พระสนมเอกเล่อสิ้นใจแล้ว
เหล่าขันทีและนางกำนัลในวังหลวงแคว้นเชินไม่รู้ว่าพวกตนควรจะแขวนธงขาวหรือธงแดงดี
วังหลวงล้วนมีแต่ความวุ่นวาย
ฮองเฮาจ้าวยังคงอุ้มทารกน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดไว้แนบอก ท่าทางอ่อนแอของเด็กน้อยราวกับเพียงหยิกสักครั้งก็อาจจะตายได้ สภาพเช่นนี้คิดจะเติบโตอย่างสงบสุข นางเพ้อฝันอยู่หรือไร
ฮ่องเต้เวินว้าวุ่นราวกับหนูติดจั่น ทั้งยังพิโรธหนัก
ท้องฟ้าและดวงจันทร์ที่ส่องแสงยังสงบนิ่ง
พระจันทร์ก็กระจ่างเสียจนดวงดาวพลอยหมองหม่น
ดวงจันทร์ดวงเดียวกัน
เมื่อมองจากวังหลวงแคว้นเชิน พระจันทร์กลับดูเลือนรางเพราะมีเมฆบดบัง จนทำให้แสงที่ส่องลงมาค่อนข้างขมุกขมัว
ทว่าเมื่อมองจากวังหลวงแคว้นจิง พระจันทร์กลับกระจ่างใสนัก ท้องฟ้าไม่มีเมฆแม้สักก้อน ดูแล้วสะอาดตา
ท้องฟ้าสีหมึกมีดวงจันทร์ลอยเด่นราวกับอัญมณีเม็ดหนึ่งที่ถูกฝังไว้
ใต้ดวงจันทร์และผืนฟ้า วังหลวงแคว้นจิงกลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
ทั้งพระราชวังราวกับอยู่ในยามกลางวัน
เพราะฮองเฮาเป๋าก็กำลังมีความเคลื่อนไหวเช่นกัน
ในวังได้ให้ท่านหมอผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณวันไว้เรียบร้อยแล้ว เป็วันนี้พอดิบพอดี
ฝ่ายในของวังหลวงแคว้นจิงเรียบง่ายนัก เพราะฝ่ายในมีเพียงฮองเฮาเป็นายเพียงผู้เดียว
ไม่ว่าจะเป็พระสนมเอก พระสนมหรือนางสนมเล็กๆ ก็ไม่มีสักคน
กลับกันฮ่องเต้เป็ฝ่ายลงมือสังหารเหล่าสนมและชายาด้วยน้ำมือของตนเอง ขุนนางแม้คิดอยากจะส่งสตรีเข้ามาถวายก็ล้วนไม่กล้าเสี่ยง หรือหากส่งเข้ามาก็คงจะเปลืองแรงเปล่าๆ
แน่นอนว่าฝ่ายในย่อมไม่มีทางมีคนปลงไม่ตก กล้าคิดทำร้ายฮองเฮา
ฮ่องเต้แคว้นจิงโหดร้ายและว่องไวนัก เขาปกป้องฮองเฮาราวกับไข่ในหิน
ฮองเฮาเป๋าคือเกล็ดย้อนของเขา
หากใครกล้าแตะก็มีเพียงโทษตายสถานเดียวที่จะมอบให้
ฮองเฮาเป๋าหลังจากที่เคยเข้าไปอยู่ในหุบเขานักโทษก็อ่อนแอลงมาก
ระยะนี้แต่ละแคว้นแต่ละพื้นที่จึงพากันส่งของบำรุงมาราวกับสายน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาในวังหลวงแคว้นจิง
ทั้งหมดล้วนแต่ส่งมาเพื่อบำรุงพระวรกายของฮองเฮาเป๋า
หากว่าไม่มีสองเื่นี้ นั่นคือฮ่องเต้แคว้นจิงได้ลงมือสังหารสตรีนับสิบคนของตน และฮองเฮาเป๋าความจริงแล้วคือพี่สะใภ้ของเขา ฮ่องเต้รุ่ยและฮองเฮาเป๋าก็นับว่าเป็คู่สามีภรรยาผู้เป็ตัวอย่างในด้านความรักให้กับคนทั้งใต้หล้า
