ผลไม้สีทองขนาดเท่าฝ่ามือ มีลวดลายแปลกตาอยู่ในมือของไป๋เสีย เดิมทีลู่เต้าที่ง่วงซึมอยู่พลันรู้สึกหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง สมองปลอดโปร่งขึ้นมาฉับพลัน
“ผลไม้นี่...มาจากไหน” ลู่เต้าจ้องมองผลไม้อย่างพิจารณา เหมือนกับที่งอกออกมาจากต้นไม้ิญญาคราวก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
นิ้วเรียวของไป๋เสียกดลงเบาๆ บนท้องน้อยของลู่เต้า “ย่อมเป็ผลไม้จิติญญาที่ท่านปฐมบรรพชนประทานให้”
“เอ๋” ลู่เต้าใช้มือทั้งสองข้างลูบท้องที่ป่องขึ้นอย่างประหลาดใจ “ั้แ่เมื่อไรกัน ทำไมข้าไม่รู้สึกตัวเลย”
“ก็ตอนที่เ้ากำลังกินอย่างตะกละตะกลามนั่นแหละ” ไป๋เสียกล่าวพลางทะนุถนอมผลไม้สีทองในมือราวกับเป็สมบัติล้ำค่า
พูดจบไป๋เสียก็ยัดผลไม้สีทองเข้าไปในปากของลู่เต้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
ปากของลู่เต้าถูกผลไม้อุดจนทำได้เพียงกัดลงไปคำหนึ่ง ผลไม้พลันแปรเปลี่ยนเป็กระแสน้ำอุ่นไหลผ่านลำคอลงสู่กระเพาะแผ่ซ่านไปทั่วร่าง หล่อเลี้ยงกระดูกและเส้นเอ็น
กระแสน้ำอุ่นไหลซึมผ่านกล้ามเนื้อที่อ่อนล้า ค่อยๆ ฟื้นฟูอย่างอ่อนโยน ไม่นานเส้นใยกล้ามเนื้อก็เชื่อมต่อกันอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ปริมาณกล้ามเนื้อยังเพิ่มและหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม กระดูกทั่วร่างก็ซ่อมแซมส่วนที่เสียหายให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
ลู่เต้าไม่เพียงแต่หายเหนื่อยเป็ปลิดทิ้ง ทั่วร่างยังเปี่ยมไปด้วยพลัง รู้สึกมีเรี่ยวแรงไม่รู้จักหมดสิ้น
สุดท้ายกระแสน้ำอุ่นก็ไหลเข้าสู่ทะเลปราณ ตะเกียงดาราทั้งเจ็ดที่เงียบสงบมานาน ดาราในตำแหน่ง “เหยาก่วง [1]” สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เต้ารีบเพ่งมองเข้าไปในทะเลปราณ ไปยังไส้ตะเกียงที่เปลวไฟสีม่วงกำลังลุกไหม้อยู่
เปลวไฟสีม่วงที่เต็มไปด้วยพลังมารบนไส้ตะเกียงส่ายไหวอย่างน่าประหลาด ยิ่งลู่เต้ามองก็ยิ่งรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่า ใบหน้าเรียบเฉย
ในห้วงภวังค์ที่สติเลือนราง เขามองเห็นท่านปู่ที่ล่วงลับไปแล้วกำลังโบกมือเรียกเขาจากกองเพลิง เขาจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป แต่กลับถูกไป๋เสียที่โผล่มาดึงมือกลับมาเสียก่อน
