ตอนที่ 92 เคราะห์ร้ายมาเยือน (2)
สิ้นเสียงเ้าหน้าที่ ทุกคนก็ฮือฮาขึ้นมา ต่างพากันมองอวิ๋นเจียว เด็กที่น่ารักและบอบบางเช่นนี้จะเป็ขโมยได้อย่างไร?
อีกทั้งฉี่เยว่ของบ้านพวกเขา ก่อนหน้านี้ไปเรียนที่สำนักศึกษา ทุกเช้าที่รีบร้อนไปเรียน พอเจอผู้ใหญ่ก็จะยิ้มทักทายอย่างมีมารยาท ต่างจากอวิ๋นโส่วหลี่ของบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าที่ยังสอบเป็บัณฑิตซิ่วไฉไม่ได้ กลับดูถูกเพื่อนบ้านในชนบท ยกตนข่มท่าน ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการทักทาย ฝันไปเสียเถอะ
เด็กที่สุภาพมารยาทดีเช่นนี้จะเป็ขโมยได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะขโมยตราประทับอะไรนั่นไปทำไม? บ้านพวกเขามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง!
“ต้องเข้าใจผิดแล้วแน่ๆ!
“ครอบครัวพวกเขาเป็คนดี ไม่มีทางขโมยของหรอก”
“นี่เป็แค่คำพูดฝ่ายเดียว เหตุใดถึงแน่ใจว่าพวกเขาเป็คนที่ขโมยของเล่า?”
“นี่มันทำลายชื่อเสียงของคนอื่นชัดๆ!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ค้นหาของเขาค้นกันเช่นนี้หรือ? หากไม่รู้ก็คงจะคิดว่ามาปล้นบ้านเสียอีก!”
ชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเ้าหน้าที่ต่างหน้าเสีย
อาจารย์ตั่งเอ่ยขึ้น “ชาวบ้านพูดถูก จับโจรหาของกลาง พวกเ้าอาศัยคำพูดฝ่ายเดียว ก็มาทำลายข้าวของในบ้านคนอื่น ไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้างหรือ?”
“ตาแก่นี่ เ้ารู้เื่กฎหมายหรือไร?” ผู้ดูแลจางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นมา!
อาจารย์ตั่งหัวเราะเยาะ “ข้าท่องกฎหมายต้าเยี่ยจนขึ้นใจ ไม่รู้ว่ามีข้อไหนระบุว่าเ้าหน้าที่ของทางการสามารถรับคำสั่งจากคนรับใช้ของร้านค้าได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวหน้าเ้าหน้าที่ก็พอจะเดาออกแล้วว่าตาแก่ผู้นี้น่าจะเป็บัณฑิตซิ่วไฉ มีชื่อเสียงอยู่ในตัว หากเป็แค่บัณฑิตซิ่วไฉ เพียงแค่เขาไม่ไปทำให้ขุ่นเคืองก็พอ แต่เขาก็ไม่กลัวเช่นกัน!
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้น “ท่านผู้าุโ คนผู้นี้ไม่มีสิทธิ์ออกคำสั่งพวกข้า เขาเพียงพาพวกข้ามาชี้จุดและชี้ตัวเท่านั้น หากสุดท้ายแล้วอวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ไม่ได้ทำความผิดจริง ความเสียหายของพวกเขาทางร้านยาจี้เหรินถังจะเป็ผู้รับผิดชอบเอง!”
อาจารย์ตั่งเย้ยหยัน “หึ ชดใช้หรือ นี่เป็คำพูดของเ้าเอง ชาวบ้านทุกคนได้ยินกันหมดนะ!”
หัวหน้าเ้าหน้าที่ตอบ “เป็ข้าเองที่พูด!” เสมียนแอบบอกเขามาแล้วว่า ครั้งนี้ต้องค้นหาของกลางเจอ แม้แต่สถานที่ก็บอกเขาอย่างชัดเจนแล้ว การกระทำของพวกเขาเมื่อครู่ หนึ่งคือทางร้านยาจี้เหรินถังที่ร้องขอ สองก็คือเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้เกิดความสับสน
อวิ๋นฉี่ซานเอ่ยกับอาจารย์ตั่ง “ท่านอาจารย์ ท่านอยู่ห่างๆ หน่อยเถิด ศิษย์กลัวว่าเดี๋ยว... ท่านจะาเ็ได้”
แม้แต่กรงขังก็เอามาด้วย เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ใจร้อนมากแค่ไหน
อาจารย์ตั่งรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่งที่อวิ๋นฉี่ซานยังนึกถึงเขา จึงเอ่ยว่า “วางใจเถิด ต่อให้อาจารย์ของเ้าลาออกจากราชการแล้ว แต่ก็ยังมีตำแหน่งขุนนางขั้นหกอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้บ้านเ้าถูกใส่ร้ายเด็ดขาด!”