ทว่าฮ่องเต้รุ่ยแห่งแคว้นจิงก็ไม่ใช่บุรุษอ่อนโยนว่าง่ายเช่นบุรุษทั่วไป ยามที่ต้องถือดาบถือค้อนสังหารคน มือทั้งสองนี้ก็นิ่งไม่แพ้ใคร
ทว่าเพื่อฮองเฮาเป๋าแล้ว ฮ่องเต้ผู้ดุร้ายคนนี้ถึงขั้นยอมลงครัว ต้มน้ำแกงด้วยพระองค์เอง
ยามที่ฮองเฮาไม่เจริญอาหาร บุรุษคนนี้ก็ตะล่อมนางให้เสวยอาหารราวกับนางเป็เด็กเล็กคนหนึ่ง
เื่เกี่ยวกับฮองเฮาไม่มีเื่ใดที่ฮ่องเต้รุ่ยไม่ใส่ใจ ั้แ่อาหารการกินตลอดจนอาภรณ์ ฮ่องเต้ล้วนแต่ถามไถ่ด้วยพระองค์เองไปเสียทุกเื่
สตรีในใต้หล้านี้ล้วนแต่นึกริษยาฮองเฮาเป๋า ทั้งยังหวังว่าตนจะมีสามีเช่นนี้
ยามนี้ฮ่องเต้สรงน้ำเรียบร้อยแล้วมานั่งรออยู่ในห้องคลอดข้างเตียงของฮองเฮา
มือทั้งสองยังกอบกุมมือของนางอันเป็ที่รักไว้
“เสี่ยวเป๋า ไม่ต้องกังวลไป มีข้าอยู่ ข้าจะไม่มีวันทิ้งเ้าไปไหนอีกแล้ว”
ฮองเฮาเป๋าที่กำลังปวดเสียจนสติพร่าเลือน จึงได้แต่กำมือของฮ่องเต้แน่น
ฮ่องเต้แคว้นจิงพลันเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วตรัสขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “หากมีอันใดเกิดขึ้น จำต้องรักษาชีวิตของฮองเฮาไว้ก่อน หากว่านางเป็อันใดไป ข้าจะฝังพวกเ้าทั้งโคตรไปพร้อมกับร่างของนาง” เพียงแต่พระวรกายของฮองเฮาแม้จะพยายามบำรุงอย่างเต็มที่จนดีขึ้นมากแล้ว ทว่าถึงอย่างไรนางอาศัยอยู่ในหุบเขานักโทษมานานหลายปี พื้นฐานร่างกายจึงถูกทำลายไปไม่น้อย การคลอดบุตรจึงนับว่าเป็เื่ยากเย็นเหลือเกิน
บัดนี้ร่างนั้นจึงได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างทุกข์ทรมาน
ดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือหลังคาค่อยๆ คล้อยต่ำลงมาอยู่ข้างหน้าต่าง
เสียงร้องที่ไม่ได้กังวานเท่าใดนักดังขึ้น
ทารกร่างผอมราวกับแมวคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น
เด็กน้อยผมยาวนัก ร่างแดงๆ ยังคงเปียกชื้น
ฮองเฮาเป๋าเหนื่อยอ่อนจนหลับไป ทว่าก็ไม่ได้เกิดเื่ใหญ่อะไรขึ้น
ฮ่องเต้แคว้นจริงยามนี้ยิ้มกว้างราวกับเด็กชายคนหนึ่ง ดีใจเสียจนแทบลุกขึ้นะโโลดเต้น
เื่นี้ทำฮ่องเต้หนุ่มตื่นเต้นเสียจนไม่อาจข่มตาหลับ จึงนั่งเฝ้านางอันเป็ที่รักของตนอยู่ไม่ห่าง คืนต่อมาก็ออกราชโองการประกาศอภัยโทษให้กับนักโทษทั่วแคว้นจิง ทั้งยังให้ทุกคนร่วมเฉลิมฉลอง ประกาศศักราชใหม่ของแคว้นจิง
