“ชิงเสวี่ย เ้าเป็อะไรไปน่ะ?”
ไป๋ซีหย่าที่ยืนรออยู่ด้านนอกเห็นจีชิงเสวี่ยเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจึงรีบเดินเข้าไปไต่ถาม
“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ”
จีชิงเสวี่ยส่ายหน้าปฏิเสธ ลากตัวไป๋ซีหย่าออกจากบ้านหลังเล็กที่ชวนให้รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างไม่ใยดี
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไปแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ปัดความคิดวุ่นวายออกอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขาโคจรทักษะกลืนิญญาให้ดูดซับพลังจากผลึกระดับต่ำ บ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับห้ามั่นคง
ม่านราตรีโรยตัวลงมา แสงไฟนวลอ่อนจากโคมไฟโอบล้อมเมืองไป๋ตี้เอาไว้ ชวนให้รู้สึกหม่นหมองใจแปลกๆ
“นายน้อยเจียง บ้านหลังนั้นคือที่อยู่อาศัยของเยี่ยเฉินเฟิง ตามที่สายของเรารายงานมา ขณะนี้มันกำลังพักอยู่ด้านในพอดี”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยรายงานเสียงแหบ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเทา ผมจอนสองข้างเริ่มมีสีขาวแซม ในมือข้างหนึ่งถือกระบี่เรียวบางเอาไว้พร้อมกับชี้ตำแหน่งไปทางบ้านหลังเล็กของเยี่ยเฉินเฟิง
“เวรเอ๊ย นังสารเลวจีชิงเสวี่ยนั่นยอมทนอยู่ร่วมกับเ้าขยะเยี่ยเฉินเฟิงในที่โกโรโกโสแบบนี้ ดีกว่ายอมรับการสู่ขอของข้ากระนั้นรึ”
เมื่อมองสำรวจบ้านหลังน้อยของเยี่ยเฉินเฟิงผ่านแสงไฟสลัวยามค่ำคืน เจียงซานสุ่ยก็รู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนไม่เหลือชิ้นดี เพลิงโทสะในใจลุกโหมจนแทบจะเผาไหม้ทุกสิ่ง เขาพังประตูพุ่งเข้าไปในบ้านพร้อมผู้ติดตาม
“เยี่ยเฉินเฟิง ขยะเช่นเ้าจงโผล่หัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้นะ” เจียงซานสุ่ยตะคอกเสียงดังลั่นด้วยใบหน้าที่โเี้
“เจียงซานสุ่ย เ้าสติไม่ดีหรือถึงมาเอะอะโวยวายในบ้านของผู้อื่นเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าข้าไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เ้านะ” เยี่ยเฉินเฟิงในชุดคลุมยาวสีเทาเดินออกมาจากห้องพร้อมเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว เหลือบมองเจียงซานสุ่ยและพรรคพวกที่กำลังแผ่จิตสังหารคุกรุ่น
“มารดาเ้าเถอะ ใกล้จะตายอยู่แล้วยังคิดจะปากแข็งอีก เ้าคิดว่าตัวเองยังเป็ทายาทอัจฉริยะที่มีตระกูลเยี่ยคอยคุ้มกะลาหัวให้อยู่อีกหรือ”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเฉินเฟิง สีหน้าของเจียงซานสุ่ยก็มืดครึ้มไร้ที่เปรียบ โทสะในแววตาฉายชัดอย่างไม่คิดจะปกปิด ะโใส่หน้าอีกฝ่าย “พวกเ้าไปจัดการตัดขาทั้งสองข้างของไอ้เศษสวะนั่นซะ แล้วลากมันมาคุกเข่าคุยกับข้าตรงนี้”
“ขอรับ นายน้อยเจียง!”
ชายชุดดำวัยกลางคนทั้งสองรับคำสั่งอย่างนอบน้อม พวกเขาย่างสามขุมเข้าไปหาเยี่ยเฉินเฟิงพร้อมกับปลดปล่อยพลังกดดันอันแข็งแกร่งของเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหก
ทว่าในขณะที่ทั้งสองเตรียมจะพุ่งเข้าโจมตีใส่เยี่ยเฉินเฟิงนั้น ร่างกายตั้งตรงผ่าเผยดุจกระบอกปืนของเยี่ยเฉินเฟิงกลับเป็ฝ่ายโจมตีสวนกลับมาก่อน
พลังกายแข็งแกร่งะเิออกจากร่างของเยี่ยเฉินเฟิงราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก แรงกระแทกจากพลังส่งผลให้พลังอำนาจที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาถูกทำลายสิ้น ซ้ำยังสร้างความกดดันต่อร่างกายของพวกเขาอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ออก
เยี่ยเฉินเฟิงสืบเท้าออกมาหนึ่งก้าว ิัทั่วร่างกู่ร้องสั่นะเื พละกำลังลุกโชติ่ สองหมัดพุ่งจู่โจมหน้าอกของผู้ใช้อสูริญญาระดับหกทั้งสอง
“แย่แล้ว!”