อวิ๋นฉี่ซานรีบคำนับอาจารย์ตั่ง ก่อนจะเดินไปหาอวิ๋นเจียว จับมือนางไว้แน่น แล้วกระซิบข้างหูว่า “เจียวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พี่รองอยู่ตรงนี้นะ!”
อวิ๋นเจียวยิ้มให้อวิ๋นฉี่ซาน “พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่กลัวผีมาเคาะประตูหรอก!”
ท่าทางองอาจผ่าเผยของนาง ยิ่งทำให้ชาวบ้านที่มามุงดูรู้สึกว่าต้องมีลับลมคมในแน่ๆ ทุกคนยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้น ผู้ดูแลจางหัวเราะเยาะ “เด็กน้อย หากจะหัวเราะก็รีบหัวเราะเสียเถิด อีกประเดี๋ยวเ้าจะได้ร้องไห้แล้ว”
ขณะนั้น คนบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าก็รีบรุดมาถึง ไม่ขาดใครแม้แต่คนเดียว ผู้เฒ่าอวิ๋นได้ยินเื่ราวทั้งหมดแล้ว เขารีบเบียดตัวเข้ามาหน้าบ้านอวิ๋นเจียว แล้วพูดกับอวิ๋นเจียวอย่างร้อนใจว่า “เด็กน้อย เ้ายังเด็ก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี รีบเอาของที่ขโมยเขามาคืนไปซะ!”
ในใจของเขา ลูกชายและหลานชายสำคัญกว่า เขากลัวว่าด้วยความรักที่อวิ๋นโส่วจงมีต่อหลานสาวคนนี้ จะยอมเอาตัวเองและลูกชายเข้าไปเสี่ยง
อวิ๋นโส่วจู่อยู่ข้างๆ พูดยุยงใส่ไฟว่า “ก็แน่ละว่านางไม่รู้เื่อะไร ไม่งั้นพี่รองจะให้ลูกชายลูกสาวตัวเองไปขโมยของสำคัญเช่นนั้นหรือ? นั่นมันตราประทับของท่านนายอำเภอเชียวนะ สำคัญยิ่งนัก! หากพี่รองเอาตราประทับไปทำเื่ไม่ดี... โถ่เอ๊ย... ข้าละไม่กล้าคิดเลย!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นได้ยินดังนั้น ก็หันไปตบหน้าอวิ๋นโส่วจู่ทันที “ถ้าพูดไม่เป็ก็หุบปากไปซะ ใครอนุญาตให้เ้าพูดจาเหลวไหล! ชัดเจนว่าเป็เพราะเด็กๆ ไม่รู้เื่ เลยแอบเอาไปเล่น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพี่รองของเ้ากับฉี่เยว่สักหน่อย!”
พอเห็นผู้เฒ่าอวิ๋นตีอวิ๋นโส่วจู่ เถาซื่อก็โวยวายขึ้นมาทันที “ตาแก่ไม่ตายนี่ ตีลูกชายตัวเองทำไม? อวิ๋นโส่วจงเป็ใครกัน เขาแยกบ้านออกไปแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเ้าเลยสักนิด! ลูกชายลูกสาวของเขามีนิสัยขี้ขโมย แล้วเ้าจะออกหน้าปกป้องทำไม?”
อวิ๋นเหมยเอ๋อร์ก็พูดเยาะเย้ยอย่างสะใจว่า “ท่านพ่อ ท่านไปยุ่งเื่ของพวกเขาทำไม? เห็นได้ชัดว่าเป็ครอบครัวขโมย ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กไม่มีใครดีสักคน ท่านอยู่ห่างๆ พวกเขาดีกว่า ระวังจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย!”
ผู้เฒ่าอวิ๋นโกรธจนตัวสั่น เขาตีอวิ๋นโส่วจู่ได้ แต่ตีอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ไม่ได้ มิเช่นนั้นเถาซื่อคงข่วนหน้าเขาแน่!
