ณ ลานประลอง หลินเจ๋อเทียนเหมือนว่าจะได้รับความชื่นชมอย่างมาก เขาหันไปคำนับให้กับทุกคน จากนั้นก็เดินลงจากลานประลองไปท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดี
หลินเจ๋อเทียนเดิมก็เป็คนที่นิสัยค่อนข้างดีอยู่แล้ว อยู่ท่ามกลางคนนับหมื่นเขายังไม่มีความกระวนกระวายใดๆ เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังสุขุมมากด้วย
ที่นี่คือสถานที่รวมตัวกันของผู้มีความสามารถ เขาตีกลองได้ดังสนั่นไปทั่ว ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว
หลังจากที่เขาลงมาจากลานประลอง ก็มีผู้น้อยอีกหลายคนขึ้นไปบนนั้น แต่เพราะหลินเจ๋อเทียนทำให้พวกเขากดดันมาก คนส่วนมากเลยแสดงฝีมือออกมาได้ไม่ดีนัก
จนกระทั่งเกือบเที่ยง ถึงมีอีกสองคนที่สามารถทำให้กลองกลายเป็สีดำได้
คนหนึ่งมาจากตระกูลซ่งมีชื่อว่าซ่งซูเหลียน แล้วก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง เป็คนของตระกูลเยี่ย มีชื่อว่าเยี่ยเสวียน
ตอนนี้ นอกจากหลิวซงิที่ฝีมือค่อนข้างอ่อนแล้ว ก็มีแค่หลินเจ๋อเทียน ซ่งซูเหลียน และเยี่ยเสวียน สามคนที่มีฝีมือดีที่สุดในเวลานี้!
แต่ว่าทุกคนต่างรู้ดี ผลการแข่งขันที่ดีมันอาจจะถูกชะล้างไปจนหมด เพราะผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปเป็ผู้น้อยคนสุดท้ายของตระกูลเยี่ย นางก็คือเยี่ยซี!
“คนต่อไป ตระกูลเยี่ย เยี่ยซี”
มู่หลางยิ้มให้กับเยี่ยซี แล้วทำท่าทาง “เชิญ” จากนั้น เยี่ยซีก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนลานประลอง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องให้กำลังใจที่ดังกึกก้อง
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวที่งามสง่า และรอดูนางลงมือ
หลายต่อหลายคนยกมือขึ้นมารออยู่กลางอากาศ ขอแค่เยี่ยซีตีกลอง พวกเขาก็จะปรบมือทันที!
เยี่ยซียิ้ม นางยกมือของนางขึ้นมา แล้วซัดฝ่ามือออกไปตรงกลางกลองโดยแทบจะไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย
ถึงแม้ท่าทางการเคลื่อนไหวของนางจะค่อนข้างช้า แต่มันแฝงไปด้วยพลังที่น่าทึ่งมาก วินาทีที่ฝ่ามือประทับลงไปกลางกลอง เสียง “ตึ่ง” ก็ดังขึ้น พร้อมคลื่นพลังที่แผ่กระจายออกมาจากตัวกลอง และซัดแผ่ออกไปถึงตัวของผู้ชมด้วย
ลวดลายบนขอบกลอง มันเปลี่ยนเป็สีม่วงอย่างรวดเร็ว และแทบจะแค่อึดใจก็แปรเปลี่ยนเป็สีดำ!
“อะไรกัน!”
ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่านางจะต้องลงมือได้อย่างแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ประเมินความสามารถของเยี่ยซีต่ำไปอยู่ดี
ทั้งๆ ที่เป็ฝ่ามือที่ไม่ได้มีการสะสมพลังอะไรเอาไว้มากมาย แต่สามารถตีจนลวดลายสีดำปรากฏออกมาได้อย่างง่ายดาย มันก็หมายความว่า ฝ่ามือของเยี่ยซีนั้นดีกว่าสามคนก่อนหน้านี้อย่างมาก!