รัชทายาทน้อยได้รับพระราชทานนามว่ารุ่ยที่แปลว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล
……
ฮ่องเต้แคว้นเชินเมื่อได้รับข่าวก็แทบหมดสติ
นี่มันราวกับน้ำมันราดบนกองเพลิงแท้ๆ
โทสะของฮ่องเต้พัดโหมราวกับพายุ
คลอดบุตรเช่นเดียวกัน พระสนมเล่อของตนที่สุขภาพดีเสมอมาถึงกับสิ้นใจเสียแล้ว ทว่าฮองเฮาเป๋าที่ถูกคุมขังอยู่ในหุบเขานักโทษถึงหกปีกลับยังมีชีวิตอยู่
คลอดบุตรเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้แคว้นจิงกลับสามารถตัดสินใจให้บุตรชายของตนเป็รัชทายาทได้ ทว่าแคว้นเชินกลับไม่เคยมีอะไรเช่นนี้ให้เห็นมาก่อน ล้วนแต่จะต้องรอให้องค์ชายเติบใหญ่ก่อน รอจนเหล่าขุนนางทนไม่ไหวจนต้องยื่นฎีกา แล้วฮ่องเต้จึงค่อยทำการเปิดประชุมแล้วแต่งตั้งเื่นี้
ฮ่องเต้แคว้นเช่นมิอาจต่อว่าเหล่าขุนนางได้ เพราะเื่นี้คือกฎที่สืบทอดมาั้แ่ครั้งบรรพบุรุษ
ทว่าฮ่องเต้สามารถไต่สวนเื่ที่พระสนมเอกเล่อให้กำเนิดบุตรก่อนกำหนดจนสิ้นใจได้
เมื่อสืบสวนไปสืบสวนมาก็พบกับดอกไม้กระถางหนึ่ง เมื่อสืบจากดอกไม้กระถางนี้ก็สาวไปถึงตัวองค์หญิงน้อย แน่นอนว่าองค์หญิงน้อยย่อมปรีชากว่าใคร เพียงแต่นางยังเยาว์นัก ทั้งองค์หญิงยังไม่เพียงแต่มีเมตตา นางยังเป็เทพธิดาแห่งแคว้นเชิน นางจะทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร สุดท้ายข้อกล่าวหานี้จึงตกไปอยู่ที่พระสนมหรงผู้เป็เลิศด้านการวาดภาพ
องค์หญิงโปรดการทำเครื่องหอม เคยใช้ดอกไม้ชนิดนั้นมาทำเครื่องหอมแล้วพบว่าดอกไม้ชนิดนั้นเกิดปัญหา เช่นนั้นจึงไม่ได้ใช้ต่ออีก ต่อมาจึงถูกพระสนมหรงที่นางเชิญมาชี้แนะด้านการวาดภาพรู้เข้า พระสนมหรงด้วยความริษยาจึงได้ยุยงพระสนมมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านการดนตรีให้ส่งดอกไม้พิษให้พระสนมเอกเล่อ ต่อมาท่านราชครูกลับพบปัญหานี้เข้าจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา ทว่าพิษของมันกลับเข้าสู่ร่างกายแล้ว พระสนมเอกเล่อจึงได้ตกเืจนสิ้นใจ ทั้งยังเกรงว่าพิษนี้ก็อาจส่งผลกระทบกับร่างกายขององค์ชายเช่นกัน
ฮ่องเต้พิโรธหนัก รับสั่งให้ทุบมือทั้งสองข้างของพระสนมหรงให้หัก ทั้งยังตรัสว่านางร้ายกาจเกินมนุษย์ ไม่รักษาคุณธรรมในการครองเรือน
เดิมทีพระสนมมู่ก็ย่อมต้องถูกลงโทษเช่นกัน ทว่าตระกูลของนางมีอิทธิพล ทั้งนางยังไม่รู้เหตุการณ์ที่แท้จริง จึงเพียงถูกลงโทษให้ไว้อาลัยต่อพระสนมเล่อผู้ล่วงลับ แล้วจึงมีบัญชาให้ส่งนางเข้าตำหนักเย็นเพื่อปฏิบัติธรรม