“ครอบครัวนี้มันใจดำ น่าจะจับไปกินข้าวคุกให้หมดตั้งนานแล้ว!” ทางที่ดีก็จับไปให้หมด จากนั้นทรัพย์สินของพวกเขาก็จะเป็ของนาง เป็ของเ้าห้าของนาง! เถาซื่อคิดในใจอย่างเปี่ยมความหวัง
อวิ๋นเจียวแอบกลอกตามองบนอยู่ในใจ ผู้เฒ่าอวิ๋น ‘ปกป้อง’ บิดาของนางได้ ‘ดี’ เสียจริง
นางเอ่ยขึ้น “ท่านปู่ ตาข้างไหนของท่านที่เห็นว่าข้าขโมยของไปหรือเ้าคะ? เหตุใดถึงได้มั่นใจเช่นนี้ คนที่รู้ก็รู้ว่าท่านเป็ปู่ข้า คนที่ไม่รู้คงคิดว่าข้าเป็ศัตรูของท่านแน่ๆ”
กล่าวจบ นางก็ปรายตามองเถาซื่อและอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ จากนั้นก็พูดต่อว่า “อ้อ ท่านย่า อาหญิง แล้วก็อาสี่ อาสะใภ้สี่ พวกท่านมองพวกเราเป็ศัตรูมานานแล้ว คงอยากให้ครอบครัวพวกข้าถูกจับไปให้หมดสินะ!”
ทันทีที่นางพูดจบ ก็มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยเห็นด้วย “นั่นน่ะสิ เมื่อกี้นี้หลิ่วซื่อเพิ่งพูดกับพวกเราอยู่ที่ริมแม่น้ำว่า บ้านของพวกเ้ากำลังจะพบเจอเื่ไม่ดีแล้ว พูดอย่างกับรู้ล่วงหน้าว่าครอบครัวพวกเ้าต้องมีวันนี้แน่ๆ”
“ใช่ๆ พวกเราก็ได้ยิน”
หญิงสาวในหมู่บ้านอีกหลายคนที่ใจกล้าหน่อย ต่างก็เอ่ยสนับสนุน เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นโส่วจู่และผู้เฒ่าอวิ๋นต่างก็มองหลิ่วซื่อด้วยสายตาเฉียบคม
หลิ่วซื่อใจนตัวหด อึกอักแก้ตัวว่า “นั่นโส่วจู่สามีข้าเป็คนพูดต่างหาก!”
อวิ๋นโส่วจู่ยกมือตบหน้านางฉาดใหญ่ จนแก้มบวมขึ้นมาทันที หลิ่วซื่อเอามือปิดหน้าร้องไห้ พออวิ๋นโส่วจู่ตวาดใส่ทีหนึ่ง นางก็ไม่กล้าร้องไห้เสียงดังอีก
จากนั้นอวิ๋นโส่วจู่ก็ยิ้มแหยๆ อธิบายกับผู้เฒ่าอวิ๋นว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าไปฟังนางพูดเหลวไหล ข้าหวังดีกับพี่รองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะไปพูดเช่นนั้นกับนางได้อย่างไร?”
พูดจบ เขาก็หลบไปอยู่ด้านหลังเถาซื่อ ผู้เฒ่าอวิ๋นโกรธจนหน้ามืด แต่เพราะมีเถาซื่ออยู่ข้างๆ เขาจึงทำอะไรไม่ได้
เมื่อจัดการเื่ในบ้านไม่ได้ ผู้เฒ่าอวิ๋นจึงหันไปเกลี้ยกล่อมอวิ๋นโส่วจงอีก “ข้าไม่ได้เห็นว่าอวิ๋นเจียวไปขโมยของ แต่เด็กๆ ก็ชอบซุกซน เห็นของอะไรก็อยากได้ ก็เลยแอบหยิบติดมือมาโดยไม่รู้ว่าจะนำภัยมาสู่ครอบครัว”
“อีกอย่างผู้ดูแลจางของร้านยาจี้เหรินถังก็พูดแล้วไม่ใช่หรือ ว่าเห็นอวิ๋นเจียวเอาไป พวกเขาคงไม่พูดมั่วๆ โดยไม่มีหลักฐานหรอก! เ้ารีบให้อวิ๋นเจียวเอาของที่ขโมยมาคืนซะ อย่ารอให้พวกเขาค้นเจอ ไม่เช่นนั้นโทษหนักแน่!”
อวิ๋นโส่วจงมองผู้เฒ่าอวิ๋นอย่างเ็า เขาไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยของบิดาเลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกหนาวเหน็บในใจ เหมือนที่เจียวเอ๋อร์พูด เขาไม่ได้รู้เื่รู้ราวอะไรเลยแม้แต่น้อย ก็ฟันธงว่าเป็คนในครอบครัวที่ไปขโมยของ ยอมเชื่อคนนอก แต่ไม่ยอมเชื่อคนในครอบครัว ‘การปกป้อง’ เช่นนี้ เขาไม่้า!