เดิมทีสามคนก่อนหน้านี้คิดจะพิสูจน์ตัวเองให้เยี่ยซีได้เห็น แต่พอเยี่ยซีลงมือพวกเขาถึงได้เข้าใจ ที่จริงพวกเขาก็แค่อวดฉลาดต่อหน้าคนที่เก่งกาจมากกว่าตน!
“เหอะๆ”
เยี่ยหลิงอวินที่นั่งอยู่กับเสนาบดีทั้งหกยิ้มแล้วลูบหนวด เขาพอใจกับการแสดงฝีมือของเยี่ยซีอย่างมาก
เสนาบดีอีกห้าคนที่นั่งอยู่กับเขาเองก็ชื่นชมไม่ต่างกัน ถึงแม้ในใจจะไม่ได้เต็มใจ แต่ว่าฐานะของเยี่ยหลิงอวินนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่เพียงเป็เสนาบดีกรมอาญา อีกไม่นานเขาก็จะได้เป็พระญาติด้วย ฐานะแบบนี้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะต้องประจบไว้ก่อน!
ณ ลานประลอง ผู้ชมต่างโห่ร้องะโขึ้นมา พอได้ยินเสียงะโของเหล่าชายหนุ่ม เยี่ยซีก็ยิ้ม
ถูกต้องแล้ว โลกใบนี้ก็เหมือนเจดีย์สีทอง หลายคนต้องใช้ความพยายามทั้งชีวิตเพื่อปีนขึ้นไป แต่นางไม่ต้องออกแรงเลยก็สามารถทำให้เจดีย์นั้นล้มแล้ว ชีวิตของนางถูกกำหนดให้อยู่กับความมั่งคั่ง ร่ำรวย จนถึงบั้นปลายชีวิต
นางหันหลังกลับมาแล้วค่อยๆ เดินลงมาจากลานประลองท่ามกลางสายตาของทุกคน
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นิอวี่เห็นหมดทุกอย่าง สายตาของเขาเรียบเฉยมาก แต่แววตามีอะไรลึกซึ้ง มันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
ิอวี่กลับไม่รู้เลยว่า ในเวลานี้มีคนกำลังมองมาที่เขาอยู่
“เ้าดูสิว่า ใช่เขาไหม?”
บนที่นั่งฝั่งผู้ชมที่เป็โซนพื้นที่ของเมืองใต้ดินหวังเฉิง จี้หงหลิงกำลังเพ่งสายตามองแล้วเอ่ยปากถามผู้ดูแลซ่ง
ั้แ่ิอวี่ปรากฏตัว จี้หงหลิงก็สังเกตเห็นเขาแล้วเพียงแต่นางยังไม่ค่อยมั่นใจ แต่พอจับตามองมาถึงตอนนี้ ต่อให้นางไม่เชื่อ ก็รู้ว่าิอวี่ก็คือคนที่เอาชนะจ้าวหานเหรินในวันนั้นแน่ๆ !
ผู้ดูแลซ่งเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผาก แล้วพูดว่า “นายหญิง ไม่ว่าจะหน้าตา หรือว่าชื่อ ถูกต้องทุกอย่างเลยขอรับ ...”
ก่อนหน้านี้จี้หงหลิงสั่งให้เขาไปตามหาิอวี่ แต่ว่าเขาไม่พบร่องรอยของิอวี่เลยในเมืองหลวง จากนั้นเขาก็ส่งคนไปตามหาที่เมืองอวินสุ่ย ก็ไม่เจอร่องรอยของิอวี่เหมือนกัน ใครจะคิดว่าิอวี่นั้นจะเป็องค์ชายของราชวงศ์ต้าิ!
ผู้ดูแลซ่งกลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดี โชคดีที่เขาไม่เจอตัวของิอวี่ ไม่อย่างนั้นหากล่วงเกินิอวี่ไป ไม่รู้ว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เ็ปมากขนาดไหน!
จี้หงหลิงเองก็เหมือนจะคิดไม่ถึงเหมือนกัน นางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เ้าคิดว่า เขาจะทำให้กลองศึกเปลี่ยนเป็สีอะไร?”
