกลี่ย
หนานกงเยวี่ยกลับมาได้สติ จึงค่อยๆ เก็บสีหน้าของตัวเองไว้ยังเบื้องลึกของจิตใจ ฉีกยิ้มมุมปาก "ใช่แล้ว ย่อมต้องต้อนรับ ต้องต้อนรับแน่นอน เมื่อครู่นี้ข้าอยากจะพูดว่า รบกวนพวกท่านแล้ว วันนี้ข้าคงต้องขอรบกวนแเื่ทุกท่านที่นี่ให้ช่วยเป็สักขีพยานให้ข้า เพื่อคลายความรู้สึกผิดที่กดดันในใจของข้ามาตลอดให้มลายหายไปด้วย"
สีหน้าของหนานกงเยวี่ยแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนรู้สึกทึ่งใจ
แม้แต่จ้าวอิ้งเสวี่ย นางยังเหลือบมองหนานกงเยวี่ยผ่านผ้าคลุมผืนบางนั้นด้วย
นางคิดว่า การที่นางออกมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ หนานกงเยวี่ยจะต้องไม่ยอมก้มหัวให้ง่ายๆ เป็แน่ ทว่านึกไม่ถึงเลยว่า...
ทุกข์ใจจากความละอายหรือ? ทุกข์ใจสิ่งใดกัน ทุกข์ใจเพราะเื่ที่ตบนางหรือไร
ในใจหนานกงเยวี่ยเคยรู้สึกทุกข์ใจเพราะรู้สึกละอายด้วยหรือ คำพูดเหลวไหลนี่ จ้าวอิ้งเสวี่ยจะไปเชื่อได้อย่างไร
ทว่าท่าทีสุขุมนุ่มนวลยามนี้ของหนานกงเยวี่ย...
นางมีท่าทีสุขุมสงบนิ่งเช่นนี้ได้ หรือว่าจะมีแผนรับมืออะไรอย่างนั้นหรือ?
จ้าวอิ้งเสวี่ยเลิกคิ้ว หึ แผนรับมือหรือ
นางอยากจะดูเสียจริงว่าหนานกงเยวี่ยจะมีแผนอะไรมาอีก
อีกด้านหนึ่ง
เหนียนอีหลานมาถึงจวนหนานกง ทว่ากลับได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงเข้าวังหลวงไปั้แ่เช้า ครั้นนึกถึงคำสั่งของท่านแม่ของตน แล้วยามนี้ท่านยายก็ไม่อยู่ ท่านแม่จะทำอย่างไร คิดถึงตรงนี้ เหนียนอีหลานเริ่มมีความกังวลผุดบนใบหน้า
"อีหลานหรือ?"
ขณะที่คิดอะไรไม่ออก มือไม้ทำอะไรไม่ถูก พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เหนียนอีหลานเงยมอง เห็นหนานกงจื้อเดินเข้ามาหานาง ทันใดนั้นเหนียนอีหลานพลันรู้สึกดีใจ ราวกับได้พบผู้ช่วยชีวิตก็มิปาน นางรีบเร่งพุ่งเข้าไปหาเขาทันที
"เปี่ยวเกอ..." เหนียนอีหลานคว้ามือของหนานกงจื้อขึ้นมาจับ ััได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือ ในใจหนานกงจื้อพลันรู้สึกหวิวไหว ทว่าเหนียนอีหลานกลับจดจ่อแต่เื่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ไม่แม้แต่จะใส่ใจสายตาร้อนแรงของชายหนุ่มที่มองตัวนางเลย นางเอ่ยกับเขาว่าอย่างรีบร้อนว่า "เปี่ยวเกอ ท่านพาข้าเข้าวังหลวงเร็วเข้า ข้า้าพบท่านยาย"
"ท่านย่าหรือ?" เสียงของเหนียนอีหลานทำให้หนานกงจื้อรู้สึกตัว ครั้นเห็นความกระตือรือร้นของ เหนียนอีหลาน หนานกงจื้อจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว "เหตุใดเ้าต้องรีบร้อนที่จะเจอท่านย่าเช่นนี้?"
“ท่านอย่าเพิ่งถาม ยามนี้ที่ตระกูลเหนียนกำลังเกิดเื่ พวกนาง...จ้าวอิ้งเสวี่ยพาคนมา พวกนางรวมหัวกันรังแกท่านแม่ หากไม่รีบหาตัวท่านยายให้เจอละก็ ท่านแม่คง...” เหนียนอีหลานเอ่ยตอบอย่างรีบร้อน นางพูดอธิบายให้หนานกงจื้อฟังไม่มาก พลางดึงหนานกงจื้อออกไปด้านนอก
หนานกงจื้อแต่ไหนแต่ไรไม่เคยปฏิเสธเปี่ยวเม่ยผู้นี้เลย เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปพร้อมกับนาง เดินไปพลางปลอบใจไปพลาง "อีหลานเ้าไม่ต้องรีบร้อน วันนี้ท่านย่าเข้าวังหลวงไปได้สักพักใหญ่แล้ว ข้าคิดว่ายามนี้ ฮองเฮาน่าจะให้ออกมาแล้ว"
ฮองเฮาหรือ?
เหนียนอีหลานตัวสั่นสะท้าน ฝีเท้าหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัว หันหน้าจ้องมองหนานกงจื้ออย่างไม่ละสายตา "ท่านพูดว่าอะไรนะ? ฮองเฮาหรือ?"
ปฏิกิริยาท่าทีใหญ่โตเช่นนี้ของเหนียนอีหลาน ทำให้หนานกงจื้อใจนหยุดชะงัก เขาจ้องมองความตื่นตระหนกที่ไหลวนในดวงตาของหนียนอีหลานด้วยความงงงันสงสัย "อีหลาน เ้า..."
ฉับพลันนั้นดูเหมือนนางจะตระหนักได้ว่าตัวเองลืมตัวเสียอาการ เหนียนอีหลานกะพริบตา รีบฉีกยิ้มออกมาทันที "ที่แท้...ท่านยายก็เข้าวังไปพบฮองเฮา ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเกิดไฟไหม้ในวังหลวง เปี่ยวเกอรู้หรือไม่ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น?"
เหนียนอีหลานพยายามรักษาความสงบของตัวเอง หยั่งเชิงถามอย่างระมัดระวัง คำว่าฮองเฮาในหัว พริบตาเดียวพลันกระตุ้นความกังวลของนางในยามเช้าวันนี้