ฮ่องเต้แม้ไฟแห่งโทสะจะสุมทรวงเพียงใด ก็ยังไม่มากพอจะทำให้คนใได้
เพื่อสนมรักที่เสียไปจากการคลอดบุตร ฮ่องเต้จึงจำเป็ต้องคิดหน้าคิดหลังอีกมากมายว่าจะจัดการเื่นี้อย่างไรดี จึงจะเหมาะสมกับสิ่งที่เขาต้องเสียไป
ฮ่องเต้เวินรู้สึกอึดอัดใจเหลือเกิน หลังจากได้บันดาลโทสะใส่ขันทีไปแล้วถึงสามคน ก็มีขันทีคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทีพึงระวังเป็อย่างยิ่ง ค่อยๆ คุกเข่าแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าา พระสนมหรงกล่าวว่านางรู้ซึ้งว่าความผิดของตนหนักหนาเพียงใด จึงขอให้ฝ่าาโปรดพระราชทานโทษปะาให้กับนาง ทว่าหวังว่าก่อนนางจะสิ้นไป นางขอให้ได้พบกับพี่สาวตนสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“สนมหรงยังมีพี่สาวหรือ”
หัวหน้าขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างรับเงินมาแล้วจึงรีบกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน “ทูลฝ่าา พระสนมหรงมีพี่สาวอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ทว่าโชคชะตาช่างกลั่นแกล้ง ในปีนั้นที่พระสนมหรงติดตามบิดาไปรับตำแหน่งในพื้นที่ห่างไกล พี่สาวของนางกลับถูกพวกโจรโฉดฉุดคร่าไป เดิมทีตระกูลหลัวต่างก็คิดว่านางตายแล้ว ไม่คาดคิดว่าผ่านมาหลายปีเพียงนี้ สุดท้ายพี่สาวของนางก็กลับมายังเมืองหลวง พระสนมหรงจึงปรารถนาว่าก่อนตายจะได้พบหน้าพี่สาวสักครา ถึงอย่างไรความรักระหว่างพี่น้องก็ล้ำลึกนัก ทั้งยังไม่ได้เจอกันมานานหลายปีพ่ะย่ะค่ะ”
“สายใยลึกซึ้งระหว่างพี่น้องหรือ สนมหรงสตรีอสรพิษ หากว่านางนึกรักใครเป็จริงนางจะกล้าลงมือกับเล่อเอ๋อร์และองค์ชายหรือ” ฮ่องเต้ตบลงบนโต๊ะคราหนึ่ง ก่อนจะกวาดฎีกากราบทูลบนโต๊ะทิ้ง
ขันทีที่อยู่เบื้องล่างพลันตัวสั่นเทิ้ม รีบก้มลงกับพื้น ฝ่าาแม้จะใจอ่อนกับสตรี ทว่ากับขันทีแล้วคนใดควรปะาก็ปะาไม่ละเว้น
ฮ่องเต้เหลือบมองฎีกาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ทั้งยังมีขันทีคุกเข่าอยู่ก็ตอบด้วยโทสะ
“หากนางอยากตาย ข้าก็จะสนับสนุนนาง ใครต่างก็พูดว่าข้านั้นใจอ่อน ครานี้ข้าจะสนับสนุนนาง ประทานกระเรียนแดงให้นางจอกหนึ่ง ทว่าให้พี่สาวของนางเป็คนดื่มแทน เช่นนี้ก็จะได้สนับสนุนทั้งความตาย และความรักของนาง”
