กระบี่ยาวเย็นเฉียบในมือของลวี่จู๋ จ่อคอมู่จื่อหลิงโดยไม่ทันตั้งตัว
มู่จื่อหลิงรู้ดีว่ากระบี่ที่อยู่บนคอของนางในยามนี้ไม่ต่างจากกริชของเฉิงอวี้ เพียงขยับเล็กน้อยนางก็จะได้รับาเ็
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าคนตรงหน้าจะ ‘ตาบอด’ ไม่อาจแยกแยะคนได้ แต่สมองกลับปราดเปรื่องยิ่งกว่าเฉิงอวี้
ไม่สิ ด้วยไม่รู้ว่านางเป็ใคร ดังนั้นจึงขู่นางเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าลวี่จู๋ระแวดระวังขนาดไหน
คนที่พูดด้วยกำลัง ไม่ฉลาดที่จะลอบโจมตีในระยะประชิด
“ข้าวิ่งเสียที่ไหน ข้าไม่ได้วิ่ง!” มู่จื่อหลิงแสร้งโง่
โชคดีที่สิ่งที่อยู่บนคอนางคือกระบี่ไม่ใช่เข็ม ไม่เช่นนั้นนางคงเผยตัวก่อนโดยไม่รออีกฝ่ายข่มขู่
“ไม่วิ่งหรือ?” ดวงตาของลวี่จู๋หรี่ลงอย่างน่ากลัว ร่องรอยความโกรธฉายชัดในดวงตาของนาง “เ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ?”
มู่จื่อหลิงคิดกับตนเอง บอกว่าเ้าตาบอด เ้ากลับไม่ยอมรับ ทั้งที่คนที่เ้ามองหากำลังยืนอยู่ตรงหน้าเ้าอย่างเปิดเผยแท้ๆ
ในขณะที่พูด กระบี่ในมือลวี่จู๋ก็เคลื่อนไหว คมกระบี่เย็นเฉียบััคอมู่จื่อหลิงจนรู้สึกได้ถึงความเย็น
หัวใจมู่จื่อหลิงหยุดเต้นไปครู่หนึ่ง นางก็หวาดกลัวเช่นกัน
เพราะนางรู้ว่าหากนางโดนคมกระบี่นี้ นางต้องถึงคราวตายเป็แน่!
สมควรตาย! มู่จื่อหลิงแอบกำหมัดแน่น!
ยามนี้อีกฝ่ายจำนางไม่ได้ นางต้องไม่ทำอะไรให้ขาม้าโผล่ [1] ไม่เช่นนั้น นางจะถูกหญิงชุดเขียวฆ่าทันที
ทางออกเดียวในยามนี้คือแสร้งโง่ พูดไร้สาระต่อไป
ดวงตามู่จื่อหลิงเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว นางยกมือขึ้นเล็กน้อย เหยียดนิ้วดำออก ชี้กระบี่ตรงคออย่างสั่นเทา
เปิดปากออก ใช้เวลานานก่อนที่นางจะบังคับเสียงตะกุกตะกักให้ออกจากปากได้ “นี่ แม่นางผู้นี้ อย่า! อย่ามองเพียงข้าเป็คนผิวดำ ข้าไม่ใช่คนเลวร้าย ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า กระบี่ไม่มีตา เ้า...”
แต่ลวี่จู๋กลับไม่เปิดโอกาสให้มู่จื่อหลิงพูดเื่ไร้สาระ มือที่จับกระบี่ขยับเล็กน้อย คมกระบี่ส่องแสงประกายแสงเย็น
เพียงพริบตา คราบเืจางๆ ก็ถูกวาดลงบนคอเรียวยาวของมู่จื่อหลิง คำพูดที่ยังไม่จบของนางติดอยู่ในลำคอทันที
มู่จื่อหลิงให้ความร่วมมือเป็อย่างดี ร่างกายสั่นสะท้านในทันใด หากปราศจากการคุกคามของกระบี่ยาวบนคอ เท้าของนางคงอ่อนแรงทันที
ยามอยู่ต่อหน้าผู้ที่รักชีวิตหวาดกลัวความตาย ลวี่จู๋นึกเย้ยหยัน ในใจรู้สึกดูถูกเหยียดหยามยิ่งขึ้น
ดวงตาของนางจ้องมู่จื่อหลิงอย่างเ็า “บอกมา! เ้าเคยเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม ยามนี้เ้าซ่อนอะไรอยู่ เ้าถึงได้คิดวิ่งหนี เ้าร้อนตัวใช่หรือไม่?”