ลู่เต้ารู้สึกตัว แววตากลับมาปกติ “เอ๊ะ ท่านปู่... ท่านจับมือข้าทำไม”
ไป๋เสียสะบัดมือลู่เต้าออกด้วยท่าทีรังเกียจ แล้วลูบคางครุ่นคิด “จำได้ว่าตอนที่กินผลไม้เข้าไปคราวก่อน ไส้ตะเกียงก็ถูกจุดขึ้นแบบนี้ จากนั้นก็ตายไปครั้งหนึ่งถึงจะดับลง ดังนั้น คาดว่าจำนวนครั้งที่ใช้พลังวัฏจักรสงสารได้น่าจะสัมพันธ์กับจำนวนไส้ตะเกียง”
เขาจ้องมองเปลวไฟที่ลุกไหม้อย่างตั้งใจ แล้วกล่าวต่อว่า “เทียบกับเปลวไฟอันบริสุทธิ์ในคราวก่อน ครั้งนี้ดูขุ่นมัวกว่ามาก”
ในใจไป๋เสียมีลางสังหรณ์ว่าหากเปลวไฟนี้ขุ่นมัวทั้งหมด ลู่เต้าจะต้องพบกับหายนะที่แม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
“พลังนี้ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง” ไป๋เสียวางสายตาไปที่เปลวไฟอันขุ่นมัวบนไส้ตะเกียง พร้อมตัดสินใจทันทีว่า “พลังวัฏจักรสงสารน่าจะเป็พลังต้องห้ามที่แท้จริง การใช้โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา จะต้องเจอกับผลสะท้อนกลับอย่างมหาศาล นี่คงเป็คำเตือนจากเปลวไฟ”
“หมายความว่า อย่าให้ข้าไปตายสุ่มสี่สุ่มห้าอย่างนั้นสินะ”
ลู่เต้าฟังแล้วก็ยังงุนงง ถือโอกาสนี้บิดี้เีเคลื่อนไหวร่างกาย เสียงดังกรอบแกรบของกล้ามเนื้อดังขึ้นทุกครั้งที่ขยับ รู้สึกโล่งสบายไปทั่วร่าง
ไป๋เสียอ้าปากคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กล่าวว่า “เ้าจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้”
“เช่นนั้น ท่านวางใจเถิด ใครเขาอยากจะตายเล่นกัน” ลู่เต้าหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง ะโลงจากเตียง เดินไปที่โต๊ะหินอ่อนสีดำ หยิบลูกแพร์ลูกใหญ่จากจานที่ทำจากทองคำกัดแล้วเคี้ยวกร๊วบๆ “ผลไม้แบบนี้อร่อยกว่าเยอะเลย”
ขณะที่ลู่เต้ากำลังกินลูกแพร์อย่างเอร็ดอร่อย ไป๋เสียก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ดูเหมือนว่าต้องหาทางดึงดูดสาวน้อยคนนั้นให้มาร่วมมือแล้ว”
ลู่เต้าสำลัก ไอค่อกแค่กจนหน้าแดงก่ำ “ทะ...ทำไมเล่า”
ไป๋เสียกล่าว “ยังต้องถามอีกหรือ หลังจากที่เ้ากินอาหารที่นางทำ ต้นไม้ิญญาถึงได้งอกเงยออกมา เช่นนั้น อย่างน้อยอาหารหนึ่งในนั้นต้องมีส่วนผสมของอาหารจิติญญา หรือไม่ก็...”
ไป๋เสียจ้องมองลู่เต้าด้วยรอยยิ้มเขี้ยวลากดิน “นางมีความสามารถในการทำให้อาหารธรรมดากลายเป็อาหารจิติญญาได้!”