ผู้ใช้อสูริญญาระดับหกทั้งสองคนถึงกับหน้าเปลี่ยนสีเมื่อรับรู้ได้ถึงพลังจากหมัดคู่อันน่ากลัวของเยี่ยเฉินเฟิง พวกเขารีบปลดปล่อยพลังิญญาออกมาก่อร่างเป็จิตอสูรเพื่อทำการป้องกันทันที
การตอบสนองของพวกเขาถือได้ว่ารวดเร็วเป็อย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าการจู่โจมของเยี่ยเฉินเฟิงอยู่ดี ปรากฏเสียง “ปัง ปัง” ดังขึ้นสองครา บริเวณหน้าอกของทั้งสองคนถูกโจมตีอย่างรุนแรง หมัดที่มีพลังเปี่ยมล้นห้าพันจินทุบกระดูกซี่โครงของพวกเขาจนแตกละเอียด จิตอสูรที่ผสานรวมกับร่างกายได้รับความเสียหายอย่างหนัก ตัวคนถูกชกจนกระเด็นไปไกลเกินสิบเมตรก่อนจะหล่นกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง สติดับวูบไปในทันที
“อะไรกัน!”
เจียงซานสุ่ยยืนเบิกตาโพลงอ้าปากค้างมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า สีหน้าแววตาราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ
“เขาร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน”
เจียงซานสุ่ยคิดว่าตนเองสามารถบดขยี้เยี่ยเฉินเฟิงให้ตายตกได้อย่างง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการบี้มดตัวหนึ่ง แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง ราวกับกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความฝันอย่างไรอย่างนั้น
“เ้าช่างฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก พวกเราทุกคนโดนเ้าต้มเสียเปื่อยเลย!”
ชายวัยกลางคนผู้ถือกระบี่เรียวยาวอยู่ในมือขยับมายืนขวางหน้าเจียงซานสุ่ย เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งพร้อมดวงตาที่ทอประกายวาววับ
“จอมยุทธ์อู๋ จงกำจัดมันทิ้งซะ”
เมื่อคิดว่าจอมยุทธ์อู๋เป็ถึงปรมาจารย์อสูรมายาระดับสอง จิตใจที่กระวนกระวายของเจียงซานสุ่ยก็ค่อยๆ สงบลง ก่อนจะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ยกให้เป็หน้าที่ของข้า”
จอมยุทธ์อู๋พยักหน้ารับคำสั่ง พลังิญญาในห้วงสมองเอ่อล้นออกมา งูั์ที่มีเกล็ดปกคลุมทั่วร่างก็ปรากฏกายขึ้น มันขดกายอยู่เหนือศีรษะของเขา แลบลิ้นขู่ฟ่อๆ ใส่เยี่ยเฉินเฟิง
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเ้าประสบโชควาสนามาจากไหน แต่เ้าจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แน่นอน เ้าไปจับกุมตัวมันมาให้ข้า ข้าจะใช้มีดแล่เนื้อเถือหนังมันทีละนิดๆ ให้มันทนรับความเ็ปจนกว่าจะขาดใจตาย”
“หยุดนะ”
ในตอนที่จอมยุทธ์อู๋ผสานร่างกับจิตอสูรเตรียมจะลงมือจู่โจมนั้น น้ำเสียงตะคอกอันเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ไป๋ซีหย่าและยอดฝีมือผู้หนึ่งพลันปรากฏกายออกมา
“โอ้ ช่างเป็สตรีที่งดงาม ไม่คิดเลยว่าในเมืองไป๋ตี้จะมีหญิงงามขนาดนี้อยู่ด้วย” เจียงซานสุ่ยอาศัยแสงจากโคมไฟมองสำรวจร่างของไป๋ซีหย่าด้วยแววตาพราวระยับ นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวลายดอกไม้ สัดส่วนโค้งเว้าได้รูป ผิวเนียนละเอียดดุจหยก
“ไป๋ซีหย่า นางมาที่นี่ได้อย่างไร”
เยี่ยเฉินเฟิงไม่คิดว่าไป๋ซีหย่าจะมาพบตัวเองเสียดึกดื่นถึงเพียงนี้ ซ้ำยังพายอดฝีมือคนหนึ่งมาด้วยอีก เขารู้สึกประหลาดใจอยู่มิใช่น้อย
การปรากฏตัวของนางทำแผนของเขาพังทลายไม่เป็ท่า เดิมทีหากเขาต่อกรกับศัตรูไม่ไหวก็สามารถอาศัยพลังกายอันแข็งแกร่ง หลบหนีไปได้อย่างง่ายดายแท้ๆ