ผู้ดูแลซ่งตอบอย่างนอบน้อมว่า “เมื่อสองเดือนก่อน เขาเอาชนะจ้าวหานเหรินที่มีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่หกไปได้ ข้าว่า ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเขาก็น่าจะก้าวหน้าไปเหมือนกัน คิดว่าน่าจะมีขอบเขตหลุดพ้นปุถุชนขั้นที่เจ็ดแล้ว มีพลังเทียบเท่าราชสีห์หนึ่งพันตัว ก็น่าจะทำให้กลองกลายเป็สีม่วงนะขอรับ!”
“อือ”
สิ่งที่ผู้ดูแลซ่งพูดตรงกับที่จี้หงหลิงคิดเลย นางพูดต่อว่า “เื่ของเขา เ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว เข้าใจไหม?”
“ขอรับ!” ผู้ดูแลซ่งพยักหน้า ความหมายของนายหญิงก็คือนางจะลงมือเอง อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีความสัมพันธ์กับองค์ชายของต้าิได้ มันก็มีประโยชน์เหมือนกัน
เวลาล่วงเลยไป ไม่นานก็มาถึง่บ่าย
ไม่มีเมฆหมอก แสงอาทิตย์ก็เจิดจ้าสะท้อนลงมาบนพื้น อากาศชื้นเล็กน้อย มีลมพัดผ่าน ทำให้คนรู้สึกอบอ้าว
“ตึ่ง!”
เมื่อเสียงกลองดังขึ้น องค์ชายสิบหกิซานที่อยู่บนลานประลองก็ตีกลองสำเร็จ ลวดลายขอบด้านข้างก็เป็สีดำ
ผู้ชมทุกคนต่างก็ปรบมือ ถึงแม้ิซานจะทำได้ดีไม่เท่าเยี่ยซี แต่ก็สามารถเข้ารอบแปดสิบคนแน่นอน
หลังจากที่ิซานลงมาจากลานประลอง มู่หลางก็ะโขึ้นมาว่า “คนต่อไป องค์ชายสิบเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าิ ิอวี่”
พอิซานได้ยินดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองิอวี่ องค์ชายองค์หญิงคนอื่นเองก็หันไปมองที่ิอวี่เหมือนกัน
หลังจากที่คิดดูแล้ว ิซานก็ตบไปที่หัวไหล่ของิอวี่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “สู้ๆ หน่อยละกันนะ”
ถึงแม้ิซานจะรู้ว่าน้องชายที่อายุห่างจากเขาไม่กี่เดือนจะฝึกยุทธ์ไม่ค่อยเอาไหน ฝีมือสู้พวกเขาไม่ได้ แต่ถึงอย่างไริอวี่ก็เป็องค์ชาย ถือเป็หน้าเป็ตาของราชวงศ์เหมือนกัน หากิอวี่ฝีมือแย่จนเกินไป คนที่ขายหน้าก็จะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แต่ยังขายหน้าถึงราชวงศ์ด้วย
ดังนั้นิซานถึงได้พูดกับิอวี่แบบนี้ ถ้าบอกว่าเป็การให้กำลังใจ มิสู้บอกว่าเป็การเตือนสติิอวี่มากกว่า
น้ำเสียงของเขามันแฝงไปด้วยความหมายที่ว่า อีกเดี๋ยวออกแรงที่กินนมแม่มาหน่อยนะ อย่าให้ทางราชวงศ์ต้องขายหน้า!
ทุกคนฟังความหมายของิซานออกกันหมด คนที่ตีตัวออกห่างิอวี่ เหล่าองค์หญิงทั้งหลาย ล้วนแต่ใช้สายตาที่เหมือนกันมองมาที่ิอวี่
ถึงแม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่สายตาที่มองมาที่ิอวี่มันเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน!