เมื่อลู่เต้าถูกไป๋เสียจ้องมองเช่นนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา พลันสังหรณ์ใจว่าจะมีเื่ไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
***
ยามราตรีมาเยือน แสงไฟในจวนสกุลหงค่อยๆ ดับลง ภายในห้องของหงฝูมีเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนห้องของหงฮวาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงมีแสงเทียนส่องสว่าง
หงฮวานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังพลิกดูตำราอาหารเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งอย่างตั้งใจใต้แสงเทียน ภายในเล่มบันทึกวิธีทำอาหารต่างๆ ของแคว้นบูรพาคราม อาหารในค่ำคืนนี้เองก็ใช้วิธีทำจากตำราเล่มนี้ไม่น้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น หงฮวารีบเก็บตำราอาหารอย่างลุกลี้ลุกลน พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็ปกติก่อนเอ่ยถามว่า “มีอะไรหรือ”
“คุณหนู ค่ำมืดแล้ว ได้เวลาพักผ่อนแล้วเ้าค่ะ” สาวใช้ด้านนอกเอ่ยเสียงแ่เบา
หงฮวาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อืม ข้าจะอ่านอีกหน่อยแล้วค่อยไปพัก เ้ากลับไปก่อนเถิด"
“เ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยจบก็เดินจากไป
หงฮวาตั้งใจฟัง จนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หยิบตำราอาหารเก่าคร่ำคร่าขึ้นมาพลิกดูอีกครั้ง เปิดเร็วๆ ไปที่หน้าสุดท้าย
บนหน้ากระดาษมีลายมือหวัดๆ ที่หงฮวาอ่านไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยเืสีดำติดอยู่อีกด้วย
หงฮวาพลิกตำราอาหารเล่มนั้นไปมา แต่ก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่บันทึกไว้ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ “ท่านแม่ หน้านี้ท่านเขียนอะไรลงไปกันแน่”
ขณะที่นางกำลังกลัดกลุ้มใจที่มิอาจเข้าใจเนื้อหาในตำราอาหารได้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแ่เบาอีกครั้ง หงฮวาเงยหน้ามองไปที่ประตูห้องโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีใครอยู่นอกประตู และก็ไม่มีใครเดินผ่านไปเช่นกัน
ขณะที่หงฮวากำลังสงสัยว่าเสียงฝีเท้ามาจากไหน บนหลังคาก็มีเสียงเสียดสีจากการเหยียบกระเบื้องดังขึ้นอย่างชัดเจน
“มีขโมย!” หงฮวาคิดจะะโร้องขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อคำว่า “ช่วยด้วย” มาถึงปลายลิ้น นางก็เปลี่ยนใจ หงฮวาเป่าดับแสงเทียนทั้งหมดในห้อง แสร้งทำเป็ว่าหลับไปแล้ว แต่ความจริงแล้วกลับหยิบไม้ท่อนใหญ่เท่าข้อมือ เงยหน้ามองบนหลังคาตามเสียงฝีเท้า
เสียงฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนมาถึงชายคา ได้ยินเพียงเสียงลงกระทบพื้นเบาๆ อาศัยแสงจันทร์เห็นเงาตะคุ่มๆ ทาบทับลงบนกระดาษหน้าต่าง อีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาใกล้หน้าต่าง
หงฮวาเดินไปข้างหน้าต่างด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ ยืนพิงผนังเงื้อไม้ท่อนใหญ่ขึ้นสูง หากอีกฝ่ายกล้าบุกเข้ามาในห้อง นางจะใช้ไม้ท่อนนี้สั่งสอนเสียให้เข็ดหลาบ
เมื่อเงาตะคุ่มๆ มาถึงข้างหน้าต่าง ก็หยุดฝีเท้าพึมพำเบาๆ ว่า “หลับไปแล้ว งั้นช่างเถอะ...”
หงฮวาใ รีบกัดริมฝีปากล่างแน่นคิดในใจ ‘ที่แท้ก็มีพรรคพวก’
‘ไม่สิ เงามีแค่ร่างเดียว คนผู้นี้...’ หงฮวาขมวดคิ้ว ‘กำลังพูดคนเดียวอย่างนั้นหรือ’
“เข้าใจแล้ว...ข้าจะลองดูก็แล้วกัน” น้ำเสียงของอีกฝ่ายคุ้นหูยิ่งนัก ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
ร่างเงายื่นมือออกมาทางหน้าต่าง หงฮวามองด้วยความประหม่า กำไม้ท่อนใหญ่ในมือแน่นเตรียมพร้อมที่จะฟาดลงไปได้ทุกเมื่อ
ใครจะรู้ว่าหน้าต่างกลับไม่ได้ถูกร่างเงานั้นผลักเปิดออก แต่กลับมีเสียง “กึกๆ” ดังขึ้นสองครั้ง
“คุณหนูหง ท่านหลับไปแล้วหรือยัง” เสียงของลู่เต้าดังผ่านหน้าต่างกระดาษเข้ามากระทบโสตประสาทของหงฮวาแจ่มแจ้ง
[1] เหยาก่วง หมายถึง ดาวอัลไคด์ ดาวที่อยู่ทิศตะวันออกที่สุดในกลุ่มดาวหมีใหญ่