ความชื้นก่อตัวขึ้นในดวงตามู่จื่อหลิง นางกลัวจนแทบจะร้องไห้ รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ ไม่ ข้าไม่เห็นจริงๆ ข้าสาบาน...”
เห็นได้ชัดว่าลวี่จู๋ไม่เชื่อ นางหรี่ตาเล็กน้อย มอง ‘ใบหน้าดำคล้ำ’ ของมู่จื่อหลิงอย่างระมัดระวัง รู้สึกแปลกกับคนตรงหน้ามากขึ้น
แต่มีสิ่งใดแปลกนั้น นางไม่อาจบอกได้
คนตรงหน้าตัวดำมากจริงๆ ดำคล้ำฝังถึงเนื้อหนัง หากเป็การปลอมตัว ย่อมเป็ไปไม่ได้
เป็ผิวดำโดยเนื้อแท้ เกิดมาขี้เหร่ สกปรกโดยธรรมชาติ
แต่หากคนชุดดำผู้นี้ไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาด? เหตุใดนางถึงหนี?
ไม่แน่ใจว่า...เป็เพราะนางร้อนตัวหรือไม่
ยิ่งลวี่จู๋คิดเกี่ยวกับเื่นี้มากเพียงใด คนชุดดำตรงหน้าเขาก็ยิ่งดูน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น
หากคนผิวดำผู้นี้รู้ที่อยู่ของมู่จื่อหลิง นางหญิงสารเลวผู้นั้น เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องเสียเวลาตามหามัน
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มู่จื่อหลิงเก็บตัวอยู่ในจวนอ๋องไม่ออกมา สิ่งนี้ทำให้พวกนางหดหู่ใจจนคันไม้คันมือ
ในที่สุดก็รู้ว่ามู่จื่อหลิงมาที่เขาโฮ่วซานอีกครั้ง แต่หลังจากค้นหาเป็เวลานานกลับไม่พบร่องรอยของนาง
ดวงตาเ็าของลวี่จู๋จ้องมู่จื่อหลิงไม่กะพริบ พยายามมองหาบางสิ่งจากใบหน้าดำมืดของนาง บนหน้ามีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มองเห็นได้ชัด
น่าเสียดายที่ภายในดวงตาใสคู่นั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากความหวาดกลัวและน้ำตา
เมื่อเห็นลวี่จู๋มองดูนางอย่างละเอียดด้วยสีหน้าที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ ลอบกรีดร้องในใจว่าแย่แล้ว
หรือนางสงสัยอะไรบางอย่าง?
ไม่ว่าจะสงสัยหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่ดีสำหรับนาง
ยามที่มู่จื่อหลิงกำลังโต้กลับ เตรียมเผชิญหน้า
ทันใดนั้น แววตาอาฆาตดุร้ายก็ฉายผ่านดวงตาของลวี่จู๋ เพิ่มกำลังลงในกระบี่อีกเล็กน้อย าแที่คอของมู่จื่อหลิงลึกมากยิ่งขึ้น
“อย่า...” ใบหน้าของมู่จื่อหลิงแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว นางไม่กล้าขยับ
าแที่คอของนางมีเืสีแดงสดไหลลงมาในทันที ไหลไปตามคมกระบี่ยาวช้าๆ ราวดอกปี่อั้นบานสะพรั่ง
ภัยคุกคามจากการกระทำย่อมมีพลังมากกว่าการคุกคามด้วยคำพูดเสมอ
น่าเสียดายที่ไม่ว่าลวี่จู๋จะขู่อย่างไร เมื่อมู่จื่อหลิงต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่เขาไท่ซานทรุดลงต่อหน้า แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยน นางที่เป็ดั่งเสือกระดาษตัวหนึ่ง จะทำอะไรได้
ลวี่จู๋ทั้งเ็าและจริงจัง ขู่อีกครั้งอย่างรุนแรง “ถอดหน้ากากออก!”
ถอดหน้ากาก?
ช่างน่าขันอะไรเช่นนี้!
ถอดหน้ากากออกยามนี้ เท่ากับนางกำลังมองหาความตายโดยตรงไม่ใช่หรือ? คนโง่เท่านั้นที่จะถอดออก
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลวี่จู๋พูดเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สิ่งที่นางกลัวในยามนี้คือหญิงชุดเขียวจะถอดหน้ากากบนใบหน้าของนางออก แล้วนางจะถูกจดจำได้ทันที จากนั้นหัวคงหลุด
ตราบใดที่หญิงชุดเขียวคร้านเกินกว่าจะขยับมือ ‘สูงส่ง’ ของตนขึ้นมาถอดหน้ากากนางออก ก็ยังพอเหลือหนทางสุดท้ายให้นางได้ถอยกลับ
มู่จื่อหลิงกัดฟันทนความเ็ป
ในขณะเดียวกันนางก็แอบคร่ำครวญในใจ นางคาดไม่ถึงจริงๆ ว่านอกจากคนผู้นี้จะไม่รู้วิธีสนทนาแล้ว อารมณ์ของนางก็ยังดุดัน
จะพูดก็พูด ทั้งยังยกกระบี่ใส่ตนเองอีก ไม่ต้องพูดถึงการคุกคามในยามนี้ด้วยนางทำมันไปแล้วหลายครั้ง
ลุงทนได้ แต่ป้าจะไม่ทน [2]!