“ข้าจำเอาไว้แล้ว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่” ิอวี่เดินชนไหล่ของิซานไป
“เ้า ... ”
ิซานชักสีหน้าลงทันที เขากำลังคิดจะเอาเื่ิอวี่ แต่ิอวี่กลับเดินตรงขึ้นไปบนลานประลองแล้ว
เพราะโดนิซานกำชับ ิอวี่เลยเดินมาถึงค่อนข้างช้า มู่หลางขมวดคิ้วแต่ก็ยังพูดอย่างอดทนว่า “องค์ชายสิบเจ็ด รีบหน่อยเถอะขอรับ ยังมีผู้เข้าแข่งขันด้านหลังรออยู่อีกมาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ...”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผู้ชมกว่าพันคนก็หัวเราะขึ้นมาในทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดูถูกและไม่พอใจที่ิอวี่ช้า
ราชวงศ์ต้าิมีองค์ชายที่ไม่เอาไหนอยู่คนหนึ่ง เื่นี้ทุกคนต่างเคยได้ยินมา เพียงแต่วันนี้พวกเขาเพิ่งได้รู้ว่าองค์ชายคนนั้นมีชื่อว่าิอวี่เท่านั้นเอง
อย่าว่าแต่จะทำให้ลวดลายบนกลองนั้นเปลี่ยนสีเลย แม้แต่ทำให้มันมีเสียงดังขึ้น เกรงว่าิอวี่ก็คงทำไม่ได้!
ทุกคนเห็นรูปร่างของิอวี่แล้วต่างหัวเราะ การที่เขามามันก็เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง
ที่ลานประทับด้านข้าง ในฐานะแม่ หยางเสวี่ยหรงไม่มีทางอยากได้ยินใครหัวเราะเยาะเย้ยลูกชายตัวเองแน่นอน แต่ในใจของนางกลับรู้สึกดีใจ เพราะลูกชายของนางมีความกล้าที่จะก้าวออกไปแล้ว เขากำลังเริ่มเป็ลูกผู้ชายอย่างเต็มตัวแล้ว!
เมื่อััได้ว่ามีสายตานับหมื่นคู่กำลังจ้องมองมาที่เขา ความร้อนในแววตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นมาทันที ไฟในหัวใจของเขากำลังถูกจุดขึ้นมา
สายตานับหมื่นคู่ไม่ว่าจะเป็ในชาติที่แล้วหรือว่าชาตินี้ ิอวี่ก็ไม่เคยได้ััมาก่อน มีเพียงแค่ยืนอยู่ตรงกลางลานประลองแห่งนี้ เขาถึงััได้ถึงความกล้าหาญชาญชัยที่อยู่ในจิตใจ!
ดวงตะวันที่แผดเผาดั่งไฟ เทียบไม่ได้กับอุณหภูมิในจิตใจที่กำลังเผาหัวใจของเขาเลย
ิอวี่ออกแรงไปที่เท้าขวาของเขาและแตะไปที่พื้น จากนั้นก็ก้าวผ่านไปถึงสิบเมตรในทันที
กลองศึกกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเขาเข้าใกล้ ิอวี่ก้าวเท้าซ้ายออกไปหนึ่งข้าง เืลมในร่างกายของเขาเดือดพล่าน กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเขาเกร็งแน่น จากนั้นเขาก็บิดเอวและซัดหมัดขวาอันรุนแรงราวกับราชสีห์กำลังคำรามเสียงออกไปบนกลอง!
“ตึ่ง!!!”
กลองสั่นแรงมาก คลื่นเสียงที่ปั่นป่วนผสมผสานกับระลอกคลื่นพลังงานอันรุนแรงซัดแผ่กระจายออกไปทั่งทุกทิศราวกับพายุ เสื้อผ้าของผู้ชมปลิวไปกับคลื่นพลังนั้น การะเิพลังนี้มันน่ากลัวราวกับมีฟ้าร้องฟ้าผ่าลงมากลางลานประลอง!
ลวดลายสีขาวที่อยู่ที่ขอบกลองศึกสั่นจนแทบคลั่ง มันเปลี่ยนจากสีขาวเป็สีแดงและเป็สีม่วงเข้มด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็สีดำสนิทเกือบจะในทันที!
ผู้ชมสามหมื่นคนที่อยู่ในลานประลองราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงมา ทุกคนตกละตึงกันไปหมด!