“พวกเราสองครอบครัวไม่จำเป็ต้องเกรงใจกันหรอก พวกเ้าทั้งสองก็อย่าได้เห็นข้าเป็คนนอกไปเลย” หวังไห่โบกมือปฏิเสธ ไม่ยอมรับเงินค่าลูกสุนัข
หลี่ซานปรายตามองไปทางจ้าวซื่อครู่หนึ่ง แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่คุ้นชินกับความเป็มิตรของหวังไห่ แต่จ้าวซื่อกลับยิ้มตอบอย่างสบายใจ “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านแทนเด็กๆ ด้วยเ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้นำผลไม้สดและผลไม้แห้งมาจัดเรียงลงบนโต๊ะแปดเซียน หวังไห่ก็มิได้เกรงใจ หยิบแอปเปิลสีแดงสดขึ้นมาลูกหนึ่งกัดกินไปจนหมด จากนั้นจึงกล่าวเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม “ข้านำเงินมาให้พวกเ้า”
หลี่ซานกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “นำเงินมาให้หรือ”
แววตาของจ้าวซื่อเป็ประกาย “อ้อ... พี่ใหญ่หวังหมายถึง เงินส่วนแบ่งค่าก่อเตียงเตาสำหรับครอบครัวเราหนึ่งส่วนสิบกระมัง” เื่นี้นางเคยบอกหลี่ซานแล้ว แต่อีกฝ่ายอาจคิดว่าการก่อเตียงเตาทำเงินได้ไม่มากจึงไม่ได้เก็บไปใส่ใจ
“ถูกต้องแล้ว หลายวันมานี้คนในตระกูลข้าสิบกว่าคนไปก่อเตียงเตาให้บ้านคนในตำบลจินจีทั้งสิ้นสิบสี่หลัง รวมแล้วได้เงินเจ็ดตำลึงเจ็ดร้อยห้าสิบทองแดง ส่วนแบ่งของพวกเ้าคือ เจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าทองแดง” ยามที่หวังไห่กล่าวถึงเงินน้ำเสียงก็ระคนไปด้วยความตื่นเต้น กล่าวจบก็หยิบถุงบรรจุเงินทองแดงที่เตรียมไว้ออกมาวางลงเบื้องหน้าหลี่ซาน
หลี่ซานกล่าวด้วยความตกตะลึง “เงินมากเพียงนี้เชียวหรือ”
หวังไห่กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกเราทำงานกันอย่างดี ทำอย่างละเอียด อีกทั้งในตำบลก็มีคนรวยอยู่มาก มีครอบครัวใหญ่หลายครอบครัวที่ให้ค่าแรงเกินมา ทั้งยังมอบเงินถุงแดงให้เป็รางวัลอีกด้วย”
“ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ฝนตกมาก วันนี้ก็ตกทั้งวัน อีกไม่นานอากาศจะเย็นแล้ว จากนั้นคนที่จะมาให้ท่านช่วยก่อเตียงเตาจะต้องมากขึ้นเป็แน่” จ้าวซื่อเห็นหลี่ซานจับจ้องไปยังถุงเงินอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงยื่นเท้าไปสะกิดขาหลี่ซานที่ใต้โต๊ะ
หวังไห่กล่าวเสียงใส “เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว วันนี้ฝนตกหนักยังมีคนวิ่งนำเงินมาให้ถึงบ้าน กล่าวว่า้าให้ข้าไปช่วยก่อเตียงเตา”
จ้าวซื่อกล่าวอย่างยินดี “ดียิ่งนัก”
“คาดว่าเมื่อผ่านปีใหม่ไปแล้วงานก่อเตียงเตาของพวกเราคงมีมาให้ทำไม่จบไม่สิ้น” หวังไห่อารมณ์ดียิ่งนัก แม้บุรุษผู้เป็เ้าบ้านตระกูลหลี่อย่างหลี่ซานค่อนข้างเงียบขรึมก็ยังกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เดิมทีเขาตั้งราคาไว้ว่า หากเป็ห้องใหญ่คิดราคาสี่สิบทองแดง หากเป็ห้องเล็กคิดราคาสามสิบทองแดง ตอนนี้ขึ้นราคาแล้ว เป็ห้องใหญ่เจ็ดสิบทองแดง ห้องเล็กห้าสิบห้าทองแดง”
ตอนนี้หลี่หรูอี้นั่งอยู่ข้างกายจ้าวซื่อ ในฐานะที่นางเป็คนริเริ่มเื่การก่อเตียงเตา ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการสนทนา นางพยักหน้าพูดว่า “ยิ่งอากาศหนาวก็ยิ่งทำงานยาก สมควรขึ้นราคาแล้ว”
หวังไห่กล่าวต่อไป “ข้ายังประกาศไปด้วยว่า หากมาสั่งงานเร็วก็ยิ่งถูก หากมาสั่งงานช้าก็ยิ่งแพง”