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว ไม่ว่าสุดท้ายนางจะถูกจับได้หรือไม่ สตรีตรงหน้านางย่อมไม่สนใจว่านางเป็ใคร สุดท้ายก็จะฆ่านางอยู่ดี
สถานการณ์ในยามนี้ตึงเครียดอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ
มู่จื่อหลิงครุ่นคิดอยู่ในใจ
โอกาสสุดท้ายแล้ว ต้องทำให้กระบี่ในมือคนผู้นี้ออกห่างจากคอให้ได้
ด้วยคอของนางในยามนี้ถูกบาดไปแค่ิัชั้นนอก หากบาดลึกลงไปอีกนิด จะตัดเข้าหลอดเืแดง เช่นนั้นคงจบสิ้นแล้ว
มู่จื่อหลิงมองเห็นเืไหลตามคมกระบี่ออกมาจากาแของตนจากหางตา กำลังจะไหลไปถึงมือของคนผู้นั้น สีหน้าของนางสั่นไหวเล็กน้อย
ในชั่วพริบตา มู่จื่อหลิงก็เกิดความคิดขึ้นมา
เื่ไร้สาระต่อไปจะเป็ตัวตัดสินว่าจะอยู่หรือตาย
ั้แ่แรกพบ นางเลือกที่จะแกล้งป่วยอย่างชาญฉลาด ดังนั้นยามนี้ถึงเวลาใช้ประโยชน์จากมันแล้ว
มู่จื่อหลิงแสร้งทำเป็ไอสองครั้ง คอของนางสั่นอย่างรุนแรง แต่ความเ็ปที่คอทำให้น้ำตานางไหลทันที
เพื่อความอยู่รอด นางต้องพยายามอย่างหนัก!
มู่จื่อหลิงพูดพร้อมกับร้องไห้อย่างหวาดกลัว “หน้ากากนี้ไม่สามารถถอดได้ เ้า เ้าคงไม่รู้ ข้าเพิ่งหนีออกมาจากเมืองหลงอัน กำลังจะออกจากเมืองเพื่อไปหาหมอ ข้าเพียงนึกว่ามีเ้าหน้าที่หรือทหารไล่ตามมา และด้วยกลัวจะถูกจับตัวอีกครั้ง ข้าจึงหนี ข้าติดโรคระบาด...”
สิ่งที่มู่จื่อหลิงพูดนั้นชัดเจนและสมเหตุสมผล สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อนางได้ยินคำว่าโรคระบาด สีหน้าของลวี่จู๋ก็เปลี่ยนไป นางพูดไม่ออก “เ้า...”
หลังจากนั้น
“อา! เืของข้าไหลถึงมือเ้า...” มู่จื่อหลิงมองด้ามกระบี่ที่ลวี่จู๋จับอยู่ แล้วกรีดร้อง
เพียงได้ยินสามคำสุดท้ายว่า ‘ถึงมือเ้า’ ไม่รอให้มู่จื่อหลิงพูดจบ นางก็รู้สึกได้ว่าอันตรายอันแสนหนาวเย็นตรงคอหายไปแล้ว
ลวี่จู๋ถ่มน้ำลายอย่างเ็า “สมควรตายนัก! โชคร้ายอะไรเช่นนี้!”
นางทำท่าราวััถูกสิ่งที่สกปรกน่ากลัว จากนั้นนางจึงโยนกระบี่ในมือทิ้งไป ถอยห่างออกไปหลายก้าว จนหยุดห่างจากมู่จื่อหลิงหลายเมตร
เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็มีความสุขมาก
ข้ารอ่เวลานี้มานานแล้ว
มุมปากของมู่จื่อหลิงโค้งขึ้นอย่างเ็า ดวงตาน่ากลัวคู่หนึ่งฉายแสงเย็นน่าสะพรึงกลัวออกมา
ทันใดนั้น!