ทว่าในตอนนี้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้แล้ว ถ้าหากไป๋ซีหย่าถูกพวกมันจับตัวไป ดูจากความชั่วร้ายของเจียงซานสุ่ยแล้วชีวิตของนางคงถูกทำลายจนย่อยยับเป็แน่
“เฉินเฟิงเ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่” ไป๋ซีหย่าก้าวฉับๆ ไปหาเยี่ยเฉินเฟิงพลางเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ข้าไม่เป็ไร ที่นี่อันตรายมากเกินไป พวกเ้ารีบหนีออกไปก่อนเถอะ” เยี่ยเฉินเฟิงเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
“ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกันสิ” ไป๋ซีหย่าพูดขึ้นอย่างดื้อรั้น สายตาไล่มองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเยี่ยเฉินเฟิง
“เยี่ยเฉินเฟิง ไม่คิดเลยนะว่าเศษสวะเช่นเ้าจะมีดวงด้านนารีดีขนาดนี้ แม้แต่ข้ายังรู้สึกอิจฉาเ้าเลย” เจียงซานสุ่ยจ้องไป๋ซีหย่าผู้งามสง่าคล้ายกำลังมองเหยื่ออันโอชะ พลางกล่าวสั่งสอน “แต่วันนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามออกไปทั้งนั้น”
“คุณหนูใหญ่ พวกท่านหนีออกไปก่อนเถอะ ข้าจะคอยระวังหลังให้เอง”
ยอดฝีมือจากตระกูลไป๋จับััอันตรายร้ายกาจได้จากจอมยุทธ์อู๋และชายชุดสีน้ำเงินที่อยู่ข้างกายเจียงซานสุ่ย เขากระชับหอกในมือและยืนกันอยู่ด้านหน้าของพวกเยี่ยเฉินเฟิงพร้อมกล่าวเร่งเร้าอีกฝ่าย
ยอดฝีมือตระกูลไป๋เพิ่งจะกล่าวจบประโยค จอมยุทธ์อู๋และชายชุดน้ำเงินข้างกายเจียงซานสุ่ยก็ลงมือจู่โจมอย่างพร้อมเพียงกันทันที
“ทั้งคู่เป็ปรมาจารย์อสูรมายาระดับสอง”
เยี่ยเฉินเฟิงรู้สึกกดดันขึ้นมาทันทีเมื่อทราบพลังที่แท้จริงของทั้งสอง ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้คงต่อกรได้เพียงปรมาจารย์อสูรมายาระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางเป็คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์อสูรมายาระดับสองได้
แต่ในยามนี้ไม่เหลือหนทางให้ถอยกลับแล้ว เสียงกัมปนาทดุจอัสนีบาตรดังขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเยี่ยเฉินเฟิง เขาพุ่งทะยานออกไปหาราวกับเสือชีตาห์ เข้าปะทะกับชายชุดน้ำเงินที่สวมถุงมือสีแดงสด
“โฮก!”
ร่างกายของอีกฝ่ายปรากฏร่างของจิตอสูรแรดขาวเดี๋ยวชัดเจนเดี๋ยวเลือนราง เมื่อผสานร่างรวมกับจิตอสูรได้สำเร็จพลังที่แท้จริงของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นเป็เท่าตัว
“ปัง” เสียงหนักทึบดังขึ้น กำปั้นที่แฝงไว้ด้วยพลังิญญาของทั้งสองโจมตีประสานกัน พลังกายอันแข็งแกร่งและพลังิญญาอันร้ายกาจะเิออกพร้อมๆ กัน จนมวลอากาศรอบข้างถูกบีบอัดและแตกกระจายออกเป็วงกว้าง
“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ!”
หลังประสานการโจมตีกับชายชุดน้ำเงิน ร่างกายของเยี่ยเฉินเฟิงก็เซถลาไปด้านหลังอย่างมิอาจควบคุมได้ ทั่วร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เืแดงสดไหลซึมออกมาตามมุมปาก
หลังจากใช้กำปั้นโจมตีเยี่ยเฉินเฟิงจนาเ็ได้สำเร็จ ชายชุดน้ำเงินก็ฝืนระงับอาการเืลมปั่นป่วนภายในร่างของตนเอง ก่อนจะพุ่งจู่โจมหมายเอาชีวิตเยี่ยเฉินเฟิงอีกครั้ง
โดยหวังจะทำร้ายอีกฝ่ายให้สาหัสปางตายภายในหนึ่งกระบวนท่า และปิดฉากการต่อสู้นี้ลงอย่างว่องไว
ให้รู้ผลกันใน่ระหว่างความเป็ตาย