หลี่หรูอี้ยิ้ม “ลุงหวังมีพร์ทางด้านการค้าจริงๆ เ้าค่ะ ขอให้กิจการก่อเตียงเตาของพวกเราเจริญรุ่งเรือง เงินทองไหลมาเทมา”
หวังไห่หัวเราะเสียงดัง “หรูอี้ ข้าก็ขอให้เ้าโชคดี”
หลี่ซานดึงสติของตนกลับมา แววตาเปล่งประกายคาดหวัง กล่าวอย่างเนิบช้าว่า “พี่ใหญ่หวัง ตอนนี้ครอบครัวเราทำกิจการเล็กๆ หาเงินมาได้บางส่วน จึงคิดให้พวกเด็กชายสี่พี่น้องไปเรียนที่สำนักศึกษาในตำบล ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นแนะนำ จึงนึกถึงท่านเป็คนแรก ท่านเห็นว่าอย่างไร”
แม้ในใจของหวังไห่จะรู้สึกตื่นตะลึง ทว่าใบหน้ายังคงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปมองเด็กชายบ้านหลี่ที่ยืนกันอยู่ตรงประตูห้องโถง นี่เป็คนถึงสี่คนไม่ใช่คนเดียว หากไปเรียนที่สำนักศึกษากันหมดค่าเล่าเรียนในหนึ่งปีก็เป็เงินหลายสิบตำลึงแล้ว บ้านหลี่ร่ำรวยแล้วจริงๆ ทันใดนั้นสายตาที่มองไปยังหลี่ซานก็ยิ่งทอประกายอิจฉาเพิ่มขึ้น กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “พวกเจี้ยนอันเรียกข้าว่าท่านลุงใหญ่ เื่นี้ข้าย่อมเห็นด้วยแน่นอน”
หลี่เจี้ยนอันและเหล่าน้องชายรีบประสานเสียงตอบ “ขอบคุณขอรับท่านลุงใหญ่”
“ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะพาพวกเขาไปพบอาจารย์ที่สำนักศึกษาในตำบล” หวังไห่นั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกลับไป
หลี่ซานลุกขึ้นออกไปส่ง หวังไห่เดินกอดไหล่กว้างของหลี่ซานอย่างสนิทสนม เดินไปพลางก้มลงกระซิบข้างหูว่า “ข้าอายุมากกว่าเ้ายี่สิบกว่าปี พบเจอผู้คนและเื่ราวต่างๆ มามากกว่าเ้า เ้าว่าใช่หรือไม่?”
หลี่ซานรีบตอบ “ขอรับ”
หวังไห่กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “งานสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนทั้งเหนื่อยล้าและทำลายสุขภาพ แต่ละวันก็ได้เงินไม่มาก ทั้งยังทำให้น้องสะใภ้เป็ห่วงความปลอดภัยของเ้าและหลี่สืออีกด้วย”
หลี่ซานส่งเสียงตอบรับไปคำหนึ่ง มองไปยังหวังไห่อย่างไม่เข้าใจนัก
หวังไห่จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กิจการของครอบครัวเ้ายิ่งใหญ่เช่นนี้ กระทั่งนายอำเภอก็ยังมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ เ้าจะต้องเพ่งสมาธิไปกับกิจการของบ้าน คอยดูแลปกป้องกิจการของครอบครัวให้ดี อย่าไปทำงานหนักข้างนอกอีกเลย”
หลี่ซานตอบรับด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “อา... ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าทำการค้าไม่มั่นคง ประเดี๋ยวได้ประเดี๋ยวเสีย หากไม่ระวังจะต้องหมดตัว”
“บ้านเ้าขายอาหาร ใช้เงินลงทุนน้อย จะหมดตัวได้อย่างไร”
หลี่ซานกล่าวเสียงแ่ “ทำการค้าจะโดนผู้อื่นดูถูกเอาได้”
“นั่นเป็เื่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว สมัยนี้ผู้คนให้การต้อนรับพวกพ่อค้าเป็อย่างดี” หวังไห่หยุดยืนอยู่ที่เดิม กระซิบเสียงแ่ว่า “ข้าเคยดื่มเหล้ากับหัวหน้าหมู่บ้านของแต่ละหมู่บ้านอยู่บ่อยๆ ทั้งยังได้ไปที่ตำบลอยู่บ่อยๆ ศาลาว่าการของอำเภอก็เคยไปมาแล้ว เท่าที่ข้ารู้ครอบครัวใหญ่ในตำบลและอำเภอ หรือกระทั่งครอบครัวบัณฑิตหลายครอบครัว ก็ต้องมีคนทำการค้าอยู่ในครอบครัวด้วย”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ” เื่เหล่านี้เป็เื่ที่เกษตรกรธรรมดาอย่างหลี่ซานนึกไม่ถึง
“ครอบครัวของพวกเขาเปิดร้านขายของ เ้าลองคิดดูเถิด หากไม่มีใครทำการค้าแล้วจะเอาเงินจากที่ใดมาให้พวกเขาไปร่วมการสอบจวี่เหริน”