ในความมืดมิดแห่งราตรีกาล มู่จื่อหลิงยกมือขึ้น เปิดฝ่ามือออก ทันใดนั้นแสงสีม่วงแพรวพราวก็สว่างขึ้นในฝ่ามือนาง
จากสัญชาตญาณของนักรบ ลวี่จู๋ตระหนักได้ทันทีว่านางถูกหลอก เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในดวงตานาง พุ่งตรงเข้าหามู่จื่อหลิงอย่างไร้ความปรานี
แม้ว่าใบหน้าที่ลวี่จู๋เห็นจะยังคงเป็สีดำคล้ำ แต่เมื่อมีแสงสีม่วงพร่างพราว ก็ทำให้เห็นดวงตาใสคู่งามของมู่จื่อหลิงได้ชัดเจน ดวงตาเปล่งประกายมีเสน่ห์ยิ่ง
เพียงแวบเดียว ลวี่จู๋ก็รู้ว่าคนชุดดำคือใคร ดวงตาของนางลุกเป็ไฟด้วยความโกรธ นางเอ่ยทีละคำว่า “กลายเป็เ้า มู่! จื่อ! หลิง!”
“ถึงยามนี้แล้ว กลับเพิ่งรู้ว่าเป็ข้า มันสายไปแล้ว” มู่จื่อหลิงเย้ยหยัน สั่งขึ้นมาว่า “เสี่ยวไตกู ไป!”
เสี่ยวไตกูที่ได้รับคำสั่งจากเ้านายตัวน้อย แลบลิ้นยาวเล็กที่ไม่อาจมีสิ่งใดเทียบได้ออกมาทันที ลิ้นยาวเล็กราวกับแถบแพรพลิ้วไหว พุ่งตรงเข้าหาร่างลวี่จู๋
เมื่อเห็นแสงแปลบราวฟ้าแลบ ลวี่จู๋ตระหนักถึงอันตรายและหลบไปด้านข้างในทันที
นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ยื่นยาวนั้นคืออะไร แต่มู่จื่อหลิงมั่นใจในสิ่งนั้นมาก เป็ไปไม่ได้ที่ลวี่จู๋จะพุ่งเข้าต่อกรมันอย่างโง่เขลา
ดังนั้นใน่เวลานี้เนื่องจากลวี่จู๋้าหลีกเลี่ยงลิ้นเรียวยาวสีแดงสด จึงเอื้อมมือไปหยิบกระบี่ที่นางโยนทิ้งไป
น่าเสียดายที่นางช้าไปหนึ่งก้าว
ยามลวี่จู๋หลบลิ้นยาวของเสี่ยวไตกู ดูเหมือนมู่จื่อหลิงจะคาดการณ์การเคลื่อนไหวต่อไปของนางไว้ก่อนแล้ว นางจึงจับเสี่ยวไตกูไว้เบาๆ แล้วเหวี่ยงมือไปในแนวนอน
ความเร็วในการสะบัดของมู่จื่อหลิง ประสานกับความเร็วในการบิดลิ้นของเสี่ยวไตกู แตะลงบนกระบี่ของลวี่จู๋โดยที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว
กลางอากาศ ลิ้นยาวสีแดงสดของเสี่ยวไตกูแผดเสียงดังฉ่า พิษถูกพ่นออกมา พุ่งเข้าใส่กระบี่คมแวววาวอย่างแม่นยำ
เพียงพริบตา กระบี่คมกริบที่ทำจากเหล็กดำก็ละลายรวมกับพื้นด้านล่างราวกับเป็เพียงเชือกอ่อนปวกเปียก ไม่สามารถใช้งานได้อีก
ยามเห็นภาพนี้ ดวงตาของลวี่จู๋เปล่งประกายด้วยความสยดสยอง กลิ่นอายสังหารรุนแรงขึ้น “นางสารเลว! ไปลงนรกซะ”
ลวี่จู๋โน้มตัวเล็กน้อยก่อนที่นางจะพูดจบ หยิบมีดบินที่ซ่อนอยู่ตรงข้อเท้าออกมา เตรียมขว้างมีดบินใส่มู่จื่อหลิง
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันเสี่ยวไตกูก็แลบลิ้นยาวเข้าหานางอีกครั้ง
ลวี่จู๋หลบไม่ทัน คอของนางจึงถูกลิ้นยาวของเสี่ยวไตกูพันไว้อย่างแ่าในทันที......
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ขาม้าโผล่ (露出马脚) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า มีช่องโหว่ มีพิรุธ
[2] ลุงทนได้ แต่ป้าจะไม่ทน (叔可忍婶不可忍) เป็วลี มีความหมายว่า เื่นี้ยากเกินกว่าที่จะอดทน หรืออดทนไม่ไหวแล้ว