ดวงตาของหลี่ซานถึงกับสั่นไหว
“ไม่ต้องกล่าวไกลตัวเลย ดูอย่างบ้านข้าเถิด ข้าไปรับไข่ไก่และแป้งขาวมาจากนอกหมู่บ้าน แล้วนำมาขายต่อให้ครอบครัวเ้า นี่ก็คือการค้าขายอย่างหนึ่ง เ้าลองดูเถิดว่าในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้ใดดูถูกครอบครัวข้าบ้าง?” หวังไห่ตบบ่า หลี่ซานแรงๆ ครั้งหนึ่ง หวังว่าจะเตือนสติบุรุษโง่งมผู้นี้ได้บ้าง
“ไม่มีใครดูถูกครอบครัวท่านเลยขอรับ” หลี่ซานนึกไปถึงตอนที่เพิ่งกลับเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อวานนี้ ท่าทีของคนในหมู่บ้านที่มีต่อเขามิใช่การดูถูกอย่างแน่นอน แต่้าใกล้ชิดกับครอบครัวของเขาต่างหาก หรือว่าโลกจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ คนทำการค้าจะได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนแล้วหรือ
“เ้าแต่งสะใภ้รู้หนังสือมาคนหนึ่ง นางคลอดบุตรชายบุตรสาวที่รู้จักทำมาค้าขายเพื่อหาเงินก้อนใหญ่มาให้เ้าถึงห้าคน ตัวเ้าไม่อยู่บ้านหลายเดือน บุตรและภรรยายังทำเื่ในบ้านได้ดีเพียงนี้ ในหมู่บ้านเรามีหลายคนที่อิจฉาเ้า มีวาสนาอยู่กับตัวเช่นนี้เ้าก็อย่าได้มองข้ามไปเชียว”
หลี่ซานเดินไปส่งหวังไห่ ทว่ากลับไม่อาจสงบใจได้เลย
“ท่านแม่ บนถุงเงินใบนี้ปักลายนกกางเขนไว้ตัวหนึ่ง ฝีมือการปักไม่เลวเลยเ้าค่ะ คงเป็ฝีมือของพี่สาวในเมืองเยี่ยน กระมัง ประเดี๋ยวข้าจะนำถุงเงิน ผ้า และตะกร้าไผ่ไปให้นาง” หลี่หรูอี้นับเงินเจ็ดร้อยเจ็ดสิบห้าทองแดงอีกรอบหนึ่ง ครบถ้วนไม่มีขาดไม่มีเกิน จากนั้นจึงมอบให้จ้าวซื่อสองร้อยทองแดง ให้พี่ชายทั้งสี่รวมไปถึงหลี่สือคนละสิบห้าทองแดง ส่วนที่เหลือเก็บเอาไว้
นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่สือได้เงินทองแดงมากเพียงนี้ จึงดีใจจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อครู่อยู่ต่อหน้าหวังไห่ หลี่ซานจึงไม่กล้าถาม ในที่สุดตอนนี้ถึงได้ถามขึ้นว่า “เื่การก่อเตียงเตาเป็มาอย่างไรกันแน่?”
หลี่หรูอี้ส่งสายตาเป็สัญญาณไปทางหลี่อิงฮว๋าที่มีคารมคมคาย อีกฝ่ายจึงอธิบายให้หลี่ซานฟังรอบหนึ่ง จากนั้นจึงพาหลี่ซานไปดูเตียงเตาของครอบครัว “ท่านพ่อ น้องห้าให้พวกเราพี่น้องสอนวิธีการก่อเตียงเตาให้คนตระกูลหวัง จากนั้นพวกเราก็นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร รอรับเงินอย่างเดียว”
จ้าวซื่อเอ่ยขึ้นบ้าง “พี่ใหญ่หวังและคนตระกูลหวังรักษาสัญญาอย่างดี นี่ไม่ใช่เงินปันผลหนึ่งส่วนสิบที่พวกเราเพิ่งได้รับเป็ครั้งแรก”
“เมื่อวานข้าก็อยากถามเ้าอยู่ว่า เหตุใดจึงไม่มีเตียงไม้แล้วกลายเป็เพียงดินไปได้ ที่แท้นี่ก็คือเตียงเตานี่เอง” หลี่ซานคิดว่าภายภาคหน้าขอเพียงคนตระกูลหวังออกไปก่อเตียงเตาด้านนอก บ้านหลี่ก็จะมีรายได้จึงดีใจอย่างมาก ไม่คิดกล่าวโทษที่คนในครอบครัวนำทักษะฝีมืออันเป็เอกลักษณ์ของครอบครัวไปสอนให้ผู้อื่น
จ้าวซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อีกไม่นานอากาศจะเย็นแล้ว บ้านของพวกเราก็จุดไฟที่เตียงเตา ให้ท่านนอนบนเตียงอุ่นๆ อย่างสบายใจ”
เช้าวันต่อมา หลี่หรูอี้ทำแป้งย่างใส่ไข่ทั้งหมดสามสิบชิ้น นำผักดองออกมาหนึ่งไหและไข่ไก่อีกห้าสิบฟอง ให้หลี่ซานและสี่พี่น้องหลี่เจี้ยนอันนำไปที่สำนักศึกษาในตำบล
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้